|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
.....~~สุริยาวาทกรรม ตอนที่๓~~.....
นิยาย #1 สุริยาวาทกรรม ตอนที่ ๓
ณ อรินทรารัฐเวหาสน์ พระตำหนักหลวงแห่งองค์เจ้าหลวงและเจ้านางหลวงแห่งแคว้นอรินทรารัฐ
รถม้าส่วนพระองค์แห่งมกุฎราชกุมารประจำแคว้นแล่นเข้าสู่พระตำหนักหลวง ตามกฏมณเทียรบาลแล้วต้องมีราชองครักษ์จำนวนมากตามโดยเสด็จเพื่อรักษาพระองค์ แต่ในยามนี้เจ้าฟ้าชายกลับทรงเป็นผู้ชักอาชาคู่ใจสีดำวะวับทั้งสองตัวเสียเอง เคียงข้างวรองค์สูงโปร่งคือพระสหายคู่พระทัยนามว่าเนติ ทางโรยกรวดกว้างยาวทอดสู่ตัวพระตำหนักหลังใหญ่ประดับไว้ด้วยหินอ่อนสีขาว แต่สถาปัตยกรรมนั้นเล่ากลับส่งให้พระตำหนักดูน่าเกรงขามมากมากว่าเป็นที่ประทับสำหรับทรงพระสำราญของเจ้านายเชื้อพระวงศ์อรินทรารัฐ ระหว่างทางประติมากรรมหินอ่อนสลักลวดลายเทพเจ้าอรชรอ่อนช้อยสลับกับโคมไฟแก้วระย้าใช้จุดให้แสงสว่างยามค่ำคืน กุหลาบป่าขึ้นพันตัวกับเสาโคมไฟออกดอกสีชมพูแดงส้มคละเคล้ากัน ส่งกลิ่นหอมกรุ่นให้โดยรอบพระตำหนักมีความสุนทรีย์มากยิ่งขึ้น ข้างทางยังเต็มไปด้วยต้นไม้แผ่กิ่งก้านสาขาสูงชัน ยอดไม้โค้งตัวเข้าหากันเป็นซุ้มไม้ธรรมชาติ ตัวพระตำหนักทอดยาวจากด้านซ้ายไปขวาประกอบไปด้วยเฉลียงทางเดินยาวตรงล้อมข้างไปด้วยเสาหินอ่อนสลักลายสูงใหญ่ สุดปลายทางเดินสองข้างซ้ายขวาของพระตำหนักเป็นทางเดินทอดยาวสองข้างสู่ด้านหลังก่อนจะถึงพระตำหนักหลังน้อยที่ทอดขนานกับพระตำหนักใหญ่ ทำให้อรินทรารัฐเวหาสน์มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยงผืนผ้า ตรงกลางคือสวนทั้งห้า ได้แก่สวนอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น จีนและบาหลี สวนทั้งห้าได้รับการเนรมิตจากช่างสวนมืออาชีพเจ้าของถิ่นกำเนิดรูปแบบสวนนั่นเอง
ทันทีที่มหาดเล็กประจำกรมวังในสังกัดมหาดไทยเห็นมกุฎราชกุมารภาษกรเสด็จพระดำเนินโดยราชรถประจำพระองค์สู่อรินทรารัฐเวหาสน์ก็เดินออกมาต้อนรับเจ้าฟ้าชายหนุ่ม ‘ทูลฝ่าพระบาท พระราชบิดาประทับรอในห้องทรงงานส่วนพระองค์พะย่ะค่ะ มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าทันทีที่เสด็จมาถึง’
เมื่อเจ้าฟ้าชายย่างพระบาทเข้าไปให้ห้องทรงงานก็ทรงพบว่าองค์เจ้าหลวงประทับรออยู่แล้ว ผู้เป็นพระราชโอรสหันไปสบตาเนติพระสหายและราชองครักษ์ ฝ่ายหลังทราบงานดีจึงถอยห่างออกไปก่อนกลับหลังหันเดินออกไปรอเจ้าฟ้าชายด้านนอก ‘นั่งก่อนสิลูก’ เจ้าหลวงตรัสด้วยพระสุรเสียงต่ำแต่ทว่านุ่มนวล ‘ทูลหม่อมพ่อมีอะไรให้ลูกรับใช้หรือพะย่ะค่ะ’ ‘อย่าเรียกว่ารับใช้เลย เรียกว่ามีเรื่องปรึกษากันดีกว่า’ มกุฎราชกุมารทรงนิ่งเฉย