ต่อมา กลุ่มจังหวัดสนุก (สกลนคร นครพนม มุกดาหาร)รวมตัวกันภายใต้โครงการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดสนุก ตามรอยอารยธรรมลุ่มน้ำโขง(ธรรมะ ธรรมชาติ วัฒนธรรม) สู่สากล รวมชนเผ่าทั้งหมด 9 ชนเผ่า 2เชื้อชาติแถบลุ่มน้ำโขง กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ทั้ง 3จังหวัด
ได้แก่ไทยลาว (ไทยอีสาน) ไทญ้อ (ไทยย้อ) ผู้ไท (ผู้ไทย) ไทโส้ (ไทยโส้) ไทกะเลิง(ไทยกะเลิง) ไทข่า (ไทยข่า) ไทแสก (ไทยแสก) ไทกวน (ไทยกวน) และ 2 เชื้อชาติ คือชาวไทยเชื้อสายจีน และเวียดนาม ซึ่งแต่ละชนเผ่าล้วนมีวิถีชีวิต เรียบง่าย รักสงบ (Slowlife) ตามวิถีตนเอง เสน่ห์เฉพาะถิ่นของที่นี่คือ งานหัตถศิลป์ เช่น งานทอผ้า งานใบตอง งานเครื่องจักรสาน งานดนตรีและศิลปะการทำอาหาร
ทางสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครพนมและกลุ่มจังหวัดสนุก รวมตัวกันภายใต้โครงการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดสนุกตามรอยอารยธรรมลุ่มน้ำโขง (ธรรมะ ธรรมชาติ วัฒนธรรม) สู่สากลโดยนำวิถีประเพณีวัฒนธรรมอันเป็นอัตตลักษณ์และเอกลักษณ์ในความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความโดดเด่นมาสร้างสรรค์พัฒนาเป็นสินค้ากิจกรรมทางการท่องเที่ยวเพื่อนำเสนอให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปได้รับรู้และเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ท้องถิ่น
การตอบรับคำเชิญมาร่วมงาน มหกรรมท่องเที่ยววิถีชนเผ่างานศิลป์ถิ่นสนุก ในทริปนี้เรามีโอกาสได้ไปชมชนเผ่าต่างๆถึง3 ชนเผ่า
เริ่มที่ ท่าอุเทนเป็นถิ่นฐานของชาวไทยย้อหรือไทญ้อ ซึ่งถิ่นฐานเดิมของไทญ้ออยู่ที่เมืองหงสา แขวงไชยบุรี ของประเทศลาวหรือจังหวัดล้านช้างของไทยต่อมาได้มาตั้งเมืองขึ้นใหม่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงตั้งเป็นเมืองท่าอุเทนเมื่อ พ.ศ. 2373 คือบริเวณท่าอุเทนจังหวัดนครพนมในปัจจุบัน
จากนั้นมาชมพระธาตุท่าอุเทน (ตอนนี้กำลังซ่อมเลยขอเอารูปที่เคยไปมาก่อนหน้านี้มาให้ชม) พระธาตุนี้เป็นศิลปกรรมและปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งองค์หนึ่งบรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ ซึ่งพระอาจารย์ศรีทัตถ์ได้อัญเชิญมาจากเมืองย่างกุ้ง จพระธาตุองค์นี้มีสิ่งที่ตรงกับเทพประจำวันศุกร์และเชื่อกันว่าผู้ที่เกิดวันนี้เป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รักอิสระรักสวยรักงาม ผู้ที่ไปนมัสการพระธาตุแห่งนี้จะได้รับอานิสงส์ให้ชีวิตมีความรุ่งโรจน์เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ขึ้นยามรุ่งอรุณและยังมีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมภูมิ-มูนมังศูนย์ข้อมูลย่านชุมชนเก่าท่าอุเทนอีกด้วย
ชนเผ่า ไทยข่า ที่อาศัยในเขตอำเภอธาตุพนมจังหวัดนครพนม ไทยข่ามีถิ่นดั้งเดิมอยู่แขวงสุวรรณเขตสาละวัน และอัตปือของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและได้อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา
ได้ทานอาหารกลางวันกันแบบพาข้าวแล้วนั่งอีแต๊กชมทุ่ง รวมถึงการแสดงพิธีเหยา (การเลี้ยงผีหมอ) การแสดงเส็งกลองหางการแสดงฟ้อนปะลองแคนเกียวกะมูน (รำฟ้อนเกี้ยวสาว)
ชาติพันธุ์ที่3 ที่ไปชมคือ ชนเผ่าไทโซ่ หรือ ไทยโส้เป็นชนกลุ่มหนึ่งในจำนวนกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดสกลนครรวมกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ในอำเภอกุสุมาลย์ซึ่งอพยพมาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว
ไทยโส้ มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นมากไม่ว่าจะเป็นภาษา พูด ที่ฟังดูแล้วจะคล้ายๆ กับภาษาเขมรหากไม่ใช่คนในอำเภอกุสุมาลย์ หรือไม่มีความรู้ในเรื่องของภาษาโส้จะไม่สามารถทราบความหมายได้เลยว่า คู่สนทนาของตนพยายามจะสื่ออะไรเพราะว่าในตัวของภาษาจะฟังยากเอาการ
