ทริปของพวกเราได้เดินทางจากสนามบินดอนเมืองประมาณ 6 โมงครึ่ง ไปถึงสนามบินงูราฮ์ไร เมืองเดนปาซ่าร์ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ราว 11 โมงกว่านิดๆ
จากนั้นรอเปลี่ยนเครื่องเพื่อบินไปลงที่สนามบินยอกยาการ์ต้า(เวลาท้องถิ่นช้ากว่าบาหลี 1 ชั่วโมง และเท่ากับเวลาที่ประเทศไทย) ถึงที่นี่ก็ประมาณ 15.40 น. ทุกคนจัดการสัมภาระและรายละเอียดการเข้าประเทศของตัวเองเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินทางไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ชายหาดปารังตรีตีส ( Parangtritis ) พอดี
ปารังตรีตีสเป็นชายหาดมีชื่อเสียงที่สุดของเมืองยอกยาการ์ต้า หาดทรายแห่งนี้เป็นสีดำ ซึ่งเกิดจากเถ้าถ่านของ ภูเขาไฟเมอราปีไหลลงสู่ทะเล ภูเขาไฟเมอราปีลูกนี้อยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ของเมืองยอกยาการ์ต้าราว27 กิโลเมตร
พูดถึงชายหาดแห่งนี้มีการเล่าขานสืบทอดต่อๆกันมาว่า มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับตำนานของ Ratu Kidul หรือราชินีแห่งทิศใต้ ซึ่งคนชวาเชื่อว่า ชายหาดปารังตรีตีส เป็นประตูแห่งอาณาจักรที่มีมนต์ขลังของราชินีแห่งทิศใต้ เป็นผู้ควบคุมทะเลทางทิศใต้
ทุกคนแม้เดินทางมาไม่ทันแสงสุดท้ายที่ชายหาดแห่งนี้แต่ก็สนุกและ
ฟินที่ได้เก็บภาพในหลายมุมมาแชะ แช็ต แชร์กันอย่างสนุกสนาน
ชื่นชมความงามของธรรมชาติที่อัศจรรย์กันแล้วได้เวลาอาหารเย็นในแบบพื้นเมืองซึ่งอร่อยมาก ทั้ง 2 คืนที่พักอยู่ในเมืองนี้ที่ โรงแรม HorizonUltima Riss Hotel ต้องบอกว่า อาหารส่วนใหญ่มีรสเค็มปานกลางขึ้นไป แต่อยากแนะนำอาหารพื้นเมืองให้ลองกินกัน คือ Nasi หรือข้าวหุงของที่นี่ จะนาซีอะไรก็ว่าไป ว่าแต่เรากิน Nasi ทั้ง 2 มื้อ
มื้อกลางวันเรากิน Nasi Campur อ่านว่า นาซีแคมเปอร์คนไทยที่นี่อธิบายให้ฟังว่าคือข้าวหุงที่มีเครื่องเคียงหลายอย่างรวมกันในจานเดียวกัน เวลากินจะหยิบกินทีละอย่างใส่ปาก แต่เราชอบนำมาคลุกรวมกันแล้วค่อยกินอร่อยดี
จะเรียกว่าเป็นอาหารพื้นเมืองที่มาฟิวส์ชั่นกัน ก็ไม่ผิดนักนาซีหรือข้าวหุงมื้ออร่อยที่ชอบคือ ข้าวหุง แบบหุงใส่กระทิ มีใส่เกลือให้รสชาติออกเค็มพอประแล่มๆ อร่อยกำลังดี
ที่พลาดไม่ได้สำหรับผลไม้ขึ้นชื่อที่นี่คือ "สละ" หรือ คนอินโดนีเซีย เรียกว่า snake skin fruit เนื่องจากสละมีลายผิวผลไม้คล้ายผิวงูผู้คนเลยเรียกชื่อนี้กันเนื้อข้างในเป็นเหมือนสละบ้านเราต่างกันที่เป็นสีขาวเหมือนนม และกรอบอมหวาน
เช้าวันแรก ทริป SCG Sharing the Dream ได้เดินทางไปชมมรดกโลก มหาสถูปบูโรพุทธโธ (Borobudur) กัน เป็นเมืองสำคัญทางพระพุทธศาสนาของประเทศอินโดนีเซียที่ได้ถูกบันทึกเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกเมื่อปีค.ศ.1991
ชื่อ Borobudur มาจากการผสมคำระหว่างBoro ที่มาจากคำว่า Byara ในภาษาสันสกฤตแปลว่า วัดหรือศาลเจ้าหรือวิหาร และ Budur ที่มาจากคำว่า Beduhur ในภาษาบาหลีหมายถึง ภูเขา