แต่สายพระเนตรที่ทอดแด่พระบิดาตรัสแทนว่าทรงกำลังรอรับพระกระแสรับสั่งอยู่ ‘เอกอัครราชทูตของทางรังสิภาณุรัฐคนใหม่นี้ ข่าวกรองส่งมาว่าเชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศนัก’ ‘ลูกจะได้พบทูตคนนี้ในบ่ายวันนี้พะย่ะค่ะ’ พระสุรเสียงกังวานตรัสตอบ ‘ดี’ ‘ทรงอย่าเป็นห่วงเลยทูลหม่อมพ่อ เจ้าคุณกลารู้ดีว่าข่าวกรองด้านการทหารของอรินทรารัฐนั้นห้ามแพร่งพรายให้ใครล่วงรู้เป็นอันขาด หากท่านทูตคนใหม่หูตากว้างไกลกว่าคนเก่าหลายเท่านัก นอกจากด้านการทหารแล้วด้านอื่นก็ห้ามให้รู้ไปถึงรังสิภาณุรัฐได้เป็นอันขาด ปัญหาคือ ทูลหม่อมพ่อจะทรงแต่งตั้งใครเป็นเสนาบดีพาณิชย์แทนเจ้าคุณที่ลาออกไปหรือพะย่ะค่ะ ตำแหน่งนี้สำคัญเท่าๆกับเสนาบดีการต่างประเทศทีเดียว’ เจ้าหลวงแห่งอรินทรารัฐทอดพระเนตรจดจ้องพระโอรส เท่านั้นเอง ก็ทรงทราบถึงสารที่พระราชบิดาสื่อมา ‘น่าขันที่ปกติเจ้าคุณการต่างประเทศกับเจ้าคุณพาณิชย์ปกติไม่ถูกกันเท่าไหร่นัก ต่างก็มาลาออกพร้อมๆกันเสียนี่’ ‘จะมีพิธีแต่งตั้งเสนาบดีใหม่เมื่อไหร่พะย่ะค่ะ’ ‘เย็นวันนี้!’ เจ้าหลวงตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงเฉียบขาด มกุฎราชกุมารทรงลุกขึ้นประทับยืน ถวายบังคมต่อองค์เจ้าหลวง ก่อนเอื้อนเอ่ยด้วยพระสุรเสียงทุ้มกังวาน ‘ข้าพระบาทภาษกรวิศวานุวัตธาดา ขอถวายปฏิญาณต่อองค์เจ้าหลวงไชยันตร์แห่งอรินทรารัฐว่าจะดำรงตำแหน่งเสนาบดีการต่างประเทศและพาณิชย์ด้วยความสัตย์ซื่อ จงรักภักดีต่อแคว้นและต่อราชบัลลังก์พะย่ะค่ะ!’
เสียงเคาะบานพระทวารดังขึ้นสามครั้ง เป็นสัญญาณเตือนว่าใกล้เพลาขอเข้าเฝ้าของเอกอัครราชทูตวิกรมผู้มีอำนาจเต็มแห่งรังสิภาณุรัฐประจำอรินทรารัฐแล้ว เจ้าฟ้าชายว่าที่เจ้าชายเสนาบดีถวายบังคมลาเจ้าหลวงไชยันตร์ก่อนหันพระวรกายออกเสด็จกลับสู่ที่ประทับส่วนพระองค์ ทว่าเรื่องที่ทรงคาดการณ์ไว้กับเนตินั้นเป็นไม่ได้รับการตรัสถึงเลยแม้แต่น้อย **********
ณ ห้องรับแขกเมือง ภาษกรรังสิมันต์ราชนิเวศน์
ท่านราชทูตวิกรมนั่งรอการเสด็จของเจ้าฟ้าชายมกุฎราชกุมารแห่งอรินทรารัฐด้วยอาการสงบเยือกเย็น ภาระหน้าที่การดำรงตำแหน่งผู้แทนประเทศเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับปรปักษ์ในทีอย่างอรินทรารัฐในเวลานี้นับว่าเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของผู้อาวุโสทางตำแหน่งและประสบการณ์ด้านการทูตอย่างเขามิใช่น้อย เดิมทีนั้นท่าทีของอินทรารัฐไม่นับว่าสร้างความหนักใจให้แก่ทางรังสิภาณุรัฐเท่าใด แต่เมื่อมกุฎราชกุมารหนุ่มแห่งแคว้นเหนือนี้สำเร็จการศึกษาด้านการปกครองและการต่างประเทศจากยุโรป พร้อมกันกับการที่องค์เจ้าเหนือหัวไชยันตร์ทรงเริ่มพัฒนาแสนยานุภาพทางการทหารแล้ว นี่ย่อมหมายถึงจวนจะได้เวลาสิงห์ย่างเท้าออกจากถ้ำสิงห์ ระยะเวลาแห่งความสงบสุขระหว่างแว่นแคว้นแถบอัณนาปุรณากำลังจะหมดลง และแท้จริงแล้ว ช่วงระยะเวลาสงบสุขนี้เองเปรียบประดุจทะเลราบรื่นแต่แฝงไว้ด้วยคลื่นใต้น้ำที่กำลังจะก่อตัวเป็นพายุโหมกระหน่ำในมิช้านาน
