Group Blog
 
 
กันยายน 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
18 กันยายน 2548
 
All Blogs
 
บาหลี : เกาะสวาทหาดสวรรค์ตอนที่1

ในวันที่น่าเบื่อวันหนึ่งของเดือนตุลาคม 2548 อารมณ์อยากเที่ยวก็เริ่มออกอาละวาด เราจะไปไหนดี ว่าแล้วก็เข้าไปที่
//www.airasia.com เปิดเล่น ๆ ก็ดันไปเห็นชื่อบาหลีเข้า โปรแกรมบาหลี เกาะสวาทหาดสวรรค์ (ยืมสโลแกนของน้องมาใช้) ก็บังเกิด พอเข้าไปดูเที่ยวบิน ทำให้เรารู้ว่าเราจะได้ไปประเทศมาเลเซียด้วย เพราะแอร์เอเชียไม่มีไฟล์ทบินตรงจากกรุงเทพฯไปบาหลี ดีจังเลย ไปทีเดียวได้ 2 ประเทศ ทันใดนั้นก็ต้องโทรหาเหยื่อ (ก็น้องชายเจ้าเก่าคนเดิม) ไปด้วย พอเหยื่อตอบตกลง พร้อมทั้งไปล่อลวงเหยื่อคนที่ 2 มาอีก ทริปนี้ก็เลยมีสมาชิก 3 คน ชาย1 หญิง 2 ก็เริ่มจองตั๋วกันเลยค่ะ กะว่าไปเดือนกุมภาพันธ์ปี ถัดไป ช่วงวันมาฆบูชา จองล่วงหน้า ประมาณ 5 เดือน เพราะจะได้ราคาถูก โดยจองตั๋วไป – กลับเป็น 2 ช่วงคือ กรุงเทพฯ – กัวลาลัมเปอร์ และกัวลาลัมเปอร์-บาหลี ราคารวมทุกอย่างคือ 6,000 บาท อืม น่าสนใจ เราก็เลยไปกัน 6 วัน 5 คืนค่ะ ลางานแค่ 2 วันเอง โดยค้างที่กัวลาลัมเปอร์ 1 คืน และอยู่เที่ยว 1 วัน แล้วไปเที่ยวที่บาหลี 5 วันกะ 4 คืน ทั้งหมดนี้ใช้เงินรวมทั้งหมด คนละ 12,000 บาท

พอเริ่มหาข้อมูล ก็ทำให้รู้ว่าบาหลีเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ professional จริง ๆ ทำการท่องเที่ยวกันเป็นอาชีพหลักเลย มีเวปไซด์มากมาย ที่พักเยอะมากจนเลือกไม่ถูก ขนาดว่าเอาราคามาเป็นตัวจำกัดจำนวนแล้วก็ยังเยอะอยู่ดี ที่เที่ยวก็เยอะจนตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปไหนดี ตัดสินใจยากมาก สุดท้ายก็เอาความชอบของทุกคนมารวมกันว่า เราจะไปในที่ที่มีแสงสีอยู่ในแหล่งชุมชน เงียบ ๆไม่เอา เดี๋ยวไม่ได้เดินเที่ยวตอนกลางคืน ติดทะเล เพราะมาเกาะก็ต้องเล่นน้ำทะเลบ้าง และที่สำคัญสุด ๆที่พักต้องไม่แพง แต่ต้องสะอาด ดูดี(เรื่องมากจริง) ก็เลยตกลงว่าจะพักกันที่หาด Kuta 2 คืน และอีก 2 คืนจะพักที่ Ubud เพราะหัวหน้าทัวร์(เราเอง) เข้าไปอ่านในเวปแล้วมีแต่คนเขียนถึง Ubud ว่าเป็นเมืองที่น่ารัก เมื่อตกลงกันแล้วก็เริ่มเดินทางเลย
แต่ก่อนเดินทางไม่นาน ด้วยความที่หาข้อมูลเยอะ ก็ทำให้รู้ว่าเราได้จองตั๋วได้น่าหวาดเสียวต่อการตกเครื่องมากๆ โดยตารางการเดินทางคือ

- กรุงเทพฯ – กัวลาลัมเปอร์ เราจองตั๋วไปตอนสองทุ่มครึ่งวันศุกร์ เพื่อที่จะประหยัดค่าตั๋ว เพราะค่าตั๋ววันเสาร์เช้าแพงกว่าหลายร้อย เมื่อรวมกัน 3 คนแล้ว แพงกว่าค่าโรงแรมอีก ก็เลยไปวันศุกร์ซะเลย ประหยัดค่าแท๊กซี่ด้วย ได้เที่ยวกัวลาลัมเปอร์เยอะขึ้นด้วย (เขี้ยวจริงๆ) เพราะถ้าไปตอนเช้าก็ต้องนั่งหง่าวรอต่อเครื่องตอนบ่ายอยู่ดี เข้ามาในกัวลาลัมเปอร้ไม่คุ้มกับค่ารถและเวลา

- กัวลาลัมเปอร์ – บาหลี ไปตอนบ่าย ประมาณ 4 โมงเย็น ไปถึงบาหลีประมาณ สองทุ่ม มีเวลาเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ครึ่งวัน