ดังนั้น บูโรพุทโธจึงมีความหมายโดยรวมว่า วัดหรือวิหารที่สร้างบนภูเขา
เป็นศิลปะแบบอินเดียและอินโดนีเซียที่ผสมผสานเข้าด้วยกัน สร้างจากหินภูเขาไฟ มีรูปทรงแบบขั้นบันไดที่เป็นทรงพีระมิดบนฐานสี่เหลี่ยม
เมื่อเดินเข้าไปในบริเวณ มหาสถูปบูโรพุทโธแล้วสิ่งแรกที่มองเห็นเลยคือ องค์เจดีย์มีลักษณะเป็นรูปทรงดอกบัว
รอบเจดีย์เต็มไปด้วยภาพแกะสลักนูนต่ำ ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันไป โดยแต่ละชั้นได้แสดงถึงคติธรรมทางพุทธศาสนามากมาย
ชั้นแรก เรียกว่า ชั้นกามธาตุ หมายถึงมนุษย์ที่ยังเกาะเกี่ยวอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด และวนเวียนอยู่กับกิเลส ตัณหากามราคะ มีภาพสลักที่น่าสนใจ 160 ภาพ แต่ละภาพล้วนสื่อเรื่อง กฎแห่งกรรม คือบาป บุญ คุณ โทษ
ชั้นที่สอง เรียกว่า รูปธาตุ มีลักษณะเป็นขั้นบันไดรูปกลมฐาน 6 ขั้น สูงกว่าชั้นกามธาตุเล็กน้อยแสดงถึงการที่มนุษย์หลุดพ้นจากกิเลสทางโลกได้บ้างแต่ก็ยังมีส่วนที่ยึดติดกับทางโลกอยู่
และชั้นสุดท้าย คือ อรูปธาตุ เป็นชั้นของการปฏิบัติขั้นสูงหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา ทั้งภวตัณหาและวิภวตัณหาชั้นอรูปธาตุนี้มีรูปสลักนูนต่ำที่แสดงถึงพุทธประวัติถึงเกือบ 1,400 ภาพ
นอกจากนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ มหาสถูปบูโรพุทโธ ก็คือ เจดีย์ทรงระฆังโปร่งฉลุเป็นช่องสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด เรียงรายอยู่โดยรอบในเจดีย์จะมีองค์พระพุทธรูปอยู่ข้างใน
เชื่อกันว่าใครยื่นมือไปสัมผัสพระพุทธรูปในนั้นได้คนนั้นจะ สมหวัง โชคดี มีความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต
ส่วนใหญ่ผู้ชายจะยื่นมือไปสัมผัสพระหัตถ์ขององค์พระพุทธรูปส่วนผู้หญิงจะยื่นมือไปสัมผัสฝ่าพระบาทขององค์พระพุทธรูปที่ยื่นมือแตะแบบนี้ด้วยเพราะผู้หญิงมีแขนที่สั้นกว่าผู้ชายไม่ได้มีนัยยะใด
จากนั้นได้ไปเที่ยวชม จันทิเมนดุต (Candi Mendut) โบราณสถานขนาดเล็กอยู่ห่างจาก บูโรพุทโธ ราว 3 กิโลเมตร ถูกสร้างขึ้นในแบบศิลปะชวาภาคกลางตอนกลาง
โดยราชวงศ์ไศเลนทร์ในพุทธศตวรรษที่14 สร้างขึ้นในพุทธศาสนานิกายมหายาน ถูกสร้างขึ้นในระยะเวลาเดียวกันกับบูโรพุทโธและที่ตั้งของจันทิเมนดุตก็ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับบูโรพุทโธและจันทิปะวน
ตรงบริเวณทางเข้ามีภาพแกะสลักรูปนางหาริตี หรือ ยักษิณีผู้พิทักษ์เด็กในพุทธศาสนาเป็นสตรีที่ล้อมรอบด้วยเด็กจำนวนมากอีกนัยหนึ่งนางก็เป็นผู้ประทานบุตรให้กับผู้ศรัทธาด้วย
ส่วนด้านในครรภคฤหะจะมีประติมากรรมสำคัญ 3 องค์ คือพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทางด้านขวา และพระโพธิสัตว์วัชรปาณีทางด้านซ้าย
