บล๊อกสวยสมวัย MercuryBooks
Group Blog
 
<<
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
10 กันยายน 2553
 
All Blogs
 

สายลับกลับใจรัก บทที่ ๔ โดย สามารถ

-4-

ตลาดทองผาภูมิยามเช้าจอแจไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน รถกระบะขนของวิ่งเข้ามาออกันอยู่ในทางตันแคบๆ ที่กำหนดเป็นทางเข้าสู่ตลาดสดริมแม่น้ำแควน้อย ทั้งที่ไม่มีทางไป แต่รถก็ยังพากันทยอยเข้ามาเรื่อยๆ

อากาศเย็นสบาย ทำให้หลายคนยังสวมเสื้อกันหนาวอยู่ ควันสีขาวจากแผงหมูปิ้งลอยฟุ้ง ก่อนจะกระจายหายกลมกลืนไปกับบรรยากาศปกติ ปลาหลายชนิดนอนดิ้นเร่าอยู่ในกะละมังอะลูมิเนียมที่มีน้ำแช่อยู่ไม่ถึงสองลิตร ขอบกะละมังหุ้มปิดมิดชิดด้วยตาข่ายสีเขียว

ท่ารถข้างร้านสะดวกซื้อมีผู้คนยืนออรอเต็มไปหมด ทั้งไทย มอญและฝรั่งผมทองหญิงชาย หญิงมอญสูงวัยคนหนึ่งเอากระสอบถ่านทูนไว้บนศีรษะ สวมเสื้อคอกระเช้าและผ้าถุงสีลายมลืดซีด สองพวงแก้มถูกแต้มทาด้วยแป้งสีครีมเห็นเป็นริ้วรอยกวาดของนิ้วมือ เดินตัวตรงแน่วราวนางงามบนเวที

ด้านในที่รถจอดออกันอยู่เป็นตลาดสด สร้างเป็นศาลาขนาดใหญ่ ภายในเต็มไปด้วยแผงผักสดและปลาแม่น้ำ เบื้องล่างศาลาคือตลิ่งชันลาดเทลงสู่สายน้ำแควน้อยที่ไหลเร็วแรง คดเคี้ยวไปตามวิถีธาราอย่างที่ธรรมชาติต้องการให้เป็น

พิดิษซุกตัวเองอยู่ในมุมแคบๆ ของร้านกาแฟร้านเดียวในบริเวณนั้น เก้าอี้ไม้ตัวเล็กโยกคลอนไหวไปมายามเขาขยับร่าง ไอควันออกจากปาก ออกจากถ้วยชาและแก้วกาแฟเป็นหมอกสีขาวบางเบา แค่แวบเดียวก็ถูกกลืนมลืนหายไปในอากาศกว้างใหญ่

เขานั่งกระสับกระส่าย ยกข้อมือมองเข็มนาฬิกาอย่างอึดอัด เขามาถึงเมืองเล็กอันน่าอยู่นี้เกือบเที่ยงคืน เช็คอินโรงแรมอย่างเร่งรีบและหลับลงทันทีด้วยความอ่อนเพลีย ไม่มีเวลาแม้จะอาบน้ำเสียด้วยซ้ำ ขณะที่เช้านี้ความกระปรี้กระเปร่าก็ยังไม่คืนมา แต่ก็ต้องฝืนใจลุกจากที่นอนอบอุ่นอย่างไม่เต็มใจนักเพื่อมาตามหาคนที่เขานัดไว้

ทำไมป่านนี้สายของปู้เหว่ยยังไม่มา?

เขาบ่นพึมพำในใจ สายตากวาดไปทั่วบริเวณตลาดราวกับว่าทุกคนที่เดินจับจ่ายคือคนที่เขารอคอย

สักพักเขาก็รู้สึกโล่งใจ เมื่อหญิงสาวสวยนางหนึ่งนวยนาดมาหยุดตรงหน้า ในชุดกางเกงยีนสีเข้มกับเสื้อยืดสีแดงสด แต่ที่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นผ้าพันคอสีบานเย็น

“สั่งกาแฟแล้วทำไมยังไม่เติมนม”

เสียงใสปานระฆังกระทบโสต

เขารู้ว่านี่คือรหัสผ่าน จึงตอบกลับไปอย่างไม่เร่งรีบ

“อากาศยามเช้าเช่นนี้คงต้องเป็นกาแฟดำท่าจะเหมาะกว่า”

หญิงสาวยิ้มละไม แต่แววตามีท่าทีเหยียดหยันซ่อนอยู่ลึกๆ เขาสังเกตมันได้ทันก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะหายวับไปพร้อมกับอากาศอึมครึม

“คุณพิดิษ” หล่อนเอ่ยทัก

“ครับ คุณคือ...”