- บาหลี – กัวลาลัมเปอร์ ออกจากบาหลี บ่ายสองโมง มาถึงกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 5 โมงแล้วต้องต่อเครื่องกลับบ้านเวลา 6 โมงครึ่ง มีช่วงห่างแค่ชั่วโมงกว่า ๆ ซึ่งอ่านจากในเวปแล้ว ไม่มีใครจองแบบนี้ เพราะถ้าเครื่องดีเลย์ เราจะตกเครื่องทันที และมันไม่ใช่การ transit แต่เป็นการจองตั๋ว 2 ช่วง นั่นหมายถึง เรานั่งมาจากบาหลีแล้ว เราต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือมาเลเชีย แล้วมารอรับกระเป๋า เสร็จแล้วก็ต้องไปเช็คอินและผ่านด่านตม.ขาออก เพื่อกลับเมืองไทย แค่คิดก็กลุ้มแล้ว ถ้าเราช้าก็คงตกเครื่อง ทีนี้ถ้าตกเครื่องจะกลับยังไง แต่ก็มันจองแล้วนี่ ก้มหน้ารับชะตากรรมไป ทำได้แค่เพียงสวดมนต์ขออย่าให้เครื่องดีเลย์เลย และก็เตรียมเบอร์ฉุกเฉินต่าง ๆไว้ โชคดี น้องชายเปิด roaming ไว้แล้ว และพยายามแย่งที่นั่งแถวหน้าเอาไว้ จะได้ออกจากเครื่องเร็วๆ

- กัวลาลัมเปอร์ – กรุงเทพฯ ถ้าโชคดี เราก็จะได้กลับกรุงเทพฯ เวลาหกโมง และถึงกรุงเทพฯประมาณสองทุ่ม

วันที่1 กรุงเทพฯ – กัวลาลัมเปอร์

วันแระของเราเริ่มที่ 6 โมงเย็น เลิกงานแล้วก็นั่งแท๊กซี่จากที่ทำงานเก็บมาทีละคน เริ่มจากสาทร มาที่ถนนวิทยุ แล้วก็ขึ้นทางด่วนไปดอนเมืองกัน ประหยัดค่าแท๊กซี่เช่นเคย เราขึ้นเครื่องบินไปกัวลาลัมเปอร์เวลา สองทุ่มยี่สิบนาที ไปถึงที่กัวลาลัมเปอร์ก็ ห้าทุ่มครึ่ง เนื่องจากเวลาเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง มื่อแรกเริ่มด้วยเบอร์เกอร์คิงที่ดอนเมืองที่ราคาแพงผิดปกติ เพราะอยู่ในสนามบิน แต่คิดว่าคงเป็นอาหารราคาถูกที่ดอนเมืองแล้วหละ พอได้ขึ้นเครื่อง ลูกทัวร์ก็หลับกันตลอดทางจนถึงกัวลาลัมเปอร์

พอลงจากเครื่องบินก็ตื่นเต้นกับความอลังการของสนามบิน เป็นสนามบินที่สร้างใหม่ ทันสมัยมาก และที่สำคัญน่านอนค้างคืนเป็นที่สุด ไม่น่าจองโรงแรมล่วงหน้าเลย น่านอนที่สนามบินเลย พอเราฟ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองออกมาก็เรียกแท๊กซี่เข้าเมือง ไม่กล้าเสี่ยงใช้รถไฟฟ้าเพราะมันดึกแล้ว คำนวณราคา 3 คนแล้ว นั่งแท๊กซี่คุ้มกว่า ระยะทางจากสนามบินไปยังเมืองกัวลาลัมเปอรืไกลมาก ประมาณ 60 กิโลเมตร (ประมาณกรุงเทพฯ – ชลบุรี) พวกเรานั่งแท๊กซี่ไปด้วยความหวาดระแวง เพราะคนขับมีผู้ติดตามอีก 1 คน ก็คือนายหน้าที่เข้ามาติดต่อเราให้เรียกแท๊กซี่นั่นเอง เขาติดรถกลับบ้านด้วยเพราะเที่ยวบินที่เรามาคงเป็นเที่ยวสุดท้ายของวันนี้แล้ว ระหว่างทางคนขับก็เร่งแอร์ขึ้น ทำให้มีควันสีขาว ลอยขึ้นมาจากท่อแอร์เยอะมาก เราเริ่มมองหน้ากันว่า มันจะทำอะไรเราหรือเปล่าเนี่ย แต่ก็ไม่มีอะไร คนขับก็ถามว่ามีที่พักหรือยัง จะให้ส่งโรงแรมไหน พอเราแจ้งไปว่าให้ไปส่งที่ City Garden Hotel ซึ่งเราจองไว้แล้วทางอินเตอร์เนต คนขับดันไม่รู้จัก ก็เลยส่งที่อยู่ให้ดู พอดูแล้วก็มองหน้าเพวกเราแบบทึ่ง ๆ ว่ารู้จักที่นี่ได้ไง เขายังไม่รู้จักเลย เพราะเป็นโรงแรมที่อยู่ในย่านคนแขก แต่คนขับเป็นคนจีน แล้วเค้าก็ทำหน้าแปลก ๆ อันนี้คือว่าดิฉันก็อ่านดูหลายคนมักแนะนำให้ไปพักที่ย่านไชน่ทาวน์ แต่ดูราคาแล้วค่อนข้างแพง พอมาเจอเวปของโรงแรมนี้ ก็เทียบราคากับรูปห้องพักแล้วก็คิดว่าน่าจะดีกว่า เพราเทียบราคาที่เท่ากันแล้ว ห้องพักของที่นี่ดูดีกว่า ค่าที่พักสำหรับ 3 คนคืนละ 1,400 บาท แต่พอคนขับทักขึ้นมา ก้รู้สึกใจคอไม่ดี

