Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2553
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
8 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
Diary ท่องเที่ยว Yogyakarta : KLIA - บุโรพุทโธ



การเที่ยวครั้งนี้ มันเริ่มมาจากการอดเที่ยวทริปที่ตั้งใจไว้ตอนสงกรานต์ ตัวคุณพี่ก็อดไปตุรกี ทริปยาวมหากาพย์ 2 สัปดาห์ เนื่องจากตั๋วเครื่องบินพุ่งกระฉูด จนทำใจไม่ได้ ส่วนคุณน้องก็อดไปอเมริกา เนื่องจากเวลาไม่ลงตัว เราจึงต้องสุมหัวกันหาทริปถูก ๆ ช่วงสงกรานต์กัน เพราะคุณพี่กระเป๋าแฟบ งบทั้งหมด ห้ามเกิน 1 หมื่นบาท ก็คิดอยู่ว่าน่าจะหาไม่ได้หรอก เพราะเข้าไปดูในเวปสายการบินต้นทุนถูกแล้ว ตั๋วเริ่มต้น ยังไม่ทันได้ต่อไปไหนเลย ก็ 6-7 พันแล้ว แต่ด้วยความคันเท้าอยากเที่ยวของคุณน้อง ทำให้อุตส่าห์ขวนขวายจนไปเจอ Pro ของ Malaysia Airline เข้าจนได้ เฮ้อ ถ้าเวลาทำงานเนี่ย ขวนขวายและตั้งใจแบบนี้ เราคงก้าวหน้าไปไกลเกินกว่าพนักงานบ.ต๊อกต๋อยแบบนี้อ่ะนะ

แล้วเราก็ตกลงใจที่จะบินไปเที่ยวด้วย สายการบิน Malaysia Airline ด้วยความงกของถูก เพราะตั๋วราคาถูกกว่า Low cost ได้ transit ที่ KLIA ซึ่งได้เคยสำรวจมาแล้วว่า หรูหรา สะอาด เหมาะแก่การนอนค้างได้ และที่สำคัญคือ เค้าเสิร์ฟอาหารด้วย แต่ว่าเราจะไปไหนดีล่ะ ในที่สุดก็หลับตาจิ้มเอาเมืองที่รู้จักมากที่สุดใน list รองจากบาหลี ก็คือ Yogyakarta เป็นคำตอบสุดท้ายของทริปนี้

เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาลางาน เราจะออกบินจากกทม.ตั้งแต่คืนวันจันทร์ที่ 12 เม.ย. ไปกัวลาลัมเปอร์ตอนดึก และนอนค้างที่สนามบินเลย เพื่อที่จะออกเดินทางในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นต่อไปที่ยอร์คจาการ์ต้า โดยการที่เราบินด้วย Malaysia Airline ทำให้สามารถ check thru กระเป๋าไปที่ยอร์คจาการ์ต้าเลย จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการนอนในสนามบิน ส่วนอาหารก็กินบนเครื่อง ประหยัดไปตั้ง 2 มื้อเลยนะ เพราะเส้นทางบินคือ กทม. – กัวลาลัมเปอร์-ยอร์คจาการ์ต้า ขากลับก็ย้อนทางเดิม เริ่ดค่ะ

อาหารบนเครื่องมื้อนี้อร่อยที่สุดในบรรดา 4 มื้อบนเครื่อง เพราะเป็นเพียงมื้อเดียวที่มาจากครัวการบินไทยแสนอร่อยของเรา



สภาพเบาะหลากสีสวยงาม(เฉพาะรูปถ่าย) ของจริงมันดูมอซอ เก่า ๆ มาก ๆ



สำหรับ Malaysia Airline มาตรฐานการบริการ สภาพเครื่อง ดูแล้วก็พอ ๆ กับ สายการบิน Low-cost ที่ดีกว่าก็ตรงที่มีอาหารกินฟรีนั่นแหละ ด้วยราคาโปรที่ออกมาสูสีกับ สายการบิน Low-cost ทำให้เราเลือก Malaysia Airline ในทันที