“ฉันชื่อวันดีค่ะ”

“เราจะคุยกันที่นี่เลยหรือ?”

หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ลูกน้องสุรชัยตาเป็นสัปปะรด ถึงแม้พวกนั้นมักจะตื่นสายกันก็เถอะ ฉันก็ยังไม่ไว้ใจ”

“ถ้าอย่างนั้น...”

“ไปที่บ้านฉันก็แล้วกัน” หญิงสาวตัดบท


****************

บ้านของวันดีเป็นทาวเฮาส์ชั้นเดียว อยู่ในซอยลึกที่มีทางเข้ากว้างขวางเหลือเฟือ ด้านหน้ารกครึ้มไปด้วยไม้ประดับหลากชนิด มีโต๊ะไม้สักสีทองกับเก้าอี้ตั้งอยู่หนึ่งชุด

เมื่อหญิงสาวเปิดบานประตูเหล็กด้านหน้าเข้าไป เห็นเก้าอี้ไม้วางยาวขนานกับผนังห้องอยู่ตัวหนึ่ง ผนังด้านขวามือคือชั้นวางทีวีและคอมพิวเตอร์อีกหนึ่งตัว ด้านหลังเป็นห้องนอน และถ้ามองเลยผนังสีขาวและตรอกทางเดินที่ปิดกั้นด้วยม่านมู่ลี่นั้นไปก็จะเจอห้องน้ำและห้องครัวที่อยู่คู่กัน หล่อนเชิญให้เขานั่งลงบนโต๊ะไม้หน้าบ้าน

เจ้าของบ้านเดินหายเข้าไปในครัว สักครู่หนึ่งก็ออกมาพร้อมแก้วน้ำเปล่าหนึ่งใบ

“คุณคงต้องพักที่นี่ ถ้านอนที่โรงแรมคงไม่น่าปลอดภัยเท่าไหร่ คุณไม่ใช่คนที่ไม่มีใครรู้จัก” หญิงสาวบอก

“เมื่อคืนผมนอนโรงแรมไปแล้ว ทำไมต้องวุ่นวายขนาดนั้น?” พิดิษสงสัย

หญิงสาวหันมามองหน้าเขา ถอนลมหายใจพรู

“ความจริงฉันก็ไม่อยากให้คุณอึดอัดที่จะต้องมาค้างในบ้านแคบๆ แบบนี้หรอก แต่เจ้านายสั่งมาแบบนี้ ที่นี่เขตของนายสุรชัยนะ ฉันอยู่ที่นี่มานาน พอจะคาดเดาได้ว่า ถ้าเขารู้ว่านายพิดิษ มือขวาผู้เก่งกล้าของปู้เหว่ยมาเหยียบตาปลาเขาถึงถิ่น เมืองนี้จะเกิดอะไรขึ้น”

ชายหนุ่มยักไหล่ “ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเจอนายสุรชัย หรือมาบู๊กับใคร นักวิทยาศาสตร์ของผมอยู่ที่ไหน?”

“ยังไม่รู้ แต่คนของสุรชัยได้รับการติดต่อมาจากใครคนหนึ่ง บอกว่าพวกนักวิทยาศาสตร์จะเข้าพบเขาวันนี้”

“ก็ดี...ที่ไหน?”

“รีสอร์ทวังชมพู ทางไปอำเภอสังขละฯ ห่างจากที่นี่ประมาณสิบกิโลเมตร”

“รีสอร์ทของใคร?”