พอมาถึงโรงแรม ตามคาดค่ะ โรงแรมแขก พอดูห้องพักก็อึ้งเหมือนกัน มันก้ไม่ต่างจากรูปที่ลงหรอก แต่ว่ามันไม่สวยเหมือนในรูปเลย อย่างไรก็ตาม เราใช้แค่ซุกหัวนอนแค่ 6 ชั่วโมง อย่าคิดมากเลย นอนซะ

วันที่ 2 กัวลาลัมเปอร์ – บาหลี



เริ่มเช้าวันไหม่ด้วยวิวของตึก Petronas ที่มองเห็นได้จากโรงแรมเพราะโรงแรมนี้อยู่ใกล้ ๆ กับตึกนี้ อาบน้ำเสร็จก็ลงไปกินข้าวฟรีกันค่ะ โรงแรมเค้าแถมให้ พอลงไปเท่านั้นแหละ คิดถึงคนขับแท๊กซี่เมื่อคืนขึ้นมาในทันใด โอ้โห มีแต่แขกตัวดำนั่งอยู่เต็มไปหมดห้องอาหารเลย ไม่ใช่ว่าเรามองเค้าแปลกอย่างเดียว เค้าก็มองเราแปลกๆ เหมือนกัน ก็อาตี๋ กับอาหมวย 2 คนที่ลงมากินข้าว มันก็ดูแปลกแยกจากพวกเค้าเหมือนกัน คงคิดว่ามันหลุดมาจากไหนกัน ข้าวเช้าแขกก็ไม่เลวร้ายอะไร เพราะเป็นข้าผัดและขนมปังไข่ดาว ไม่มีอย่างอื่นให้เลือกค่ะให้เลือกแค่ว่าจะตักมากหรือตักน้อยเท่านั้น

พออิ่มจากอาหารเช้าแล้วเราก็ถามทางไปตึกแฝดกับพนักงานโรงแรม ก็นั่งรถเมล์ไปประมาณ 2 กิโลเมตรก็ถึงค่ะ ค่ารถก็คนละประมาณ 7 บาท บ้านเมืองเค้าไม่ค่อยมีรถเลย คนก็ไม่หนาแน่นเท่ากรุงเทพฯของเรา ถนนหนทางสะอาดมาก พอมถึงตึกแฝด เราต้องไปต่อคิวรับบัตรสำหรับขึ้นไปทัวร์บนตึกแฝด ฟรีค่ะ เราจึงมา แต่ก็หลงทางอยู่พักใหญ่ถึงเจอที่สำหรับรอคิว คนมาเยอะเหมือนกัน ก็ให้สุภาพบุรุษต่อคิวไป ส่วนสาว ๆ ก็ไปเดินดูร้านขายของที่ระลึกฆ่าเวลา


เราได้คิวขึ้นตึกเวลา 11 โมง ระหว่างนี้ก็เดินไปดูมุมนิทรรศการเรื่องราวเกี่ยวกับตึกแฝดเป็นการฆ่าเวลา ก็ได้ความรู้มาว่า สะพานเชื่อมตึกที่เรานึกเล่น ๆ ว่า มันคงสร้างเอาไว้สำหรับใช้เดินหากันระหว่าง 2 ตึกเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว มันมีประโยชน์มากกว่านั้นมาก คือ มันเป็นตัวที่ยึดตึก 2 ตึกเอาไว้ในเวลาที่เกิดเหตุการสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวด้วยเทคนิคทันสมัยทางวิศวกรรมที่เราอ่านแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง เลยชะแว้บไปมุมอื่นดีกว่า มุมที่น่าสนใจของเกือบทุกคนที่มาก็คือ มุมนี้ค่ะ




เรามาดูว่าตึกที่เคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกมาแล้วมีตึกอะไรบ้าง แล้วในรูปที่มีคนยืนอยู่ก็คือของเล่นที่น่าสนใจที่สุดของมุมนี้เลย เราต้องขึ้นไปยืนบนแท่นที่อยู่ใต้เสาเหล็กโค้ง ๆ ที่เห็น แล้วเลือกชื่อตึกสูงทึ่ต้องการ เขาจะเทียบให้ดูว่า ความสูงของตึกที่เลือกนี้ เมื่อเทียบกับความสูงของตัวเราที่ยืนอยู่ตรงนี้ (ซึ่งเจ้าเสาโค้ง ๆ ที่คร่อมเราอยู่คงจะมีตัวเซ็นเซอร์วัดความสูง) ต้องต่อตัวกันกี่คนจึงจะสูงเท่ากับตึกที่เราเลือกเปรียบเทียบ โดยจะแสดงผลบนจอทีวีดังนี้ค่ะ