ความมั่งคั่งของอรินทรารัฐเป็นที่ประจักษ์นับแต่ท่านทูตย่างเท้าเข้าสู่แผ่นดินแห่งแคว้นเหนือ และยิ่งเห็นได้ชัดจากการตบแต่งประดับประดาที่ประทับของมกุฎราชกุมาเจ้าฟ้าชาย ทั้งห้องรับแขกเมืองปูพรมกำมะหยี่สีแดงเข้มยกดอกตรากระบัษรประจำพระองค์มกุฎราชกุมารทีเดินดิ้นทอง ด้านหนึ่งของห้องมีหน้าต่างจากพื้นจรดเพดานกรุกระจกแก้วสลักลายขอบอย่างอ่อนช้อยเรียงกันหลายบาน ล้อมกรอบไว้ด้วยผ้าม่านหนาหนักสีแดงเข้ม ยกดอกสีแดงเลือดหมูเป็นตราประจำอรินทรารัฐอันเป็นสัญลักษณ์ดาบไขว้ รวบเกลียวไว้ด้วยด้ายไหมสีทอง ระหว่างกระจกเป็นภาพสีน้ำมันของศิลปินขึ้นชื่อของโลก ผนังอีกสามด้านกรุผ้ากำมะหยี่เพื่อความสวยงามล้อมกรอบด้วยไม้สีโอ๊ตสีเข้ม ประติมากรรมสำริดถูกจัดวางได้จังหวะลงตัวกับภาพสีน้ำมันอย่างยิ่ง บ่งชัดถึงพระอุปนิสัยรักความสุนทรีย์แห่งศิลปะของผู้เป็นเจ้าของที่ประทับ
ชั่วครู่ยามที่ท่านเอกอัครราชทูตเดินทางมาถึงได้พักหนึ่งก็มีเสียงแตรดังขึ้น เป็นสัญญาณการเสด็จออกขององค์มกุฎราชกุมารผู้ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งกิตติศัพท์ขจรไกลเรื่องพระโฉมและพระปรีชาสามารถ วิกรมลุกขึ้นรับเสด็จ พร้อมกันกับที่เจ้าฟ้าชายภาษกรเสด็จเข้ามาในห้องรับแขกเมืองและยื่นพระหัตถ์มารับเอกสารส่งตัวผู้แทนประเทศจากเอกอัครราชทูตผู้อาวุโสที่ถวายคำนับด้วยกิริยานุ่มนวลสมเป็นนักการทูต จังหวะที่ทรงดำเนินไปทางชุดเก้าอี้ไม้สีเข้มบุหนังแท้สีส้มอมชมพูทำให้ท่านราชทูตได้มองเห็นความมีสง่าราศีแห่งองค์มกุฎราชกุมารเต็มที่ บุคลิกผึ่งผายและวรกายสูงโปร่งทำให้ทรงดูเหมาะกับราชภารกิจด้านการต่างประเทศสมคำร่ำลือ เจ้าฟ้าชายภาษกรผายมือไปทางเก้าอี้เท้าแขนข้างเก้าอี้ยาวเข้าชุดเป็นเชิงหมายถึงให้ท่านราชทูตนั่งได้ วิกรมรอให้ประทับนั่งเรียบร้อยก่อนค่อยๆนั่งลงตาม พระสุรเสียงกังวานเอ่ยขึ้นพร้อมแย้มพระสรวลน้อยๆเจือดวงพักตร์ ‘ยินดีที่ได้พบอย่างยิ่ง ท่านเอกอัครราชทูตวิกรม’ ‘หามิได้ฝ่าพระบาท เป็นพระมหากรุณาที่โปรดให้หม่อมฉันเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ’ ‘รังสิภาณุรัฐเรียบร้อยดีหรือ ได้ข่าวมาว่ามีปัญหาเรื่องชนเผ่าทางใต้’ ถ้อยคำตรัสเป็นเชิงรับสั่งถามถึงเหตุการณ์นั้น ‘ยังไม่มีความรุนแรงพะย่ะค่ะ’ ‘อย่างนั้นก็ดีแล้ว เจ้าหลวงและเจ้านางหลวงทั้งสองพระองค์ทรงพระสำราญดีหรือ’ ‘ทรงพระสำราญยิ่งพะย่ะค่ะ เจ้าหลวงพระราชทานของมากำนัลเจ้าฟ้าชายด้วยพะย่ะค่ะ’ วิกรมหันไปพยักหน้ากับเลขานุการเอกประจำตัวที่ยืนถือกล่องไม้สีน้ำตาลสลักลวดลายเครือเถาอยู่รอท่า เลขานุการเอกเดินเข้ามาวางกล่องนั้นกับโต๊ะไม้เข้าชุดกับเก้าอี้นวมบุหนังของห้องรับแขกเมืองก่อนเปิดออกสู่สายพระเนตรแห่งมกุฎราชกุมาร ในกล่องนั้นบรรจุเชิงเทียนสำริดหนี่งคู่ ที่ฐานมีลายลัญจกรประจำพระองค์เจ้าเหนือหัวรัชกาลปัจจุบันแห่งรังสิภาณุรัฐ ‘เจ้าหลวงทรงมุ่งหวังให้สัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้นยั่งยืนเหมือนดั่งเทียนไขบนเชิงเทียนคู่นี้ที่ลุกโชติช่วงไม่มีวันดับพะย่ะค่ะ หวังว่าฝ่าพระบาทคงพอพระทัย’ ‘ฝากคำขอบคุณของเราไปสู่เจ้าหลวงด้วย เชิงเทียนนี้งดงามมาก เหมาะสำหรับห้องรับแขกเมืองของเรานัก’ เนติเดินเข้ามายกเชิงเทียนกำนัลไปวางไว้ที่แท่นเหนือเตาผิงด้านหนึ่งของห้อง ‘เจ้าหลวงทรงรับสั่งมาว่ารังสิภาณุรัฐยังมีสิ่งสวยงามอีกมากมาย หากวันใดทรงโปรดเสด็จเยือนทั้งเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ รังสิภาณุรัฐพร้อมรอรับเสด็จเสมอพะย่ะค่ะ’ ‘ขอบพระทัยองค์เจ้าเหนือหัวแทนเราด้วยนะ’ เจ้าฟ้าชายตรัสตอบสั้นๆ ‘หม่อมฉันได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีแต่งตั้ง หรือจะให้ถูก พิธีสถาปนาเจ้าชายเสนาบดีในเย็นวันนี้ด้วยพะย่ะค่ะ ขอฝ่าพระบาทจงทรงพระเจริญ’ ‘ขอบใจนะ ว่าแต่พระราชโอรส พระราชธิดาของเจ้าหลวงของท่านสบายดีหรือ’ สรรพนามเรียกผู้อาวุโสกว่าว่าท่านทำให้ท่านราชทูตอดนึกชื่นชมในพระจริยาวัตรไม่ได้ ‘พะย่ะค่ะ เจ้าฟ้าชายพีรภัทรกำลังจะทรงได้รับสถาปนาเป็นเสนาบดีกลาโหมพะย่ะค่ะ เจ้าหญิงพิมระดีทรงพระสำราญดี’ ‘อ้อ คนนี้น่ะหรือ กิตติศัพท์ดังไปทั่วแว่นแคว้นแล้วถึงพระรูปพระโฉม’ พระสุรเสียงของเจ้าฟ้าชายยังสงบนิ่ง จึงมิได้ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าทรงกำลังสนพระทัยในเจ้าของพระสิริโฉมเลย แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้ผู้ฟังหัวเราะในลำคอพร้อมกับยิ้มกว้างได้ บรรยากาศจึงค่อนข้างเป็นกันเองมากยิ่งขั้น ‘ทูลตามตรงว่ามิทราบด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ เนื่องจากเจ้าหญิงพิมระดีโปรดอยู่แต่ในพระตำหนัก ไม่ออกงานราชการมากนัก พระชันษายังเยาว์ด้วย เพียงสิบแปดชันษาเท่านั้นพะย่ะค่ะ’ ‘เรารู้จักดีแต่พีรภัทร เคยพบกันเมื่อครั้งเรายังเรียนอยู่ที่อังกฤษ พีรภัทรเล่าว่ามีน้องสาวคนหนึ่ง เรียนเก่งมาก คงเป็นคนนี้กระมัง’ แต่เมื่อเจ้าฟ้าชายสบพระเนตรเข้ากับเนติแล้ว พระสหายสนิทย่อมรู้ดีว่าแท้จริงแล้วเจ้าฟ้าชายทรงรับรู้ความเป็นไปในรังสิภาณุรัฐเรื่อยมาว่ามีพระโอรสธิดาสามพระองค์ เพียงแต่ทรงแสร้งทำเป็นไม่ใส่พระทัยเพื่อมิให้ทางรังสิภาณุรัฐรู้ตัวต่างหาก ‘ถ้าเช่นนั้นกิตติศัพท์ที่ตรัสถึงก็คงเป็นของเจ้าหญิงพิระตาพะย่ะค่ะ เพิ่งเสด็จกลับจากสำเร็จการศึกษาด้านปรัชญาเศรษฐศาสตร์การเมืองที่ออกซ์ฟอร์ดและกำลังจะได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าฟ้าหญิงในปีหน้านี้ ด้วยทรงมีพระชันษายี่สิบเอ็ดปีบริบูรณ์พะย่ะค่ะ’ มกุฎราชกุมารหนุ่มเพิ่งทรงทราบเดี๋ยวนี้เองว่า นอกจากเจ้าหญิงพระองค์โตจะทรงพระปรีชาสามารถแล้ว เจ้าหญิงพิระตายังทรงพระสิริโฉมเสียด้วย ว่าแต่...จะเก่งกล้าหรือสวยสักแค่ไหนกัน แต่ชื่อพิระตาหรือ แปลก ไม่เคยได้ยิน เป็นรุ่นน้องสาขาเรียนเดียวกันเราที่ออกซ์ฟอร์ดเสียด้วย เมื่อเห็นว่าเจ้าฟ้าชายมิได้ตรัสอะไรออกมา วิกรมจึงพูดต่อ ‘หากได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าฟ้าหญิงนั่นแปลว่าจะสามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ นอกจากจะทรงเป็นว่าที่ราชเลขานุการประจำองค์เจ้าหลวงแล้ว ยังอาจจะได้รับมอบราชภารกิจกระทรวงด้วยพะย่ะค่ะ’ ‘งั้นเราขอถามว่ากระทรวงอะไรจะได้ไหม’ พร้อมแย้มพระสรวลจางๆ ‘กระทรวงการต่างประเทศของรังสิภาณุรัฐพะย่ะค่ะ!’ นอกจากการพูดออกตัวแทนเจ้าหญิงพิระตาของท่านเอกอัครราชทูตจะมีนัยแฝงว่ารังสิภาณุรัฐยังมีผุ้มีและทรงพระปรีชาสามารถยิ่งแล้ว ยังสะกิดพระทัยให้องค์มกุฎราชกุมารแห่งอรินทรารัฐนึกอยากทำความรู้จักกับเจ้าของกิตติศัพท์เสียด้วย
**********
Create Date : 27 ตุลาคม 2550 |
|
6 comments |
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 3:30:52 น. |
Counter : 687 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ต้น IP: 202.28.181.10 27 ตุลาคม 2550 23:17:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลาทอง IP: 58.9.230.113 27 ตุลาคม 2550 23:53:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตอง IP: 172.212.221.246 28 ตุลาคม 2550 0:32:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: [p0n9]~ IP: 165.124.214.93 28 ตุลาคม 2550 11:27:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: นัน IP: 58.64.101.115 28 ตุลาคม 2550 15:44:41 น. |
|
|
|
|
|
|
|
โอเคๆ
แต่งดีนะ เราว่า คำเนินเรื่องนี้ ตอนนี้ออกแนวพิธีการมากมาก ต้องทำอะไรเป็นลำดับด้วย ดีดี เห้นภาพ เห็นรายละเอียดเลย
สู้ๆ เป็นกำลังใจให้คร้าบ
แล้วเราจะติดตามตอนต่อไป