บล๊อกสวยสมวัย MercuryBooks
Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
14 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
สายลับกลับใจรัก บทที่ ๘ โดย สามารถ

-8-

แดดยามบ่ายโลมไล้ผืนป่าที่ถักทอสีเขียวเต็มผืนดินสลับเหลื่อมสูงชัน นกกาฝูงเล็กๆ บินฉวัดเฉวียนเบื้องบน ส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ราวคนทุกข์ทรมานจากความอดอยากแร้นแค้น

ไม่มีลมพัด ท้องฟ้าอึมครึมขะมุกขะมัว อากาศร้อนรุ่มแห้งผากราวทะเลทรายบนภูสูง ต้นตะกูใหญ่ยืนนิ่งงันกลางลานโล่งไม่ไหวติงเหมือนสัญลักษณ์ของความตายอันตระหง่าน อารมณ์ของมันคล้ายกริ่งเกรงความร้อนจะหลอมละลายใบกิ่งหรือลำต้นให้เมลือนมลายสลายไปสู่อากาศธาตุ มันจึงพยายามไม่กระดิกพลิกพลิ้วตัวเองให้เป็นเป้าสายตาต่ออาทิตย์ทรงกลดเบื้องบน หารู้ไม่ว่าไม่มีสิ่งใดเล็ดรอดเนตรเจิดจ้าที่ส่องสาดกราดลงมาราวเปลวเพลิงลามเลีย

พิดิษฝังร่างนาอูลงบนเนินดินใต้ร่มเงาฉำฉาที่ทาบทับ ห่างจากกระท่อมผุพังของลุงเติบไม่กี่เมตร พื้นที่ตรงนั้นอยู่สูงที่สุดในบริเวณนั้น เขาหวังว่าเธอจะได้มองเห็นทิวทัศน์รอบๆ

ป้ายปีกไม้ขนาดยาวหนึ่งเมตรถูกตอกแขวนบนเสาเหนือหลุมศพ สลักอักษรไว้ว่า แด่หญิงสาวอันเป็นที่รัก

ชายหนุ่มลากมือเกลี่ยกองดินไปมา เหม่อลอยเศร้าซึม ราวคนไร้วิญญาณ เหงื่อไม่ไหลสักหยดทั้งที่แดดแรงร้อน

ร่างหนึ่งนอนสงบอยู่ข้างใต้นี้

ร่างของคนที่รักเขาเหลือเกิน

โลกนี้คงไม่มีใครรักเขาได้ไปกว่านี้อีกแล้ว น้ำตาทำท่าจะทะลักอีก เขาพยายามข่มกลั้นไว้ จำได้ว่าไม่เคยมีน้ำตาไหลมายี่สิบกว่าปีแล้ว เหมือนมันอัดกลั้นไว้นาน เมื่อถึงเวลา มันจึงโถมถั่งพรั่งพรูออกมายากจะหยุดยั้ง

เขาหันไปแกะช่อดอกไม้ที่ลุงเติบหามาให้อย่างเร่งรีบ มันเป็นเพียงดอกกุหลาบ สีแดงธรรมดาๆ แต่เป็นดอกไม้ที่เธอชอบ บอกว่ามันเป็นตัวแทนของความรัก รักของคนทั้งโลกที่มีต่อกัน รักที่เธอมีให้เขา

พิดิษวางช่อนั้นลงบนพื้นที่เพิ่งเกลี่ยเรียบ ถอนลมหายใจออกอย่างสุดกลั้น

ลาก่อน...นาอู หญิงสาวที่คอยเติมเต็มให้ชีวิตว้าเหว่ของเขา




ลุงเติบนั่งรอบนแคร่ไม้ไผ่หน้าประตูกระท่อม เหม่อมองออกไปยังทิวเทือกเขาที่ทอดยาว แกถอนหายใจพรูเมื่อเห็นพิดิษเดินเข้ามา
“ฉันเสียใจด้วยนะ” ชายชราบอก

พิดิษพยักหน้า

“เราจะเข้ากรุงเทพฯกันวันไหนลุง?”