พอเดินเล่นจนได้เวลาพอสมควร เราก็มาขึ้นตึกกัน ไม่ได้ขึ้นไปถึงยอดหรอกค่ะ ขึ้นไปแค่ตรงสะพานเชื่อมทั้ง 2 ตึกเข้าไว้ด้วยกันตั้งอยูระหว่างชั้นที่ 41 กับ 42 เท่านั้นเอง การขึ้นไปนี้ จะมีพนักงานคอยบรรยาย และควบคุมนักท่องเที่ยวไม่ให้เดินเพ่นพ่านกันเอง ทั้งนี้คงเป็นเพราะต้องการป้องกันการเกิดเหตุวินาศกรรมด้วย ไกด์บรรยายให้ฟังว่าตึกแฝดนี้ เป็นของบริษัท Petronas ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของมาเลเซีย ตึกนี้มึจำนวนทั้งสิ้น 88 ชั้น มีความสูง 452 เมตร โดยสะพานเชื่อมที่เราขึ้นไปนี้ มีความสูง 170 เมตร ก็หวิว ๆ ดี

เมื่อถึงสะพาน ไกด์ก็ปล่อยให้นักท่องเที่ยวเดินเล่นและถ่ายรูปอยู่แค่ตรงสะพานเชื่อมเท่านั้น ไม่ได้พาไปไหน โถ อุตส่าห์รอซะตั้งเป็นชั่วโมง ได้เที่ยวแค่เนี๊ยะ เอาน่า ยังไงก็ยังได้กลับไปคุยโม้ได้ว่าไต้ขึ้นตึกที่เคยสูงที่สุดในโลกมาแล้วเหมือนกัลล์ ไกด์ให้เวลาแค่10 นาที ต้องทำเวลากันหน่อย เริ่มจากภาพตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์ในมุมสูงกัน




แล้วเรามามองมุมต่ำลงไปที่บริเวณรอบๆตึกทั้ง 2 ด้านกัน ด้านนี้เป็นด้านหน้าของตึกที่เราลงรถเมล์กันตอนเช้า



อีกด้านหนึ่ง เป็นสวนน้ำ



ภาพตึกแฝดถ่ายจากข้างล่าง



ภาพตึกแฝดในยามมืด (แอบก๊อปมาจากเวปของตึก อิ อิ)



ลงจากตึกมาด้วยอาการหูลั่นเป๊าะ ๆ ตลอดเวลาที่ลงลิฟท์ (ตอนขึ้นก็เป็นค่ะ หูดับไปตลอดทาง) เราก็มาเที่ยวห้างสรรพสินค้ากันดีกว่า ไม่กล้าไปเที่ยวที่อื่น ๆ เพราะนั่งรถเมล์ไม่เป็นเดี๋ยวกลับโรงแรมไม่ถูก แล้วเวลาก็มีไม่มาก ที่สำคัญที่สุดก็หลงแสงสี เพื่อนบอกว่าเสื้อผ้าบางยี่ห้อ เช่น U2 G2000 MNGฯลฯ ราคาถูกกว่าเมืองไทย ดังนั้นเราต้องพิสูจน์กันหน่อย แฮ่ แฮ่

เดินห้างและกินข้าวกลางวันกันแล้วก็นั่งรถเมล์สายเดิมกลับโรงแรมเพื่อเตรียมเดินทางไปบาหลีกันต่อ ตอนขากลับพอดีนั่งรถเมล์เลยป้าย กระเป๋ารถต้องตะโกนเตือนให้ลงได้แล้ว ก็ต้องเดินย้อนกลับมา ตอนเดินเนี่ย ซึ้งเลย มีแต่แขกเต็มถนนไปหมด เมื่อคืนกับตอนเช้าคนยังไม่ตื่นค่ะ เลยไม่ค่อยเห็นใคร ขากลับนี่มาตอนเที่ยง เลยเห็นเต็มเลย ก่อนกลับขอถ่ายรูปโรงแรมไว้เป็นที่ระลึกหน่อยค่ะ



ในการเดินทางไปสนามบิน เรากะกันว่าจะนั่งรถไฟฟ้า KL express เสียแพงกว่าก็ยอม เพราะอยากลอง แล้วก็ใช้เวลาน้อยกว่า คือจากสถานี central ไปใช้เวลาแค่ 28 นาที ถ้านั่งรถก็ต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมง ก็เลยเรียกแท๊กซี่ให้ไปส่งที่สถานีรถไฟ แต่แท๊กซี่พยายามหว่านล้อมว่ามันแพง ไปกับเค้าเถอะ แค่ 800 เอง ใช้เวลาแค่ 40 นาทีเอง พูดจนเราเกิดอาการงก ไปก็ไปเวลาก็เหลืออยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ปรากฎว่า ใช้เวลาชั่วโมงกว่า เกือบไปเช็คอินไม่ทัน แต่ว่าเช็คอินเสร็จแล้วก็เย็นใจ เดินเล่นหาทางหนีทีไล่ในวันกลับดีกว่า ว่าเราจะต้องไปทางไหนบ้าง เพราะสนามบินของเค้ากว้างมาก แต่ดูไม่พลุกพล่านเหมือนดอนเมืองของเราเลย ทางเดินไปยัง gate ต่างๆ ใช้กระจกเป็นผนัง ดูโปร่งสะอาดตา ไม่ค่อยมีคน