ตกเย็นไปเดินชม จันทิปรัมบะนัน (Prambanan)หรือจันทิโลโลจงกรังมรดกโลกแห่งองค์การยูเนสโก ที่ถือว่า เป็นจันทิในศาสนาฮินดูที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในศิลปะชวาภาคกลางตอนปลาย ถูกสร้างขึ้นในราชวงศ์สัญชัย
จันทิปรัมบะนันประกอบด้วย เทวาลัยจำนวน 8 หลัง เทวาลัยตรงกลาง 3 หลัง สร้างอุทิศให้กับตรีมูรติได้แก่ เทวาลัยหลัง กลางอุทิศให้กับพระศิวะ เทวาลัยหลังทิศเหนืออุทิศให้กับพระวิษณุและเทวาลัยหลังทิศใต้อุทิศให้กับพระพรหม
ส่วนเทวาลัยด้านหน้าอีก3หลังนั้นเป็นเทวาลัยสำหรับพาหนะของเทพเจ้าทั้งสาม ได้แก่ โคนนทิ ครุฑ และหงส์ตามลำดับ
นอกจากนั้นยังมีเทวาลัยอีก 2 หลังเล็กขนาบทั้งสองด้าน คงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระอาทิตย์และพระจันทร์
วันรุ่งขึ้นทุกคนในทริป SCG Sharing the Dream ได้เดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศอินโดนีเซียก่อนบินไปที่เมืองจาการ์ต้าเมืองหลวงของอินโดนีเซีย
นั่นคือ การได้เข้าไปชม พระราชวังกราตน (Graton Palace) ของสุลต่านฮาเม็งกูบาวาโน่ที่10 ปัจจุบันพระองค์ยังคงใช้เป็นที่ประทับอยู่พระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2298 โดยสุลต่านองค์แรกของเมืองย็อกยาการ์ต้าและใช้เวลาก่อสร้างถึง 40 ปี
ภายในท้องพระโรงนอกภายในจัดแสดงเครื่องดนตรีชวาทำจากทองเหลืองมากมาย
มีรถสำหรับขบวนแห่ในพิธีงานแต่งงานที่ได้ถูกใช้งานมานานหลายยุคสุลต่าน
ที่นี่เต็มไปด้วยเด็กๆและเยาวชนที่มาเที่ยวและศึกษาเรื่องราวในพระราชวังของสุลต่านมากมายแต่ละคนให้ความสนใจรายละเอียดแทบจะทุกอย่างที่ได้จัดแสดงสำหรับผู้เข้าเยี่ยมชมด้วยความใส่ใจและสนุกสนานพร้อมที่จะเรียนรู้
จากนั้นไปชม พระราชวังน้ำ( Water Palace ) สถานที่พักผ่อนของสุลต่าน ภายในมีสระน้ำขนาดใหญ่ ให้นางธารกำนัลได้เล่นน้ำ อาบน้ำ
โดยมีพลับพลาที่ประทับของสุลต่านอยู่ใกล้ๆในบริเวณเดียวกัน มีส่วนสระน้ำของมเหสีและพระธิดาแยกออกไปอีก รอบๆ จะเป็นสวนขนาดใหญ่ที่ยังคงความสวยงาม
ดื่มด่ำกับความตระการตาของพระราชวังน้ำแล้ว ได้เวลามื้อกลางวันกับไก่ทอด"ซูฮาตี้" ( AYUM GORENG SUHARTI) เป็นร้านไก่ทอดขึ้นชื่อของที่นี่ คนยอกยาการ์ต้านิยมกินกัน
ที่ร้านนี้ใช้ไก่บ้านทอดตัวไม่ใหญ่มาก กรอบนอกนุ่มใน เนื้อร่อนแกะกินง่าย จิ้มน้ำจิ้มอร่อยเลยทีเดียว ชาวอินโดฯบอกว่า เป็นต้นตำรับที่อร่อยที่สุดและอร่อยกว่าไก่ทอด KFC และร้านนี้ก็มีที่มาน่าสนใจด้วย
ชาวอินโดฯ เล่าที่มาให้ฟังว่า เจ้าของร้าน คุณซูฮาตี้ แต่เดิมก่อนจะมีกิจการที่รุ่งเรืองมากมายขนาดนี้ได้นั้น เส้นทางชีวิตก็ฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคนานัปการเธอเริ่มจากการทำงานเป็นลูกจ้างร้านไก่ทอดมาก่อน
ต่อมาได้แยกมาเปิดร้านเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อร้านว่า "มาดามซูฮาตี้" ชาวอินโดฯที่มากินมักติดใจในรสชาติกันมากจากปากต่อปากกลายเป็นทำให้ผู้คนแห่มากินกันมากมากจนกิจการของมาดามรุ่งเรืองสุดๆ