“วันนี้เลย ฉันนัดหัวหน้าไว้แล้ว จะได้รู้ว่าแกควรทำยังไงต่อ”

“ผมต้องทำงานต่อให้จบ ตราบใดที่ไอ้พวกนั้นมันยังไม่ตาย ผมยังไม่เลิกราหรอก” พิดิษบอก ดวงตาปวดร้าวปริ่มเปรมไปด้วยหยดน้ำสะท้อนแดดจ้าเป็นประกายแวววาว

ลุงเติบหลับตานิ่ง ครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้นมาพูดกับเขา “พิดิษ ฉันรู้นะว่าแกคิดยังไง นาอูเป็นคนดี เป็นคนน่ารัก ใครเห็นใครก็รักเพราะเธอใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่มีพิษมีภัยกับใคร เป็นคนน่าสงสาร ชีวิตก็อาภัพ ถูกพ่อแม่ขายให้คนอื่น เป็นฉันก็คงเคียดแค้นไม่น้อยไปกว่าแก แต่ถ้าแกเอาเรื่องนี้มาปนเปกับงาน ฉันว่า มันจะไปไม่รอด นายอาจจะใช้แต่อารมณ์”

“ไม่หรอกลุง ” พิดิษเอ่ยเสียงเครือ หันมาบอกชายชราท่าทางขึงขัง“ไปเถอะลุง เตรียมตัวเดินทางกันได้แล้ว”

ห้องประชุมขนาดไม่ใหญ่นักอยู่ภายในตึกสิบสี่ชั้นริมถนนจรัลสนิทวงศ์ ตรงกลางเต็มไปด้วยโต๊ะที่วางต่อกันเป็นรูปรี ทำมาจากไม้อัดอย่างหนาแต่งลวดลายเรียบๆ เก้าอี้หนังสีดำวางระเกะระกะดั่งไม่มีคนดูแลเอาใจใส่ มู่ลี่บังผนังกระจกปิดสนิท ด้านหลังห้องแขวนจอมอนิเตอร์สีขาว อีกฝั่งเป็นรูปแผนที่ประเทศไทยขนาดใหญ่ บอกเส้นทางภูมิประเทศอย่างละเอียด ทั้งห้องทาสีขาว ไฟในห้องเปิดหมดจนสว่างจ้า

ในห้องมีสี่คน พิดิษกับลุงเติบนั่งคู่กันอยู่ด้านในสุด หดตัวลีบเล็กอย่างกับมีคนมากมายแน่นขนัดห้องประชุม เครื่องปรับอากาศทำให้ภายในห้องเย็นเฉียบ

ตรงข้ามชายชราคือหญิงสาวผิวขาว ใบหน้าเรียบเนียนนวล นัยน์ตาโศกนั้นถูกขีดกั้นด้วยกรอบแว่นสายตาสีกาแฟ เหมือนถูกกักขังอารมณ์ร่าเริงไว้ในกรอบนั้น เสื้อสูทสีน้ำเงินแบะปกออกโชว์ให้เห็นเนินเนื้อขาวผ่องแย้มพราย แต่เสื้อตัวในสีขาวก็ปกปิดส่วนต้องห้ามไว้มิดชิด เธอก้มหน้าก้มตาจดสิ่งที่คนอื่นพูดคุยกันยุกยิก ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมามอง กวาดสายตาไปรอบโต๊ะ ขนตางอนง้ำเหมือนคนดื้อรั้น ผมยาวหยักหยิกแต่พองามเกลี่ยไล้ไปมาบนแผ่นหลังที่ประสานเอวคอดกิ่ว

ชายผิวดำแดงนั่งอยู่หัวโต๊ะ โครงใบหน้าสี่เหลี่ยม หูสองข้างกางออกราวกระจกรถ แก้มตุ่ย หวีผมเรียบแปล้แสกข้างกับกรอบแว่นตาสีดำ นั่งหน้าเคร่งเครียดคิ้วขมวดราวกับแบกโลกทั้งใบเอาไว้

“คุณกำลังจะบอกว่า การที่กองกำลังผสมที่บุกขึ้นทำลายโรงงานของปู้เหว่ย ทำอะไรไม่ได้มากอย่างงั้นหรือ?” ชายที่นั่งหัวโต๊ะถาม

“ครับหัวหน้า” พิดิษเป็นคนตอบ “ปู้เหว่ยกำลังจะโละโรงงานนั้นทิ้งอยู่แล้ว”

“ทำไม?” หัวหน้าถาม

“เพราะเขาไม่จำเป็นต้องใช้มันน่ะสิ เขารู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็ว ตำรวจทหารจะต้องบุกขึ้นไปที่นั่น”

“แล้วมันจะไปทำมาหากินอะไรต่อ ถ้ามันเลิกค้ายา?”