ทีนี้มาเรื่องนอนค้างสนามบิน เราบินมาถึง KLIA(Kuala Lumpur International Airport) ในเวลาประมาณ 4ทุ่มครึ่ง และบินไปยอร์คจาการ์ต้า ในตอน 9 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เราเลยตัดสินใจนอนที่สนามบินที่นี่ซะเลย

ทำเลที่นอน เดินเลือกอยู่นาน ได้ทำเลตรงหน้าห้องน้ำพอดี ตรงนี้ดูมีเพื่อนมานั่ง ๆ นอน ๆ รอหลายคนดี



เก้าอี้ที่เล็งไว้ว่าจะใช้นอนในตอนแรก แต่ลองแล้ว ไม่ถูกใจ ไปนอนราบดีกว่า ถ่ายมาโดยมีนางแบบเป็นน้องหมวยเกี้ย หมอนผ้าห่มที่เอาติดตัวไปใช้นอน



ห้องน้ำกลิ่นกรุ่น ช่วงกลางคืนสะอาด หอมกรุ่น ชักโครกมีเซ็นเซอร์ น้ำไหลอัตโนมัติด้วย



ได้ที่เหมาะแล้ว เราก็ปักหลักนอนกันดีกว่า การนอนที่สนามบินนี้ ถ้าคิดว่าจะประหยัด ก็ดี แต่ถ้าคนนอนยาก ไม่ขอแนะนำเลย เราทั้งสองคน ซึ่งเป็นพวกนอนง่ายมาก ๆ ยังนอนกันไม่สนิทเลย เพราะ ตลอดคืน ได้ยินแต่เสียง ตุ่ง ตุง ตุง ตุ๊ง ประกาศเรื่องไฟล์ทขึ้นลง จะสงบลงก็ประมาณตีหนึ่ง แต่แล้ว ก็มีเสียงช่างมาซ่อมห้องน้ำซะนี่ ตามมาด้วยเสียงอาเจ๊ทำความสะอาดออกเวร มาล้างชามกันไป คุยกันไปเสียงโช้งเช้ง แต่เราก็ไม่ตื่น ได้แต่นอนฟังเสียงแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นไปตลอดคืน

พอได้เวลาซักประมาณตีสี่ ก็เริ่มมีเสียงแก๊งค์กระเป๋าลาก มาพร้อมกับเสียงตุ่ง ตุง ตุง ตุ๊ง เฮ้อ พอเริ่มจะสงบ บรรยากาศของสนามบินยามปกติก็มารังควานต่ออีกแล้ว แต่ก็ทนนอนต่อไป แต่ครั้งนี้ น้องหมวยเกี้ยก็ได้ใช้ประโยชน์มากกว่าเป็นผ้าห่มแล้วหละ เอาไว้คลุมหัว หนีอายเวลามีคนเดินผ่าน ส่วนคุณน้องชาย มีผ้าผิดตากันอาย เพราะจะได้ไม่ต้องกลัวว่าลืมตาขึ้นมาจ๊ะเอ๋กะคนเดินผ่าน อิ อิ เนื่องจากเคยเดินผ่านพวกที่มานอนที่สนามบินด้วยความสงสัยว่า มานมานอนกันทำไม่เนี่ย เกะกะ ครั้งนี้ก็กลัวกรรมตามสนอง

เมื่อตื่นเต็มตา ล้างหน้าเสริมผ่องแล้ว ก็เดินฉุยฉายไปหากาแฟกินกันที่อีก terminal หนึ่ง โดยต้องนั่งรถไฟฟ้าไป เพื่อไปหาร้านอาหารและกาแฟรองท้อง ไม่งั้นคุณพี่จะปวดหัวไมเกรน เนื่องจากไม่ได้รับคาเฟอีนอย่างเพียงพอ