“ของสุรชัย”

“งั้นก็ไปกันเลยสิ”


*****************


ร้านอาหารวังชมพูเป็นร้านเพิ่งเปิดใหม่ เจ้าของคือนายสุรชัย ตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ผู้มีอิทธิพลและเส้นสายระโยงระยางกับรัฐมนตรีบางคนในรัฐบาล

ตัวเรือนสร้างด้วยไม้ทั้งหลังยกเว้นเสาที่เป็นคอนกรีต กลางห้องโถงใหญ่เป็นที่ตั้งของเครื่องเสียงและจอทีวีขนาดใหญ่ ลดหลั่นระดับลงมาอีกชั้นเป็นระเบียง มีโต๊ะไม้รูปร่างบึกบึนอยู่สามชุด พื้นร้านสูงจากพื้นดินราวสามเมตร เบื้องล่างเต็มไปด้วยหิน ห่างออกไปประมาณสองเมตรเป็นธารใสไหลเย็น ไหลเลียบขนานความยาวเรือนไม้ สองฟากฝั่งดกครึ้มไปด้วยแมกไม้ กอไผ่สีเขียวกับเสียงน้ำไหลเอื่อยเฉื่อยฟังรื่นหูดั่งเพลงสุนทรีขับกล่อมจิตใจที่ป่วนปั่น

รถกระบะสีดำเร่งเครื่องขึ้นเนินดินต่ำเตี้ย ก่อนจะจอดนิ่ง มวลฝุ่นบางเบาลอยปลิวขึ้นจากพื้นอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะร่วงโรยแน่นิ่งลงบนพื้นดินที่พวกมันเพิ่งโผพ้นจากมา

ร่างชายสามคนก้าวลงจากประตูก่อนจะปิดมันลงอย่างนิ่มนวล แววตาตระหนกสามคู่มองกวาดรายรอบบริเวณราวเด็กที่ตื่นขึ้นมาแปลกถิ่นที่อยู่ สายตาเจือปนด้วยท่าทีหวาดระแวง

คนหนึ่งสวมแจ๊คเก็ตสีดำ กางเกงยีนสีซีด ร่างสูงชะลูดผิวคล้ำ เส้นผมบนศีรษะบางเบารับกับใบหน้ายาวยื่น อีกสองคนรูปร่างคล้ายกันคือเตี้ยม่อต้อและลงพุง แต่แต่งกายต่างกัน คนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงแสลกสีดำ ส่วนอีกคนกลับกัน กางเกงสีขาวแต่เสื้อเชิ้ตสีดำ ทั้งสามคนสวมแว่นสายตาในกรอบทึนทึก ก้าวเดินเข้าภายในร้านอย่างขัดเขินงุ่มง่าม

พิดิษกับวันดีนั่งบนโต๊ะอาหารร้านติดกัน เจ้าของมีอาชีพครูสอนหนังสือในตัวอำเภอ ไม่มีสิ่งใดกั้นระหว่างร้านทั้งสองนอกจากระเบียงริมน้ำ เขาหันหลังให้เป้าหมาย ฉะนั้น วันดีจึงทำหน้าที่เป็นตาหลังให้

“มากันแล้ว” วันดีบอกเขา

ชายหนุ่มขยับหนังสือพิมพ์ในมือยุกยิก ค่อยๆ หันกลับไปชำเลืองอย่างระมัดระวัง เป้าสายตาอยู่ห่างเกือบสิบเมตร

นั่นก็หมายความว่า ถ้าหากหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์สามคนนั้นหันมาสังเกตเห็นเขาเข้าในระยะเท่านี้ พวกนั้นจะต้องจำเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย

“ใช่พวกเขาจริงๆ ” ชายหนุ่มรีบหันกลับมาบอกกับวันดี

“นั่นนายสุรชัย เดินออกมาจากร้านแล้ว”

“เขาอยู่ในร้านตั้งแต่แรกเลยหรือ?” พิดิษถาม

“น่าจะใช่...ตั้งแต่เรามานั่งนี่ก็ไม่เห็นมีใครเดินเข้าร้านสักคน”

“คงต้องรอสักพัก ให้พวกเขาคุยธุระกันให้เสร็จก่อน จากนั้นค่อยสะกดรอยตามไป”