“เขาไม่ได้เลิกหรอกครับ เขากำลังเบนเข็มฐานการผลิตไปที่อื่น” พิดิษตอบ

ลุงเติบนั่งกระสับกระส่าย เมื่อพิดิษพูดจบ แกก็เอ่ยขึ้นมาบ้าง

“ปู้เหว่ยรู้อยู่แล้วว่านายการุณย์ไม่ปล่อยเขาไว้แน่”

“อย่าพูดแบบนั้น ลุง!” หัวหน้าสวนทันควัน “เขาเป็นถึงรัฐมนตรี เราจะไม่พาดพิงถึงเขาไม่ว่าเป็นจริงหรือไม่ มันหมิ่นเหม่เกินไป ถ้าใครได้ยินเข้า...เข้าใจไหม”

ลุงเติบก้มหน้าลง แต่ไม่ได้แฝงความสลดในแววตาคู่นั้น

“หัวหน้าคงรู้เรื่องวีเคจากลุงเติบแล้ว” พิดิษเปลี่ยนเรื่อง

“ยังไม่ละเอียดนัก ตอนนี้สูตรยาอยู่ที่ใคร?”

“คิดว่ายังอยู่ที่ปู้เหว่ย”

“แต่ปู้เหว่ยหนีรอดไปได้” ลุงเติบพูดบ้าง

“เราไม่มีหลักฐานอะไร ว่าเขามีสูตรยาตัวใหม่นี้ ถ้าเราจะตามล่าเขาเอง เราก็ต้องหาหลักฐานหรือองค์ประกอบรายงาน เพื่อนำเสนอเบื้องบนให้อนุมัติ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทาง เพราะมีอีกทีมของ ปปส.ที่เขานำตำรวจ ทหารขึ้นจู่โจมโรงงานวันก่อน ถ้าเรื่องคดีเดียวกันที่ต่อเนื่องจากการบุกวันก่อน ทางเขาจะจัดทีมตามล่าปู้เหว่ยกับลูกน้องที่เหลือเอง”

“ถ้าอย่างนั้น เราไม่มีทางทำงานของเราต่อได้เลยหรือ?” พิดิษถาม น้ำเสียงแฝงความไม่พอใจ

หญิงสาวที่จดบันทึกวางปากกาลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย ดัดนิ้วมือทั้งสองข้างเสียงดังกรอบแกรบ สบตาพิดิษเหมือนจะค้นหาอะไรบางอย่าง

เขาสะดุดกึกกับคำพูดตัวเอง ครู่หนึ่งก็พูดต่อ

“เราต้องตามล่าเขานะครับ ถ้าไม่หยุดเขา วีเคต้องถูกผลิตออกมาจากที่ไหนสักแห่งแน่ มันจะระบาดเร็วกว่ายาบ้า ถึงตอนนั้น เราจะทำอะไรไม่ได้เลย”

“แล้วเราจะทำยังไง? ลำพังคำพูดของสายลับที่ไม่มีสถานะใน นทส. เอาเสนอเบื้องบนไม่ได้หรอก ใครจะอนุมัติ ไหนจะค่าใช้จ่ายอีก” หัวหน้าพูด หันไปสบตาลุงเติบอย่างจะขอความเห็น ถึงอย่างไร ลุงเติบก็ก่อตั้ง นทส.ขึ้นมาพร้อมกับยงยุทธ์ เขาจึงเกรงใจลุงเติบอยู่บ้าง แม้บางครั้งจะทำทีเหมือนไม่เห็นด้วยในแนวทางการทำงานแบบลูกทุ่งเรียบง่ายของแกก็ตามที

“ตราบใดที่ท่านการุณย์ยังอยู่ หัวหน้าก็รู้ เขาไม่ปล่อยพิดิษไว้หรอก โดยเฉพาะคดีสังหารนายสุรชัย ตอนนี้หมายจับออกแล้ว นอกเสียจากพิดิษจะจับปู้เหว่ยได้ แล้วผูกโยงเรื่องสุรชัยว่าเป็นคำสั่งของปู้เหว่ย ทำให้เป็นคดีฆาตกรรมธรรมดา แล้วกันพิดิษไว้เป็นพยาน ตอนนั้นการุณย์จะแตะต้องเขายากขึ้น ตอนนี้ พิดิษแทบจะยืนอยู่ในเมืองไทยไม่ได้ด้วยซ้ำ นอกจากต้องหลบๆ ซ่อนๆ ”

หัวหน้านิ่งเหมือนรู้สึกไม่พอใจที่ลุงเติบพาดพิงถึงคนใหญ่คนโตในรัฐบาล

หญิงสาวเริ่มก้มหน้าจดบันทึกใส่สมุดอีกครั้ง

ทุกคนจมอยู่ในความเงียบ

“เรายังมีงบลับ ที่ยังไม่ได้ใช้อีกนี่คะ เราดึงงบตัวนี้ออกมาใช้ได้ เงินส่วนนี้ใช้ได้โดยไม่ต้องทำรายการชี้แจง ส่วนคำสั่งปฏิบัติการ ก็ไม่จำเป็นต้องได้รับอนุมัติจากเบื้องบน เพราะคุณพิดิษไม่ได้มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่นทส. อย่างเป็นทางการ” หญิงสาวโพล่งขึ้น