เครื่องบินที่มาจอดก็น้อยลำ และไม่หลากหลายสายการบิน ที่จอดอยู่เยอะก็ของเจ้าถิ่น คือสายการบินมาเลเซีย และแอร์เอเซีย ที่จอดรออยู่นี่คือเครื่องบินที่จะพาเราไปบาหลีบ่ายนี้ เป็นลายธงชาติมาเลเซียสีสันสดใส



เราใช้เวลาบินไปบาหลี 3 ชั่วโมง เวลาที่บาหลีเร็วกว่ามาเลเซีย 1 ชั่วโมง ไปถึงบาหลีก็ประมาณ 2 ทุ่ม หลังจากรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็มาแลกเงินกัน จากที่อ่านมา ได้รับคำแนะนำว่าให้แลกเงินแค่นิดหน่อยพอเป็นค่าแท๊กซี่ที่สนามบิน แล้วค่อยมาแลกเงินที่ในเมือง เพราะที่สนามบินกดราคามาก พอออกมาก็มี airport taxi รอให้บริการอยู่ จัดระเบียบกันดี ไม่มารุมกัน เพราะว่ายังไง ๆ นักท่องเที่ยวทุกคนก็ต้องใช้แท๊กซี่ ไม่งั้นไม่มีรถอย่างอื่น
ค่าแท๊กซี่จากสนามบินไปที่พักที่หาดKuta ราคา 30,000 RP หรือประมาณ 130 บาท ตอนแรกก็คิดว่าแพงจัง ระยะทางแค่ 4 กิโลเนี่ยนะ ตั้งร้อยนึง แต่ว่าพอมานั่งแล้วก็นะ 130 ให้เค้าไปเถอะ แค่ 4 กิ โลเนี่ยนั่งไปชั่วโมงนึง รถติดมาก เนื่องจากถนนแก็แคบวิ่งสวนกันได้แค่ เลนเดียว แล้วก็ยังมีรถจอดริมถนนอีก จอดมันทั้งซ้ายขวาเลย ต้องใช้ไหวพริบแย่งชิงทางกันอย่างดุเดือด แต่เค้าก็ไม่หงุดหงิดกันนะ ยังยิ้มให้กันดี ทั้ง ๆ ที่เพิ่งแย่งทางกันอยู่หยก ๆ กว่าจะถึงโรงแรมก็สะบักสะบอมกันพอสมควร เพราะเหนื่อยแล้วก็หิวซะจนหายหิวไปแล้ว

เราเข้าพักที่ Yulia Beach Inn โรงแรมระดับ 2 ดาว ราคาคืนละ 28 USD สำหรับ 3 คน มีข้าวเช้าด้วย โดยจองผ่านเวป //www.indo.com เวปนี้โรงแรมราคาถูกกว่าเวปอื่นค่ะ จองไว้ 2 คืน ภายในรอบๆ โรงแรมก็ดูสวยดีค่ะ ตั้งอยู่ในแหล่งชุมชน มีร้านค้ารายรอบไปหมด และไม่ห่างจากหาดนัก เดินไปประมาณ 200 เมตร แต่ห้องนอนไม่ค่อยงามเท่าไหร่ เห็นสภาพเตียงเสริมแล้วก็อึ้งไปเลย มันเป็นแค่ฟูกบาง ๆ ขอย้ำว่าบางมาก ๆ ปูกับพื้น มีผ้าห่มบาง ๆ กับหมอนเล็ก ๆ ให้ ดังนั้น ชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มจึงต้องเสียสละตัวเองไปโดยปริยาย

วุ่นเรื่องที่พักเสร็จแล้ว ก็มาวุ่นเรื่องทัวร์ของวันพรุ่งนี้ คณะเรากะกันว่าวันพรุ่งนี้เราจะไปทัวร์ที่เป็นไฮไลท์ของบาหลีกัน จากที่อ่าน ๆ มาแล้วสรุปได้ว่ามือใหม่อ่อนหัดอย่างพวกเรานั้น ไปกับทัวร์น่าจะดีกว่า เพราะจะได้มีคนบรรยาย และป้องกันปัญหาเรื่องหลงทาง เพราะถนนและแผนที่ของที่นี่ไม่น่าใว้วางใจ เสี่ยงต่อการหลงทางสูงมาก เด็กแผนที่อย่างฉันยังไม่มั่นใจเลย ไม่เสี่ยงดีกว่า คืนนี้เราจึงออกเดินหาทัวร์กัน เดินมาที่ถนนสายชอปปิ้งของ Kuta มีร้านขายสินค้าแบรนด์เนมทั้งแท้และไม่แท้อยู่เยอะ รูปนี้เป็นรูปถ่ายในตอนกลางวัน