ชายสี่คนในร้านอาหารฝั่งตรงข้ามใช้เวลาคุยกันเป็นชั่วโมง อาหารถูกทยอยมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ ต่างจากของพิดิษกับวันดีที่มีเพียงสามสี่จาน เขาไม่อยากให้พนักงานเสิร์ฟเดินมาทางเขาบ่อยนัก
วันดีแอบลอบมองฝั่งตรงข้ามบ่อยครั้ง ท่าทางหล่อนตื่นเต้นพอสมควร
เมื่อหล่อนเผลอ พิดิษจึงแอบสังเกตใบหน้าหญิงสาวได้อย่างเพลิดเพลิน จมูกเธอโด่งเป็นสัน คิ้วโก่งได้รูป ผิวไม่ขาวมากนัก ผมยาวประบ่าถูกรวบด้วยหนังยางสีเหลือง ชายผมเกลี่ยบนแผ่นหลัง ท่าทางเหมือนคนร่าเริงตลอดเวลาแต่ก็ฉายแววดื้อรั้นบนดวงตาคมกริบ หล่อนคงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ดั่งคนหลงทาง หล่อนเป็นสายให้กับปู้เหว่ยที่แฝงตัวคลุกคลีอยู่ท่ามกลางคนเลวฝ่ายตรงข้าม เขาเองก็เป็นสายลับ นทส.

ต่างกันตรงไหน? เขาคิดเปรียบเทียบไปเรื่อยเปื่อย

วันดีบอกเขาเมื่อวานว่า จริงๆ แล้วบ้านเดิมหล่อนไม่ได้อยู่ที่นี่ หล่อนมีเชื้อสายมอญและย้ายมาจากสังขละบุรี

เขานึกถึงนาอู หล่อนก็มีเชื้อสายของคนกลุ่มน้อยที่มักได้รับการดูถูกเสมอจากคนเมือง ทั้งการกระทำและจากแววตาของพวกเขา มองคนพวกนี้เสมือนสัตว์เลี้ยงนำเข้าชนิดหนึ่ง มันดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่สุดท้ายก็คอยจ้องแต่จะหาประโยชน์จากคนไร้ทางเลือกในการดำรงชีวิตอย่างพวกเธออยู่ดี ไม่เห็นมีใครคนใดเอื้อเฟื้ออย่างจริงใจให้พวกนี้เลยสักนิด แม้แต่ปู้เหว่ยเองก็เถอะ พิดิษคิดอยู่ในใจ ถอนลมหายใจออกพรู

“พวกนั้นส่งซองสีน้ำตาลให้สุรชัย อาจเป็นเอกสารรายละเอียดสูตรยา”

วันดีพูดสะกิดเขาจากห้วงคะนึง สติจึงถูกดึงกลับมาอีกครั้ง

“ก็ยังไม่แน่” เขาบอก

“พวกนั้นกำลังออกไปแล้ว กับรถคันเดิม”

ชายหนุ่มชำเลืองตามอง เห็นรถสีดำกำลังแล่นออกไป

“คุณขับรถตามพวกเขาไป พบที่หมายแล้วอีกครึ่งชั่วโมงขับกลับมาที่นี่ แต่ไม่ต้องจอดรถ ขับวนไปเรื่อยๆ ผมจะออกไปขึ้นรถริมถนนเอง”

“คุณจะทำอะไร?”

“ไปได้แล้ว” พิดิษบอกหล่อนอย่างรำคาญ

ใต้ถุนร้านอาหารยกสูงจากพื้นสามเมตร เต็มไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อยตะปุ่มตะป่ำดังผิวมะระ

พิดิษเดินทรงตัวอย่างระมัดระวัง มือหนึ่งโหนตัวเองขึ้นบนต้นมะม่วงใหญ่ที่ดกครึ้มคลุมริมระเบียง ตวัดร่างขึ้นอย่างเงียบเชียบ สักพักก็หมอบพรางตัวเองอยู่บนกิ่งใหญ่ริมหน้าต่างของห้องๆ หนึ่ง เขาค่อยๆ กระเถิบตัวเข้าหาหน้าต่าง เมียงมองฝ่าแผงมุ้งลวดเข้าไปด้านใน