ชุดประจำเผ่า จะเป็นชุดสีดำเสื้อทรงกระบอกแขนยาวสีดำแต่งชายและแขนเสื้อด้วยสีแดง ส่วนผ้าถุงเป็นผ้าถุงยาวสีดำเช่นกัน ต่อชายผ้าถุงด้วยผ้าซิ่นลวดลายต่างๆเครื่องประดับเป็นเครื่องเงินทั้งหมด มีสร้อยคอ เข็มขัด ต่างหู ดูแล้วสวยงามมากพร้อมชมการแสดงโส้ทั่งบั้ง
ก่อนไปแวะเที่ยวแลนด์มาร์คของนครพนมลานพญาศรีสัตตนาคราช แลนด์มาร์คอันศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดนครพนมองค์พญาศรีสัตตนาคราช หล่อด้วยทองเหลือง มีน้ำหนักรวม 9,000 กก.เป็นรูปพญานาคขดหาง 7 เศียรประดิษฐานบนแท่นฐานแปดเหลี่ยม กว้าง 6 เมตร ความสูงทั้งหมดรวมฐาน 15 เมตรสามารถพ่นน้ำได้
การก่อสร้างครั้งนี้เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อเกี่ยวต่อเรื่องพญานาคของชาวไทยและชาวลาวที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงอีกทั้งยังต้องการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนมเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นแลนมาร์กแห่งใหม่อีกจุดหนึ่งของภูมิภาคนี้
พร้อมกันนี้ได้ไปวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ประดิษฐาน ณ ริมฝั่งแม่น้ำโขง ถนนชยางกูรบ้านธาตุพนม ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีลักษณะเป็นเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมจตุรัสก่อด้วยอิฐกว้างด้านละ 12.33 เมตรสูง 53.6 เมตรมีกำแพงล้อมองค์พระธาตุ 4ชั้น องค์พระธาตุตั้งอยู่บนภูกำพร้า(เนินดินสูงจากพื้นธรรมดาประมาณ 3เมตร)ภายในบริเวณมีบึงขนาดใหญ่เรียกว่าบึงธาตุพนม ในวันเพ็ญเดือน 3 ถึงแรม 1 ค่ำเดือน 3 ของทุกปีจะมีงานประจำปีเพื่อเป็นการนมัสการพระธาตุพนมเป็นพระธาตุประจำวันเกิดของผู้เกิดปีวอก
อุโมงค์นาคราชส่วนหนึ่งของเส้นทางปั่นจักรยานริมแม่น้ำโขงของจังหวัดนครพนม เพิ่งเปิดได้ราว8เดือนจังหวัดนครพนม มีความหลากหลายมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมากมายและเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับความงดงามของฝั่งแม่น้ำโขงมากยิ่งขึ้นจึงได้มีการจัดทำเส้นทางจักรยานให้ยาวกว่า 70 กิโลเมตรเลยทีเดียว ซึ่งอุโมงค์นาคราชก็เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางจักรยานริมแม่น้ำโขงนั่นเอง
ก่อนแวะไปสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 3 เป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศไทยที่หมู่ที่1 บ้านห้อมตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม กับประเทศลาวที่บ้านเวินใต้เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน เป็นเส้นทางการคมนาคมขนส่งด้านการค้าและการท่องเที่ยวเชื่อมโยงจากประเทศไทย ประเทศลาว ประเทศเวียดนามและภาคใต้ของประเทศจีน ซึ่งมีความยาวรวม 1,423 เมตร มีความกว้าง 13 เมตรและมีการช่องจราจร 2 ช่องและไม่มีทางรถไฟ และเพื่อเป็นการรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2015
มีโอกาสได้ฟังการเสวนาหัวข้อศาสตร์พระราชากับการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืนเขตพัฒนาการท่องเที่ยวลุ่มน้ำโขง จัดที่นครพนมโดยมีผู้ร่วมเสวนา คุณสมชาย ชมภูน้อยผู้อำนวยการภูมิภาคภาคอีสาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) คุณสุเทพ เกื้อสังข์ รองผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.)คุณสาธิตา โสรัสสะ ประธานมีเดีย แอนด์ บล็อกเกอร์ คลับ
ส่วน อาหารเฉพาะถิ่นของที่นี่ อร่อยหลายอย่างเช่น เมนูต้มยำปลาเผาะ
อาหารเหล่านี้ซึ่งเป็นอาหารพื้นถิ่นดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพที่ชนเผ่าต่างให้ความสำคัญและพิถีพิถันในการปรุงอาหารอย่างมาก วันนี้ลาเพียงเท่านี้ไปก่อน โอกาสหน้านำเรื่้องราวดีๆมาฝากกันอีกค่ะ แต่ถ้าไม่ได้เดินทางก็สามารถใกล้ชิดวิถีชนเผ่า งานศิลป์ถิ่นสนุก ในวันที่ 18-21 ธันวาคม@ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะกันได้ค่ะ