เดินจนสุดทางก็เป็นห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นจุดที่เกิดระเบิดเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันนี้ไม่เหลือหลักฐานว่าเคยเกิดระเบิดมาก่อนเลย กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปหมดแล้ว เราเลือกทัวร์ได้ตรงหน้าร้านไอศครีมชื่อ New Zea Land Natural เพราะเราเข้าไปซื้อไอติมกินกันเป็นอาหารเย็นก่อน ระหว่างกินก็เห็นคุณลุงออกมาเรียกลูกค้า ก็เลยเสร็จคุณลุงเลย เราเลือกโปรแกรมไปเที่ยว Taman Ayun Mengwi, Bedugal, Botanical garden, Ulun Danu Temple, Tanah lot Temple และปิดท้ายด้วยอาหารมื้อค่ำที่ หาดJimbaran เหมาเฉพาะ 3 คน ราคา 400,000 RP หรือประมาณ 2,000 บาท ตกลงได้แล้วก็กลับไปนอนดีกว่า

วันที่ 3 ทัวร์บาหลี


ตื่นเช้าขึ้นมาเตรียมตัวไปเที่ยว ก่อนอื่นต้องกินอาหารเช้าฟรีก่อน เพื่อความประหยัด แต่อาหารเช้าช่างไม่อร่อยเลยจริง ๆ เป็น Nasi Gorang หรือข้าวผัดนั่นเอง ข้าวผัดจริง ๆ คือเอาข้าวมาผัดกับนั้นมันใส่ซี่อิ๊วให้เค็ม แกล้มด้วยข้าวเกรียบทอด ก็ทน ๆ กินเข้าไป เดี๋ยวไม่คุ้ม พอกินเสร็จรถก็มารับ เป็นรถตู้คันเล็ก ๆ ที่ปิดแอร์แล้วจะเย็นสบาย เพราะแอร์ร้อนมาก ต้องเปิดหน้าต่างไปตลอดทาง

เราเริ่มไปที่แรกคือ Taman Ayun Mengwi ซึ่งเป็นวัดหลวงสำหรับเชื้อพระวงศ์มาประกอบพิธี โดยสร้างในปี ค.ศ.17 ตัววัดมีน้ำล้อมรอบอยู่นอกของกำแพงชั้นในค่ะ



ดูวัดเสร็จแล้ว เราก็จะเดินทางไป Bedugal ระหว่างทางเราก็แวะกินข้าวกลางวันกันค่ะ ร้านนี้เป็นร้านริมทางที่จะขึ้นไป Bedugal ซึ่งเป็นที่สูงบริเวณกลางเกาะบาหลี มีความสูงประมาณ 4,300ฟุตจากระดับน้ำทะเล และเป็นแหล่งปลูกไม้เมืองหนาวด้วยค่ะ อาหารกลางวันของวันนี้เป็นแบบบุฟเฟต์ที่ราคาแพงมั่ก ๆ หัวละประมาณ 62,000 RP หรือประมาณ 270 บาท ที่แพงก็เพราะมันไม่อร่อย เลยกินได้ไม่เยอะ กินข้าวไป ชมวิวไปเพลินดี วิวก็เป็นนาข้าวที่เป็นขั้นบันได ฝรั่งชอบมาก แต่คนไทยเฉย ๆ ค่ะ ดูไปแล้ววิวมันก็เหมือนเพชรบูรณ์บ้านเราเอง แต่อากาศเย็นดี เพราะเป็นที่สูง



พอกินข้าวเสร็จก็ออกเดินทางสู่ Bedugal กันเลย เราจะไปแวะชมทะเลสาบบราตัน ซึ่งเป็นทะเลสาบกลางหุบเขาค่ะ โดยเราเข้าไปใน Botanical garden เพื่อชมวิวทะเลสาบ




อีกเช่นเคยค่ะ เราประทับใจอากาศที่เย็นสบายเป็นที่สุด วิวมันก็สวยนะคะ แต่ชอบอากาศที่นี่มากกว่า เราก็เลยเดินเล่นสูดอากาศซะเต็มปอดเลย เพราะเดี๋ยวเราก็ต้องลงไปข้างล่างแล้ว เพื่อจะไปวัดกลางน้ำ Ulun Danu Temple กันค่ะ วัดนี้เป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งทะเลสาบค่ะ

พอไปถึงวัด อึ้งเลยค่ะ นึกว่าไกด์หลอก เพราะรูปในหนังสือ+เวปที่ดูมา เป็นเจดีย์ 2 องค์อยู่กลางน้ำ พายเรือเข้าไปวนรอบ ๆ ได้ แต่ที่เห็นเป็นเจดีย์อยู่ริมน้ำ ไกด์ก็เลยบอกว่า เป็นเพราะเค้าเห็นว่าท่านตั้งอยู่กลางน้ำ คนดูไม่สะดวก เลยถมดินซะ คนจะได้เข้าไปดูได้ชัด ๆ ไม่น่าเลยเนอะ เสียบรรยากาศแล้วความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองหมด




ดูกันอีกมุมนึงจ้ะ



พวกเราเที่ยวครบทุกที่ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนเวลาเยอะเหมือนกัน เพราะเราไม่ค่อยแวะซื้อของกันเลย เราก็เลยมาที่ Tanah lot Temple กันตั้งแต่บ่าย 3 โมง ยังมีเวลาเหลือสำหรับการดูพระอาทิตย์ตกดินอีกนาน ก็เลยเดินเล่นรอบ ๆ พร้อมกับไปรดน้ำมนต์ด้วย สำหรับวัด Tanah lot นี้ เป็นวิหารฮินดูสร้างไว้กลางมหาสมุทรอินเดีย เพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งมหาสมุทรโดยนักบุญนิธารา เชื่อกันว่ามีงูศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกปักษ์รักษาอยู่ภายใต้วิหาร

เข้าประตูมาก็เจอป้าย เป็นที่ระลึกในการมาเยือนของนางเมกาวาตี ซูกาโนบุตรี



รูปวัด Tanah lot หาดทรายที่นี่เป็นเหมือนโคลนสีดำค่ะ คลื่นก็แรงมาก



งูที่เชื่อว่าเป็นงูศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่ตามซอกหินรอบ ๆ วัด



น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ค่ะ มีบริการไว้ให้นักท่องเที่ยวมารดกันเพื่อเป็นสิริมงคล โดยมีคณะนักบวชคอยถือขันทำบุญอยู่ เราก็เข้าไปต่อแถวเพื่อรองน้ำมนต์ที่ไหลออมาจากท่อซึ่งต่อออกมาจากซอกหินใต้วิหาร เสร็จแล้วเค้าก็เอาข้าวเหนียวที่แช่น้ำไว้มาแปะหน้าผาก ทัดดอกลั่นทม เป็นอันเสร็จพิธี ในรูปนี้ นายแบบของเราขอถ่ายซ่อมค่ะ ทำพิธีเสร็จแล้ว ก็กลับไปต่อแถวรับน้ำมนต์ต่อ น้ำมนต์กลิ่นคาว ๆ อับ ๆ ค่ะ เลยแค่จุ่มมือเฉยๆ ไม่กล้าเอามาล้างหน้า คาดว่าจะเป็นน้ำที่ค้างอยู่ตามซอกหินในช่วงที่น้ำขึ้นค่ะ คนอินโดที่ต่อคิวหลาย ๆ คนเค้านับถือมาก แทบจะอาบกันเลย



เราใช้เวลารอพระอาทิตย์นานประมาณ 3 ชั่วโมง ก็เลยนั่ง ๆ นอนๆ ชมวิวอยู่แถว ๆ นั้น ข้าง ๆ งัดซึ่งก็ใช้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกอีกที่หนึ่ง สวยดี เป็นสะพานหินธรรมชาติ คล้าย ๆ กับที่ตรุเตา แต่ใหญ่กว่า เพราะบนสะพานเป็นร้านอาหาร ที่บริการผู้ที่มาชมพระอาทิตย์ตากด้วย



สรุปแล้ว วันนี้เราผิดหวังกับการชมพระอาทิตย์ตกค่ะ เพราะพอถึงเวลาพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้ากลับมีเมฆเต็มไปหมด ไม่เห็นพระอาทิตย์เลย ดูพระอาทิตย์เสร็จแล้ว เราจะไปกินข้าวเย็นกันที่หาด Jimbaran กัน

หาดนี้ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับสนามบิน เวลากินข้าวก็ได้ดูเครื่องบินขึ้น ลงไปด้วย เที่ยวบินที่มาลงที่บาหลีดูครึกครื้นจัง เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลงถี่มาก ระหว่างที่นั่งกินข้าวอยู่ใช้เวลา 2 ชั่วโมง เห็นเครื่องบินขึ้น-ลง ประมาณ 10ลำ

ร้านที่คุณไกด์พามากินนี้อยู่ริมหาดเลย บรรยากาศดีมาก เค้าตั้งโต๊ะให้กินกันบนหาดทราย และจุดเทียนวับ ๆ แวม ๆ ดูโรแมนติกมากสำหรับคู่รัก แต่สำหรับ ชาย 1 หญิง 2 ที่ไม่ได้เป็นแฟนกันนี่สิ เป็นอุปสรรคจริง ๆ เพราะเรามองไม่เห็นอาหารที่กินเลยค่ะ มันมืด เห็นกับข้าวแค่ราง ๆ ไม่เห็นก้างปลา ไม่รู้ว่าแงะปลาได้หมดจดหรือเปล่า หรือดูดหัวกุ้งสะอาดมั๊ย บรรยากาศขัดขวางการกินจริงๆ