ทุกคนหันขวับมามองเธอ

“หมายความว่ายังไง? ราตรี”

“ก็หมายความว่า เราสามารถตามล่าปู้เหว่ยและลูกน้องส่วนหนึ่งของเขาที่หลงรอดจากการทลายโรงงานได้อีกน่ะสิ” หัวหน้าเป็นคนตอบแทนเธอ

“งั้นก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” ลุงเติบว่า ถอนใจอย่างโล่งอก

“ไม่รู้เหมือนกัน บ่ายนี้ผมมีประชุมกับ ปปส. พวกคุณกลับไปรอฟังข่าวก่อน ราตรีเตรียมศึกษาความเป็นไปได้ก่อน ผมยังไม่แน่ใจนัก อีกสองวันจึงจะให้คำตอบเรื่องนี้ ”

ทุกคนพยักหน้า ทยอยลุกออกจากห้องประชุม

ครู่หนึ่งลุงเติบก็เดินตรงปรี่เข้าไปหาหัวหน้าที่ปลีกตัวเข้าห้องทำงาน แกผลักประตูเบาๆ กระจกใสนั้นก็แง้มออก

หนุ่มวัยสามสิบเจ็ดนั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีแต่เอกสารเต็มไปหมด แว่นสายตากรอบบางเฉียบวางใกล้ๆ มือ จอคอมพิวเตอร์พกพาเปิดอ้า ด้านหน้าโต๊ะมีเก้าอี้หนังสองตัว ผนังมีชั้นหนังสือ แผนที่โลก และแผนที่ประเทศไทยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรียงกันอยู่ อีกด้านหนึ่งเป็นกระจกใส เปิดม่านแง้มไว้ มองเห็นเมืองกรุงในมุมสูง ข้างล่างเต็มไปด้วยความวุ่นวายอลอึง

ลุงเติบหย่อนนั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่ต้องรอคำเชิญของเจ้าของห้อง อิริยาบถเชื่องช้าเนิบนิ่ม แต่แววตามุ่งมั่นท้าทาย

หัวหน้าสบตาแก่กร้าวแล้วก็หลุบลงต่ำ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ลุงมีอะไรอีกหรือ?”

“เรื่องเจ้าพิดิษ...”

หัวหน้ามองลึกเข้าไปในดวงตาชายสูงวัยครู่หนึ่ง เอ่ยอออกมาเบาๆ “พิดิษ ทำไม?”

“เขาสูญเสีย คนที่เขารัก แต่ว่า เขาก็มีความมุ่งมั่นเหลือเกินที่จะตามล่าปู้เหว่ยและพรรคพวกต่อ”

“เป็นเพราะต้องการล้างแค้น”

“ใช่ แต่ก็ไม่ทั้งหมด คุณชัยยุทธ์กำลังกลัวว่า เขาจะเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกันใช่หรือไม่?”

หัวหน้าพยักหน้า “ผมกลัวแน่ ถ้าเขาเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับงาน มันไม่มีทางสำเร็จหรอก หากพวกลุงสงสัยท่านรัฐมนตรีการุณย์จริง แม้ว่าจะใช่หรือไม่ มันก็ไม่มีทางสาวถึงตัวเขาได้ ในเมื่อพิดิษตั้งใจจะตามล่าปู้เหว่ยเพราะความแค้น เราจะไปเอาหลักฐานจากไหนสรุปคดี นอกจากซากศพ ไม่ของปู้เหว่ยก็พิดิษ”

“ถูกของหัวหน้า” คนส่งสารสายลับถอนใจ “แต่ความจริง ผมดูเด็กคนนี้มานานแล้ว และอยากจะบอกอะไรให้คุณชัยยุทธ์รู้ พิดิษเป็นคนที่เอาจริงเอาจังเสมอกับงาน หากระบบระเบียบเราไม่สลับซับซ้อนและเชื่องช้าเกินไป เขาพร้อมที่จะเอาปู้เหว่ยเข้าคุกได้นานแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ปล่อยเอ้อระเหยจนมันลอยนวลไปแบบนี้หรอก ที่เขามีความรักและสูญเสีย ก็เพราะคุณส่งเขาไปที่นั่นเพื่อเจอเรื่องแบบนั้นเอง”

“พ่อผมต่างหากที่เป็นคนส่งเขาไป ลุงกำลังจะบอกว่า ลุงเชื่อมือเขา”

ชายชราพยักหน้า “และผมก็เชื่อมั่นว่าเขาจะทำสำเร็จ”