ชายร่างใหญ่กำยำนั่งกระหยิ่มยิ้มอยู่บนโต๊ะทำงานไม้สักกลางห้อง เสื้อยืดสีขาวรัดแผงอกให้ดูเน้นแน่นขึ้น หนวดเคราดกเข้มขับเน้นให้ใบหน้าหยาบกร้านดูน่าเกรงขาม ดวงตาขุ่นมัวมีแววพอใจอย่างลิงโลด ท่าทางสุรชัยคงได้สูตรยาจาคนพวกนั้นแล้วจริงๆ เขาคิด

สุรชัยกำลังยกสายโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานขึ้น บังเอิญบางสิ่งบนโต๊ะถูกมือใหญ่กร้านปัดถูกจนร่วงหล่นลงพื้น มันคือซองสีน้ำตาลนั้น เจ้าพ่อเมืองกาญจน์ก้มลงเก็บของสิ่งนั้นอย่างหัวเสีย

เป็นโอกาสให้พิดิษพุ่งพรวดกระแทกบานมุ้งลวดเข้าไปภายในห้อง

โครม !

ร่างล่ำสันกระแทกพื้นเสียงสนั่น เขาม้วนตัวเพื่อลดแรงปะทะ ตัวเขาจึงเซหลุนๆ ไปยันผนังห้อง

สุรชัยที่กำลังก้มเก็บของสะดุ้งสุดตัว เหลือบตาหันไปมองชายหนุ่มที่เพิ่งพรวดพราดเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ ในมือคนๆ นั้นมีปืน สัญชาตญาณนักสู้สั่งให้สายตาเจ้าพ่อเมืองกาญจน์เหลือบไปมองลิ้นชักโต๊ะโดยอัตโนมัติ แต่จากรูปการ หนุ่มใหญ่ใบหน้าเหี้ยมเกรียมคาดคะเนเอาว่าคงล้วงปืนออกมาไม่ทันกระสุนในมือพิดิษคงระเบิดใส่หัวเขาก่อน สุรชัยจึงตัดสินใจพุ่งชาร์จเข้าหาผู้คุกคาม

พิดิษรีบลั่นไก แต่เป้าหมายพลาด ข้อมือเขาโดนปัดทำให้วิถีกระสุนเฉียดร่างเจ้าของบ้านอย่างหวุดหวิด กำปั้นขนาดใหญ่พุ่งสวนมาที่ใบหน้า ชายหนุ่มหันหน้าหลบวูบ หมัดลุ่นๆ ถากหางคิ้วซ้ายไปอย่างฉิวเฉียด

พิดิษรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณนั้น เขากระแทกเข่าใส่หน้าท้องเจ้าพ่อเมืองกาญจน์ที่เสียหลัก

สุรชัยเซถลาตามแรงนั้น

พิดิษกระโดดตามอย่างไม่ยอมให้เสียโอกาส ถีบซ้ำอีกครั้งจนร่างใหญ่กว่าล้มลง

เสียงคนสามสี่คนกำลังวิ่งเข้ามาใกล้

ชายหนุ่มกระโดดล็อกประตู หันกลับไปเล็งปืนใส่สุรชัยที่หมอบราบคว่ำอยู่บนโต๊ะทำงาน กดปลายกระบอกจมเนื้อท้ายทอยนักเลงใหญ่แห่งหัวเมืองตะวันตก

“ส่งสุตรวีเคคืนมา”

“นายเป็นเจ้าของมันงั้นหรือ?” สุรชัยเล่นลิ้น แววตามองชายหนุ่มอย่างหยามเหยียด

พิดิษเกลียดแววตาแบบนี้ที่สุด ในเมื่อเขายังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่า แท้จริงแล้ว ตัวเขาเองเป็นคนดีหรือไม่ แววตาแบบนั้นไม่ควรมีใครใช้มองเขา

ชายหนุ่มระบายความอัดอั้นนั้นด้วยศอกหนักๆ ที่กลางแผ่นหลังที่หมอบราบอยู่บนโต๊ะนั้น

“พลั่ก”

“โอ้ก!” สุรชัยร้องลั่น

มีคนกระแทกที่ประตูห้องด้านนอกดังโครมคราม

“เจ้านาย เกิดอะไรขึ้นครับ?” เสียงดังมาจากประตู

“พังเข้ามาเลย ไอ้พิดิษมันบุกเข้ามาถึงนี่” สุรชัยตะโกนตอบลูกน้อง เสียงกระแทกประตูหนักขึ้น