ผ่านไปไม่นาน"มาดามซูฮาตี้" ได้แต่งงานและมีสามีมาช่วยทำกิจการร้านอาหารยิ่งทำให้กิจการใญ่โต รุ่งเรืองขึ้นไปอีก
แต่ทำไประยะหนึ่งเธอได้ได้แยกทางกับสามี และแบ่งสมบัติกัน โดยสามีได้ชื่อร้าน "มาดามซูฮาตี้" ไป ส่วนเธอไปเปิดร้านใหม่ชื่อ ไก่ทอด "ซูฮาตี้"ใน ยอกยาร์การ์ต้า ใช้ชื่อว่า AYUM GORENG SUHARTI
ปรากฏว่าผู้คนต่างเห็นอกเห็นใจมาดามก็แห่แหนกันมาอุดหนุนกันเยอะแยะมากมาย จนปัจจุบันร้านของเธอกลายเป็นที่นิยมกันมาก และมากกว่าร้านของอดีตสามีเธอเสียอีก
กินไปฟังเรื่องราวของเธอไปจนเพลิน ได้เวลาเดินทางไปกรุงจาการ์ต้า เมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย ถึง สนามบินจาการ์ต้า ได้เวลาอาหารค่ำ(อีกแล้ว)ทางคณะ SCGSharing the Dream อาสาพาไปอิ่มอร่อยกันที่ย่าน BATAVIA
บริเวณนี้มีพื้นที่ลานกว้างคล้ายสนามหลวงบ้านเรา
ยามค่ำคืนจะมีกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงานนัดกัน นั่งจับกลุ่มๆแช็ต แชะ กินดื่มกัน แบบสนุกสนาน
พอประมาณ 4 ทุ่มเจ้าหน้าที่หรือทางการก็จะส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บกวาดลานส่วนกลุ่มวัยรุ่นก็จะทยอยกลับบ้านกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นได้ไปร่วมงานมอบทุนของโครงการ SCGSharing the Dream
ทำให้เห็นว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาอินโดนีเซียต้องประสบกับปัญหาการขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อประเทศ
คุณนันทพงษ์ จันทร์ตระกูล SCGIndonesia Country Director เล่าให้ฟังว่า เอสซีจีได้เน้นการดำเนินงานตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยการสร้างความสมดุลย์ของทั้งภาคเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ในด้านสังคมนั้น เอสซีจี จัดทำโครงการมอบทุนการศึกษา SCGSharing the Dream ในประเทศอินโดนีเซีย
และอีก 6 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนให้กับเด็กนักเรียนที่มีผลการเรียนดีมีความกตัญญูและใส่ใจในสิ่งแวดล้อม
และเพื่อปลูกจิตสำนึกให้เด็กๆ เหล่านี้เป็นผู้นำทางด้านการตัญญู และใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อมในประเทศของตัวเองให้เติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาประเทศได้อย่างมีคุณภาพ
ในงานนี้ท่านภาสกรศิริยะพันธุ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงจาร์กาต้า มาเป็นสักขีพยาน และร่วมมอบทุนด้วย
เสร็จภาระกิจก็ได้เดินทางสู่สนามบินจาการ์ต้าเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ ถึงสนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพราว ๆ 2 ทุ่ม พบกันทริปต่อไป มีอะไรดีๆ ก็จะนำมาแชร์และแบ่งปันกันใหม่ค่ะ.
ขอบคุณทริปสนุกๆจาก SCG ค่ะ
ครับ