ชัยยุทธ์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เอาล่ะ ผมจะลองเชื่อลุงดูก็ได้ พรุ่งนี้ประชุมเสร็จ อีกสองวันผมจะเรียกเขามาคุยอีกที”

ลุงเติบพยักหน้าด้วยแววตายินดี



ห้องโถงด้านหน้าห้องประชุมปูพื้นด้วยแกรนิตสีคล้ำตรงกลางมีโซฟารับแขกหนึ่งชุด

หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอย่างไม่เป็นระเบียบบนโต๊ะกระจก พาดหัวข่าวตัวโตถึงการทลายโรงงานยาเสพติดที่จังหวัดน่าน
ผลงานชิ้นโบแดงของตำรวจและทหาร

ไม่ปรากฏข่าวการตายหรือการจับกุมของนักค้ายาชื่อดัง

ด้านหน้าเป็นประตูลิฟต์ที่ปิดนิ่ง พิดิษยืนรอคอยอยู่ครู่ใหญ่แล้ว มันก็ยังไม่ขึ้นมา จึงหันหลังกลับจะถอยมาตั้งหลักรอบนโซฟา

ทันทีที่หันกลับ เขาก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเกือบชนร่างหนึ่งเข้า

“ขอโทษค่ะ ที่ทำให้ตกใจ” หญิงสาวสวมแว่นเอ่ยขอโทษ

“ราตรี” พิดิษคราง พินิจใบหน้าหญิงสาว ถอนหายใจพรู กวาดสายตามองไปรอบบริเวณ “เมื่อครู่ต้องขอบคุณ ที่คุณช่วยหาทางออกให้”

“ทางออก ทางออกอะไรกันคะ?”

“เรื่องที่คุณเสนอแผนการตามล่าปู้เหว่ยกับลูกน้องของเขา”

“ฉันก็แค่นึกได้ หัวหน้ารับผิดชอบงานมากจนหลงลืมไปว่า เรามีระเบียบข้อนี้อยู่ด้วย ฉันไม่ได้ช่วยเหลืออะไรคุณเป็นการส่วนตัว อีกอย่าง มันก็ไม่แน่นักว่าคุณชัยยุทธ์จะเอาด้วยกับเรื่องนี้”

“ยังไงมันก็เข้าทางผมพอดี”

“คุณจำเป็นต้องตามล่าปู้เหว่ยมากขนาดนั้นเลยหรือ?” เธอถาม

แววตาเขาหม่นวูบ สลดลงจนเหมือนเธอจะสังเกตเห็น หญิงสาวกำลังพูดสะกิดแผลในใจของเขาเข้า

“ว่าแต่ คุณกำลังจะไปไหน? หัวหน้าบอกว่าคุณไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรือ คุณควรจะอยู่แต่บนออฟฟิศนี้นะ ถัดจากห้องประชุมไปเป็นห้องพักรับรอง เวลาหัวหน้ามีงานเยอะเขาจะค้างที่นี่ ตอนนี้หัวหน้ายกให้คุณ จะลงไปเพ่นพ่านข้างล่างหรือที่ไหนตอนนี้ไม่ได้หรอก ตำรวจทั้งประเทศกำลังตามล่าคุณอยู่”

พิดิษยิ้มที่มุมปาก มันไม่ใช่อาการยินดี แต่มันเป็นการเย้ยหยันอะไรสักอย่างที่เขาแสดงออกได้ตอนนี้

“ผมลบชื่อคนเลวออกจากสังคมหนึ่งคน ยังควรต้องได้รับโทษอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่...คุณเป็นผู้ร้ายฆ่าคนเลว และนั่นก็ทำให้คุณเป็นคนผิดเช่นกัน”

“แล้วถ้าผมเป็นตำรวจ การฆ่านายสุรชัยจะเป็นความผิดไหม?”

หญิงสาวนิ่งเงียบ

พิดิษก้าวเดินไปหาลิฟต์

“คุณพิดิษ” เขาหันกลับมามอง “ไม่มีใครที่ทำงานลับแล้วกลับมาไม่มีแผล”

เขาทำท่าไม่ใส่ใจ กดปุ่มซ้ำๆ เหมือนกำลังรีบหนีอะไรสักอย่าง

เขากำลังหนีความรู้สึกตัวเอง

“คุณจะไปไหน?” หญิงสาวร้องถาม มือข้างหนึ่งขยับแว่นให้กระชับขึ้น ดวงตาโศกซึ้งภายในกรอบกะพริบถี่