พิดิษกดปากกระบอกปืนที่ท้ายทอยสุรชัยหนักกว่าเดิม เขาคิดว่าต้องรีบเร่งมือ

“สูตรยาวีเคอยู่ที่ไหน? ส่งมาซะสุรชัย ผมยังไม่อยากยิงคุณตอนนี้”

“แต่ฉันโคตรอยากยิงนายเลยว่ะ” สุรชัยแสยะยิ้ม ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมา ในมือเขามีปืน

พิดิษเดาว่าคงแอบล้วงจากลิ้นชักตอนที่เขาเผลอวิ่งไปปิดประตูห้อง

สุรชัยยกปืน ทำท่าจะลั่นไก

พิดิษไม่มีทางเลือก กระสุนจากปืนของเขาจึงเจาะหน้าอกซ้ายของเจ้าพ่อเมืองกาญจน์อย่างช่วยไม่ได้

ปัง!

สุรชัยหงายหลังตึง มือที่ถือปืนอยู่คลายออกสั่นระริก ของเหลวสีแดงเริ่มซึมออกมานองพื้น แววตามองพิดิษด้วยความเคียดแค้นปวดร้าว

เขาอยากจะเบือนหน้าหนี แต่คำพูดสุรชัยสะกดเขาไว้ให้ต้องสบตา

“นายกำลังทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง รู้ตัวไหม?”

“หมายความว่าไง?” พิดิษถาม เขาหันรีหันขวางเมื่อรู้สึกว่า ประตูกำลังจะถูกพังเข้ามาแล้ว

สุรชัยไม่ตอบ เปลือกตาเขาค่อยๆ ปิดลง ริมฝีปากมีรอยยิ้มแฝงอาการเหนื่อยอ่อนโรยล้า

พิดิษเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เขาไม่มีเวลา เมื่อภัยกำลังทะลุประตูห้องเข้ามา ดีที่บานเป็นไม้สักกับลูกบิดยี่ห้ออย่างดี ไม่อย่างนั้นป่านนี้มันคงถูกพังเข้ามาตั้งแต่นาทีแรกที่ลูกน้องสุรชัยมายืนออกันที่หน้าประตูแล้ว

ชายหนุ่มตัดสินใจวิ่งกลับออกทางหน้าต่าง พุ่งร่างออกไป กายเขาหล่นกระแทกง่ามกิ่งไม้ใหญ่ที่แผ่แยกแตกออกหลายกิ่งเหมือนอุ้งมือมหึมา เขาฉุดตัวเองให้ยืนขึ้น เมื่อทรงตัวบนกิ่งมะม่วงได้แล้วก็วิ่งออกไปยังปลายกิ่งฝั่งที่ติดถนน กิ่งไม้นั้นพาดสูงกว่ารั้วสังกะสีเล็กน้อย เขากระโดดข้ามไปอย่างไม่กลัวเจ็บ ในเมื่อเสียงกระสุนดังมาจากด้านหลัง หากโดนเข้า เขาคงเจ็บมากกว่านี้

เมื่อทิ้งตัวลงผิวลูกรังริมทาง ชายหนุ่มก็ม้วนตัวหนึ่งรอบลดแรงกระแทก ก่อนจะพยุงร่างลุกขึ้นวิ่ง หันซ้ายบ่ายขวา กวาดสายตามองหาวันดี ป่านนี้หล่อนน่าจะขับรถวนเวียนอยู่แถวนี้ เขาคิด

รถคันที่เขารอมาจากปลายถนนอีกด้าน หยุดกึกเบื้องหน้าเขา พิดิษเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างคนขับอย่างรีบลน

“ฉันไปกลับรถมาน่ะ” วันดีบอก

“ไปเลย!” พิดิษสั่ง

กระสุนดังตามหลังขึ้นอีกสองนัด


*************************


นักวิทยาศาสตร์สามคนหันมองหน้ากันเองเลิ่กลั่ก กระอักกระอ่วนใจแต่ไม่มีคำพูดใดต่อชายหนุ่มที่นั่งลงเบื้องหน้า ด้วยความที่คาดไม่ถึงว่าใครบางคนที่พวกเขากำลังนึกกลัวปรากฏอยู่ต่อหน้า