พอเราได้โต๊ะแล้ว เค้าก็ให้เราออกไปเลือกอาหารทะเล ที่นี่ขายอาหารทะเลแบบคิดราคาชั่งเป็นกิโล แล้วทางร้านก็จะนำไปปรุงให้ตามที่เราต้องการ มีข้าวสวย ผัดผัก สลัดและผลไม้แถมให้ เราเลือกได้กุ้ง ครึ่งกิโล กับปลา(ตัวที่เล็กที่สุดในร้าน)อีก 1 ตัว หนักตั้ง 8 ขีดแหน่ะ ทางร้านก็มองค้อนหน่อย ๆ ว่าซื้อน้อยจัง เราก็แก้ตัวว่า เป็นคนกินน้อย เดี๋ยวกินไม่หมด แต่ว่าจริง ๆ แล้ว มันแพงตะหากล่ะ
เราให้ทางร้านทำกุ้งผัดพริกไทยดำกับปลาเผา อาหารอร่อยมั่ก ๆ โดยเฉพาะผัดผักกับสลัดที่แถมมา เราฟาดซะไม่เหลือ มื้อนี้อิ่มสุด ๆ (จากของแถมนะ อาหารที่สั่งมา 2 อย่างมันมีนิดเดียว แต่ก็อร่อยมากเหมือนกัน) แล้วก็สั่งเบียร์ยี่ห้อของอินโดฯ มากินด้วย



ระหว่างที่เรากินข้าวอยู่ ทางร้านก็เสริมความโรแมนติกอีก โดยมีนักดนตรีมาร้องเพลงให้ตามโต๊ะ งานนี้อิชั้นหน้าแตกสุด ๆ ตอนให้ทิปนักร้องค่ะ เค้ามาร้องให้ที่โต๊ะ 2 เพลง แล้วโค้งขอทิป เราก็ทิปให้ด้วยความภาคภูมิใจไป 5,000RP หรือ 20 บาท นักดนตรีอึ้งไปเลย แต่เค้าก็ยิ้มขอบคุณ แล้วก็จากไป ยังรู้สึกผิดอยู่ ก็มันสับสนค่าเงินนี่หน่า มีความรู้สึกว่าให้ตั้ง 5,000 ศูนย์มันเยอะนะ ไม่รู้หรอกว่าเท่าไหร่ น้องก็มาต่อว่าว่า ดูซิ ทำประเทศชาติเสียชื่อเสียง เดี๋ยวเค้าก็หาว่าคนไทยขี้เหนียวหรอก แง

กินอาหารทะเลเสร็จแล้วก็ต้องมาล้างมือกันหน่อย ที่ล้างมือของร้านกิ๊บเก๋มากค่ะ เป็นรูปปลาฉลาม มีก๊อกน้ำอยู่ในปากปลา เวลาล้างมือก็เสียว ๆ อยู่เหมือนกัน กลัวโดนเขมือบ(ล้อเล่น)



ค่าอาหารคืนนี้ ราคารวม167,000RP เงินไทยประมาณ 740 บาท ถูกกว่าตอนกลางวัน แต่อิ่มต่างกันสุด ๆ ตอนกินเสร็จ ทางไกด์ซึ่งหมดหน้าที่รอรับไปแล้ว ก็ได้ฝากให้ทางร้านหารถไปส่งที่โรงแรมให้ เป็นรถของร้านเอง ค่าแท็กซี่กลับ ราคา 30,000 RP หรือประมาณ 130 บาท คนขับรถชื่อ Rolly เค้าเสนอว่าจะพาเที่ยวให้ โดยจะพาไปภูเขาไฟคินดามณี ถ้ามีเวลาก็จะแวะวัดฺBesaki แล้วก็ไปส่งเราที่อุบุดเพราะเค้าชำนาญสถานที่ที่อุบุดมาก เพราะเคยอยู่มา 2 ปี ด้วยความที่รถเค้าใหม่ นั่งสบาย แอร์เย็นเจี๊ยบ ราคาก็ถูกกว่าทัวร์วันนี้ ชายหนุ่มหนึ่งเดียวของเราจึงฟันธงเอา Rolly นี่แหละ เป็นไกด์ให้เราวันพรุ่งนี้ ก็เลยนัดหมายกันเสร็จสรรพ ว่ามารับพรุ่งนี้เช้า

พอเข้าโรงแรมได้ก็แย่งกันอาบน้ำนอนเลยค่ะ วันนี้เหนื่อยสุด ๆ (ก็เห็นบ่นเหนื่อยทุกวันแหละ จนเป็นประโยคปิดท้ายประจำตัวไปแล้ว)

แล้วเราจะมาต่อตอน 2 นะคะ ขอไประลึกชาติก่อน เพราะเขียนตอนนี้ก็ครบรอบ 1 ปีพอดีจากที่ไปมาจ้า




Create Date : 18 กันยายน 2548
Last Update : 5 พฤษภาคม 2549 17:38:11 น. 2 comments
Counter : 2566 Pageviews.

 
มาเก็บรายละเอียดคนแรกเลยค่ะ เพราะจะไปอยู่ไม่กี่วันแล้ว อาจจะถือโอกาสตามรอยกันไปเลย ฮา

ขอบคุณค่า


โดย: สายใย IP: 58.136.202.58 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:17:54:28 น.  

 
ปีหน้าไปแน่นอนค่ะ


โดย: อัญชรา บริบูรณ์ IP: 113.53.168.244 วันที่: 8 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:23:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นู๋Poopy
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




http://fastwebcounter.com
Friends' blogs
[Add นู๋Poopy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.