“กลับบ้าน” พิดิษตอบโดยไม่มองหน้า

ประตูลิฟต์เปิดออก

ชายหนุ่มก้าวเข้าด้านใน

ประตูปิด

หญิงสาวยืนนิ่งงันอยู่คนเดียว หน้าลิฟต์ตัวนั้น



รถกระบะสีบรอนซ์เงินมลืดซีดวิ่งไปตามถนนมิตรภาพช่วงสระบุรี-โคราชยามพลบค่ำ เครื่องยนต์ดีเซลครางหึ่ง เสียงอื้ออึงอลดังอยู่ในหัวของเขา

ลุงเติบพยายามทักท้วงไม่ให้พิดิษออกมาเพ่นพ่านด้านนอก แต่เขาก็ยังดื้อรั้น

“ถ้าผมจะถูกจับ คงเป็นเมื่อสี่ปีก่อนแล้ว ลุงไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก อีกสองวันผมจะกลับมาเอาคำตอบจากหัวหน้า” เขาบอกลุงเติบไปแบบนั้น เพื่อนต่างวัยจึงจึงให้กุญแจรถเขายืมมา

ถนนสี่เลนเอื้ออำนวยให้รถแล่นฉิว ทำความเร็วได้ตามต้องการ รถบรรทุกส่วนใหญ่ขับชิดซ้าย ต้นไม้สองข้างทางหลงเหลือความเขียวขจีไว้มากกว่าถิ่นที่เขาเพิ่งจากมา

ชายหนุ่มสลดวูบในหัวใจ ใครคนหนึ่งถูกเขาทิ้งไว้ที่นั่น แม้จะเหลือเพียงร่าง ไร้ซึ่งลมหายใจ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยหัวใจบริสุทธิ์ที่ล่องลอยวนเวียนควบคู่ไปกับวิญญาณอาภัพดวงนั้น

นาอู...ตอนนี้เธออยู่ไหน? อยู่ในโลกหน้าหรือไม่?

คันเร่งถูกเหยียบให้จมเกือบมิด เป็นเรื่องดีที่ลุงเติบให้เขายืมรถคันนี้มา อย่างน้อย มันก็คงดีกว่าจะนั่งรถโดยสารรวมกับคนหมู่มาก ซึ่งมันอาจไม่ทำให้เขาปลอดภัยนัก

รถวิ่งมาถึงทางแยก เขาหักพวงมาลัยบังคับรถขึ้นสะพาน ป้ายบอกตัวหนังสือว่าไปเขาใหญ่ วิ่งต่อไปเรื่อยๆ ก็พบป้ายทางแยกเล็กๆ ซ้ายมือ เขาเลี้ยวเข้าไป สิบนาทีรถก็จอดสนิทนิ่งหน้าบ้านหลังหนึ่ง

ไฟในบ้านเปิดอยู่ คนข้างในคงยังไม่หลับ

พิดิษก้าวออกจากรถ ปิดประตูและยืนเก้กัง

สี่ปีแล้วที่จากที่นี่ไป ไม่มีแม้แต่คำร่ำลาอวยชัย มีแต่ความปวดร้าวขมขื่นและชิงชัง

ประตูเปิดออก ไฟหน้าบ้านเสว่างจ้า ร่างหนึ่งก้าวออกมายืนมอง ร่างนั้นสวมผ้าถุงสีดำ เสื้อยืดสีเขียว ผมม้าปรกหน้าผากกับใบหน้าที่เขาคุ้นเคย หญิงคนนั้นก้าวลงบันไดมา สายตายังเพ่งมองอย่างลำบากยากเย็น นางหันกลับไปข้างบนบ้านเหมือนมองหาใครสักคนให้โผล่ออกมาช่วยกันดูบ้าง ว่าแขกผู้มาเยือนยามวิกาลเป็นใคร แต่ไม่มีร่างใดยืนอยู่ตรงนั้น นางจึงหันกลับมาที่รถ เดินตรงดิ่งเข้ามาอย่างลังเล

“แม่...” พิดิษคราง

หญิงกลางคนหยุดกึก ร่างสั่นเทิ้ม เดินสาวเท้าเข้าหาเขาจนแทบจะผวาวิ่งเข้ามา

พิดิษโผเข้าหานาง

ร่างสองร่างสวมกอดด้วยความอาดูร

“เจ้าดิษ” นางเรียกเขา น้ำเสียงสั่นเครือที่คุ้นเคย ในตามีน้ำปริ่มออกมา สักครู่ก็ทะลักล้น ประกายหยดน้ำสะท้อนแสงไฟหน้าบ้านวับวาว

“เป็นไงบ้างลูก...แม่นึกว่าจะไม่ได้พบหน้าแกเสียแล้ว” แม่คลายอ้อมกอด ยกมือขึ้นลูบแก้มเขาแผ่วเบา