“พวกคุณตามเรามา...” หนึ่งในนั้นเริ่มตั้งคำถาม น้ำเสียงเบาหวิวเหมือนคนไม่มีอะไรจะพูดออกมา

พิดิษยิ้มเยือกเย็น “ใช่ ตั้งแต่ที่ร้านอาหารนั่นแล้ว ปู้เหว่ยให้ผมมาตามพวกคุณกลับ รู้ใช่ไหมว่าเพราะอะไร?”

ทั้งสามคนพยักหน้า แต่ก็ถามกลับ

“ถ้าพวกเราไม่กลับ จะเกิดอะไรขึ้น?”

“ทำลายสูตรยาวีเคซะ แล้วพาพวกเขากลับ ถ้าเขาไม่ยอม ให้ฆ่าเสียให้หมด ’ นี่คือคำสั่งของเจ้านาย” พิดิษบอก

แต่ละคนกระสับกระส่าย ทุกคนเงียบ นิ่งงันเหมือนไม่มีใครอยู่ในห้องนั้น

“คุณไม่รู้อะไรเลยสินะ?” คนสวมเสื้อขาวพูด

พิดิษเลิกคิ้วขึ้นสูง

“คุณพูดถึงอะไร?”

ทั้งสามคนหันมองพิดิษพร้อมกัน แล้วก็หันกลับไปมองกันเอง ยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย

พิดิษสืบเท้าเข้าหาคนทั้งสาม ถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเน้นย้ำเหี้ยมเกรียม

“พวกคุณพูดถึง...อะไร?”

ไม่มีใครตอบ

พิดิษชักปืนออกจากเอว เหมือนจะให้นักวิทยาศาสตร์สามคนรู้ว่าเขาเอาจริง แต่ก็ยังไม่มีใครปริปาก เขาสบตากับหนึ่งในนั้น

ชายร่างเตี้ยสบตาเขา หันไปมองวันดีที่นั่งคุมเชิงตรงประตู

พิดิษพอจะเข้าใจจึงบอกพวกเขาว่า

“ผู้หญิงคนนี้...ผมเชื่อใจเธอมากว่าพวกคุณซะอีก”

ชายร่างเตี้ยยักไหล่ “ก็ได้ แล้วแต่คุณ ผมจะบอกว่า สูตรยาไม่ได้อยู่ที่พวกเรา แต่ยังคงอยู่ที่น่าน ที่เดิม”

“หมายความว่าไง?” วันดีโพล่งขึ้น

พิดิษหันมองหล่อนด้วยสายตาห้ามปราม

“ก็แปลว่า สูตรยาอยู่ที่ปู้เหว่ยอยู่แล้ว”

“แล้วพวกคุณมาหาสุรชัยทำไม?” พิดิษถาม ท่าทางอมพะนำของนักวิทยาศาสตร์ทั้งสามทำให้เขาเริ่มรู้สึกอึดอัด

“เรามาให้เขาช่วย เขาคุ้มครองเราได้” นักวิทยาศาสตร์ร่างโย่งตอบ

“คุ้มครอง จากใคร?”

“จากคุณนั่นแหละ”

“ผมไม่ได้ต้องการฆ่าพวกคุณ แค่อยากให้กลับไปตามคำสั่งปู้เหว่ยเท่านั้น” พิดิษบอก

“ต่อให้คุณอยากจะฆ่าเรา เราก็ไม่กลับ” นักวิทยาศาสตร์ร่างเตี้ยอีกคนบอก ขยับคอเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาสวมยุกยิก เหงื่อแตกพลั่กเหมือนคนเพิ่งอาบน้ำแล้วไม่ได้เช็ดตัว