พิดิษมองตามร่างที่ผละออกด้วยความเสียดาย นานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกถึงสัมผัสนี้ มันอบอุ่นตื้นตันและสุขล้น เขารู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยขึ้นสู่ดินแดนอันไกลโพ้น ที่นั่นเต็มไปด้วยปุยเมฆสีขาวและกลิ่นหอมหวน

“สบายดีแม่” พิดิษตอบ เพ่งพินิจใบหน้าที่อิ่มเอิบของมารดา

แม่แก่ลงไปมาก ผมสีขาวหงอกแซมใบหู ริ้วรอยแห่งกาลเวลาและสังขารเด่นชัดขึ้น มีเพียงแววตาที่เปี่ยมด้วยรักเอื้ออาทรเท่านั้น ที่เปล่งประกายเจิดจ้าไม่เปลี่ยนแปลง

“แล้วพ่อล่ะ?”

แววตาแม่หล่นวูบ ผินหน้าไปบนบ้าน

“อยู่บนบ้านนั่นแหละ”

ทั้งสองคนตระกองกอดประคองกันขึ้นบันได

พิดิษไม่อยากปล่อยมือออกจากแม่แม้สักวินาทีเดียว ในเมื่อความอบอุ่นชำแรกแทรกซ่านเข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปของเขา แล้วใยเขาจะต้องผละออกจากมันอย่างคนโง่เขลา

ประตูถูกดึงออก ชายที่นั่งบนโซฟาหันหลังให้ สมาธิจดจ่ออยู่กับข่าวทีวี

ในข่าวเสนอสกู๊ปพิเศษในคดีการตายของสุรชัย พิธีกรวิเคราะห์เจาะลึกยืดยาวเรื่อยเปื่อยถึงสาเหตุและการผูกโยงเครือข่ายยาเสพติด แต่ไม่มีสักคำที่เอ่ยถึงต้นตอใหญ่อย่างรัฐมนตรีการุณย์

พิดิษเรียกคนที่นั่งอยู่เบาๆ

“พ่อ”
ชายบนโซฟาหันกลับมา สายตามีแววตระหนกระคนสงสัย ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนวูบเป็นชิงชังเย็นชา พ่อลุกขึ้นยืน เอ่ยกับแม่โดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา

“ฉันไปนอนก่อนนะ”

แม่พยักหน้า ถอนใจพรู ยกมือลูบท้ายทอยพิดิษขึ้นลงไปมาเหมือนกับจะปลอบใจเขา

“อย่าคิดมากเลยนะลูก พ่อเขาก็เป็นแบบนี้แหละ”

ชายหนุ่มยิ้มเหงา ก้มหน้าสบตาแม่ ดวงตาปริ่มน้ำ เขากระพริบตาถี่ๆสักครู่ก็รู้สึกดีขึ้น

“ไม่เป็นไรหรอกแม่ ฉันมันไม่ดีเอง เรียนโรงเรียนตำรวจสมใจพ่อดีอยู่แล้ว แต่กลับมาเป็นกุ๊ยข้างถนนอย่างที่เขาว่ากัน มันก็สมควรที่พ่อจะเกลียดฉัน ในเมื่อมันไม่เป็นธรรมกับแกสักนิด ที่จู่ๆ ความหวังก็มาพังทลายลงต่อหน้าต่อตา”

“ไม่หรอกลูก ชาวบ้านบางคนเขาไม่ถูกกับพ่อมาตั้งนานแล้ว ถึงลูกได้เป็นตำรวจอย่างที่พ่อแกหวังไว้ มันก็ต้องมีเรื่องให้ดูถูกดูแคลนกันไม่จบไม่สิ้น เป็นธรรมดาที่คนเรามันไม่ถูกกัน มันก็มักจะหาเหตุหาผลมาหาเรื่องกันอยู่ร่ำไป คนเราจะไม่มีสิ่งดีในสายตาของคนที่เขาเกลียดชัง”

“พ่อคงเสียใจ ที่ผมทำให้แกถูกเขาเหยียดหยามมากขึ้น” พิดิษพูดเสียงสั่นเครือ

ทุกอย่างมันทำให้เขาปวดใจ เขากำลังจะได้เป็นตำรวจอย่างที่พ่อคาดหวัง พ่อทุ่มเทกับเรื่องนี้มาก

แกเคยเปรยให้เขาฟัง ว่าวันหนึ่งวันใดที่เขาเรียนจบโรงเรียนตำรวจ เขาจะเป็นนายตำรวจคนเดียวของหมู่บ้านนี้ ชาวบ้านที่เคยดูถูกแกคงสำนึกได้ว่า คนจนอย่างพ่อ ก็มีลูกเป็นเจ้าคนนายคนได้เหมือนกัน

“แล้วเป็นไงมาไง แกถึงมาที่นี่ได้ ทางการเขาตามล่าหาตัวแกให้วุ่น หลายวันก่อนมีตำรวจมาถามหาแก แกฆ่าคนตายจริงหรือพิดิษ” เสียงแม่สั่นเครือ

ชายหนุ่มอึ้ง

แม่ก็นิ่งเงียบไป น้ำตาไหลพรากออกมาเป็นรอบที่สอง แกส่ายหน้าพยายามไม่เข้าใจในคำตอบที่นิ่งงันของลูก

“ไม่จริงใช่ไหมพิดิษ? แกไม่ได้เป็นผู้ร้ายฆ่าคนหรอกใช่ไหมลูก แม่เลี้ยงแกมาตั้งแต่ยังเล็ก เฝ้าหวังให้แกได้ดิบได้ดี พร่ำสอนเสมอถึงการเป็นคนดีมีศีลธรรม ตอนนี้แกเป็นฆาตกร เป็นพ่อค้ายาอย่างที่ข่าวเขาลงไปได้ยังไง? แม่ไม่เข้าใจเลย” แม่ร้องสะอึกสะอื้น

พิดิษเองก็น้ำตาไหล นึกสงสารแม่จับใจ แต่เขาจะบอกแม่ได้อย่างไรว่ามันไม่ใช่อย่างที่แม่คิด เขาไม่ได้ตั้งใจเป็นฆาตกร หรือพ่อค้ายา

เขาเป็นสายลับ ที่ทำไปก็เป็นงานทั้งนั้น ตอนนี้ที่เขาต้องตกเป็นจำเลยก็เพราะความผิดพลาดของระบบ ระบบที่สลับซับซ้อนยุ่งเหยิงเกินไป คนเลวมันจึงยังลอยนวล ส่วนคนที่ทำตามหน้าที่กลับต้องพลิกผันชีวิตตัวเองให้ต้องก้าวเดินเข้าสู่ตรอกตัน มันมืดมิด สกปรกหดหู่ และสิ้นหวัง

สายลับหรือ? เขาถามตัวเอง บางที เขาอาจเป็นคนเลวจริงๆ ก็ได้ สายลับไม่ได้แปลว่าคนดี ความหมายมันไม่ใกล้กันสักนิด เขาค้ายา เขาฆ่าคน เขาสับสน

“ฉันจะกลับมาอยู่ที่นี่สักพักน่ะแม่ ไปอยู่บ้านเราในไร่ คงไม่มีใครรู้”เขาบอกแม่ สองมือบีบไหล่นางแผ่วเบาอ่อนโยน “แม่ฟังฉันให้ดีนะ แม่เลี้ยงฉันมาอย่างไร มันก็ยังเป็นอย่างนั้น ตราบใดที่ไอ้ดิษคนนี้ยังเป็นลูกแม่ มันไม่มีทางเป็นคนเลว”


พิดิษออกไปสตาร์ทรถด้านนอก

เสียงทีวียังดังแว่วมาไกลจากบ้านหลังถัดไป ข้างบ้านได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเหมือนคนเมาทะเลาะกัน เด็กเล็กร้องกระจองอแง รถเครื่องแต่งท่อไอเสียแผดเสียงหนวกหูผ่านหน้าบ้าน ไฟชั้นบนถูกดับ

แม่พยักหน้าเซื่องซึม ทรุดนั่งลงบนโซฟา น้ำตายังคลอ



Create Date : 14 เมษายน 2554
Last Update : 14 เมษายน 2554 13:33:13 น. 0 comments
Counter : 369 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sorwor
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ต้นเหตุแห่งการยินดีที่ได้รู้จักกันนั้น เริ่มที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ดอทคอมจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางงานเขียนนวนิยาย ทำให้พวกเรา สว. (สาวสวยสมวัย) เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันจัดทำบล๊อกขึ้นมาเพื่อเผยแพร่งานที่พวกเราเขียนเอง งานที่พวกเราทำด้วยใจรักและรักเหลือเกิน อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านและอยากได้คำติชมจากเพื่อนๆ เพื่อเป็นกำลังใจและนำพัฒนาทางการเขียนต่อไป


ฝากข้อความถึง"สวยสมวัย"







ซัน
โรแมนติก-อบอุ่น
ราคา 220 บาท



น้ำชารสสตรอเบอร์รี่
รัก-โรแมนติก
ราคา 190 บาท



ปางเสน่หา
โดย น้ำดอกไม้ (บัดดี้)
สนพ.พลอยชมพู




งานเขียนใน “สวยสมวัย”
เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
...........................
คิดเอง เขียนเอง
และสร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับตัวเองกันเถอะค่ะ


Friends' blogs
[Add sorwor's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.