************************


ห้องนอนชั่วคราวของพิดิษคือหลังประตูเหล็กหน้าบ้านวันดี เธอเอาที่นอนปิกนิกปูให้เขานอนหน้าโต๊ะทีวี แสงไฟสลัวรางจากตู้ปลาส่องเข้าตาเขาจนยากที่จะข่มตาหลับ เจ้าหมอสีลอยตัวนิ่งเหมือนไร้ลมหายใจ กรวดทรายหลากสีบนพื้นตู้ดูละลานตา ตัดกับแสงไฟสีขาว ออกซิเจนพ่นเป็นฟองอากาศผุดผุยอยู่ตลอดเวลา กระทบแสงขาวสะท้อนระยิบระยับดังอัญมณีทรงกลมนับร้อยพัน มองดูราวโลกใต้น้ำในเทพนิยาย

เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้

“คุณคงยังไม่หลับ ฉันเอาผ้าห่มมาให้ เผื่อไว้...บางทีคืนนี้อาจหนาวอีกเหมือนหลายวันก่อน”

ชายหนุ่มรับผ้าห่มผืนบางจากมือเธอ กลิ่นกายหอมกรุ่นลอยกระทบจมูกเขา

หญิงสาวสวมชุดนอนสีบานเย็นบางเฉียบ เมื่อต้องแสงไฟตู้ปลาจากด้านหลัง ความโปร่งแสงทำให้ใจเขาเต้นแรงขึ้น ส่วนโค้งส่วนเว้าได้รูป เขาไม่ได้ตั้งใจมอง แต่ตอนหล่อนก้มลงยื่นผ้าห่มให้เขา ร่องอกมหึมานั้นก็พุ่งตรงเข้าเต็มสองตา

พิดิษขยับตัวยุกยิก เสมองไปทางที่ตั้งของจอทีวีที่ปิดสนิท

“คุณพิดิษ ฉันถามอะไรคุณสักอย่างสิ ทำไมคุณถึงปล่อยนักวิทยาศาสตร์พวกนั้นไป?”

เขาถอนลมหายใจพรู

หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว

“ผมยังไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง”

“แล้วพรุ่งนี้คุณจะทำอย่างไรต่อไป?” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องถาม

“คงต้องกลับน่าน”

“กลับยังไง ? ตอนนี้ทุกเส้นทางคงเต็มไปด้วยด่านสกัดจับคุณ”

“ถึงยังไง ผมก็เป็นที่ต้องการตัวของทางการอยู่แล้ว”

“แต่งานนี้คุณฆ่าคนสนิทของรัฐมนตรี พวกนั้นคงสั่งการให้พลิกแผ่นดินล่าคุณแน่”

“นั่นไม่สำคัญหรอก” ชายหนุ่มถอนใจอีกครั้ง

ชีวิตเขามีเรื่องให้เครียดมากมายเสียเหลือเกิน ปริศนายาวีเคยังคลุมเครืออยู่ มันยังไงกันแน่นะ? ชายหนุ่มครุ่นคิด ก่อนจะหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน




 

Create Date : 10 กันยายน 2553
1 comments
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2554 20:19:16 น.
Counter : 383 Pageviews.

 

นายดิษ โดนหลอกแล้วหรา

 

โดย: sakeena IP: 124.120.87.172 22 กันยายน 2553 11:26:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


sorwor
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ต้นเหตุแห่งการยินดีที่ได้รู้จักกันนั้น เริ่มที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ดอทคอมจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางงานเขียนนวนิยาย ทำให้พวกเรา สว. (สาวสวยสมวัย) เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันจัดทำบล๊อกขึ้นมาเพื่อเผยแพร่งานที่พวกเราเขียนเอง งานที่พวกเราทำด้วยใจรักและรักเหลือเกิน อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านและอยากได้คำติชมจากเพื่อนๆ เพื่อเป็นกำลังใจและนำพัฒนาทางการเขียนต่อไป


ฝากข้อความถึง"สวยสมวัย"







ซัน
โรแมนติก-อบอุ่น
ราคา 220 บาท



น้ำชารสสตรอเบอร์รี่
รัก-โรแมนติก
ราคา 190 บาท



ปางเสน่หา
โดย น้ำดอกไม้ (บัดดี้)
สนพ.พลอยชมพู




งานเขียนใน “สวยสมวัย”
เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
...........................
คิดเอง เขียนเอง
และสร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับตัวเองกันเถอะค่ะ


Friends' blogs
[Add sorwor's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.