แล้วก็ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว อาหารวันนี้เป็นอาหารแขกเต็มขั้นเลย คือ Nasi Lemak ซึ่งไม่อร่อยเลย(ไม่ได้หมายความว่า Nasi Lemak ไม่อร่อยนะ แต่ที่เสิร์ฟวันนี้ไม่อร่อยเลย เคยซื้อของแอร์เอเชียกิน 80 บาท อร่อยกว่านี้เยอะเลย) และมาตะบะไก่ (แป้งไม่สุกด้วย ยังเป็นแป้งสาลิดิบ ๆเลย แต่คิดว่าคนที่นี่กินกันแบบนี้ เพราะแอร์ก็รับไปดูแบบงง ๆ ว่ายัยป้าคนนี้เรื่องมากจริง ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย) แต่ที่มากู้หน้าคือ ขนมจะเป็น Ferero 3 ลูก เก็บมาเป็นของฝากให้คนที่บ้าน



จะเห็นว่า กล่องใส่อาหารของสายการบินมาเลย์ วันนี้จะเป็นกล่องกระดาษ ซึ่งทำจากกากชานอ้อย เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ขอบ่นนิดนึงตามประสาคนช่างติ ว่ากล่องแบบนี้ควรออกแบบให้ดีกว่านี้ เพราะสร้างความลำบากให้กับพนักงานบนเครื่องมาก เพราะเวลากินเสร็จแล้ว เก็บยาก ไม่ค่อยเข้าล๊อคของตู้เก็บของ และไม่สะดวกในการดูประเภทของอาหาร

และแล้วเราก็ถึงสนามบินเมืองยอร์คจาการ์ต้าเวลา 10.40 สนามบินก็เป็นสนามบินเล็กๆ ที่มีการตรวจที่ค่อนข้างหลายขั้นตอน แต่เราว่าเค้าละเอียดดีนะ ชอบในความรอบคอบ ตรงด่านตม.มีการสแกนนิ้วด้วย ซึ่งทำให้เสียเวลาพอสมควร เพราะเครื่องไม่อ่านมั่ง วางมือไม่ถูกมั่งหละ

แล้วก็มาถึงกระเป๋า ที่นี่มีสายพานอันสั้น ๆ อันเดียว ดังนั้น กระเป๋าก็จะมากองไว้ โดยมีพนักงานคอยยอกออกมาเรียงกันเป็นแถว ๆ รอเจ้าของมารับ ส่วนตอนออกจากบริเวณห้องผู้โดยสารขาเข้า ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบว่า กระเป๋าที่เราหิ้วไปเป็นของเราหรือไม่ โดยเรียกตรวจ tag ที่ติดมากับ boarding pass อันนี้ตอบปัญหาที่เราคาใจ และแอบระแวงมาโดยตลอด ว่า มันเคยมีปัญหาคนจิ๊กกระเป๋าคนอื่น หรือคนหยิบกระเป๋าผิด จะมีวิธีป้องกันอย่างไรได้เลยหละ


พอออกจากสนามบินมาแล้ว ทีนี้ก็มีแท๊กซี่มาตามจีบเลยเชียว แต่เราไม่สามารถใช้บริการได้ เพราะงบมีจำกัด ต้องใช้บริการรถเมล์เท่านั้น แต่เหล่าแท๊กซี่ที่นี่ก็ไม่ยอมแพ้ เดินตามลากไปซะไกล แล้วยังมีการถามต้อนไปต้อนมาด้วย บอกว่าไม่ไป เขาก็ไม่ยอมเลิก บอกว่าจะไปกินข้าวก่อน เขาก็เดินตามไปดูให้เห็นกะตาเลย ก็เลยช่างหัวมัน เดินไปหาที่แลกตังค์แล้วก็เดินเชิดหนีไปขึ้นรถเมล์เลย
หลุดพ้นมาได้เพราะเดินมาที่ทางเดินเชื่อมระหว่างสนามบินกับที่จอดรถและสถานีรถไฟ เขาทำไว้สวย และสะดวกสบายจริง ๆ ดูดีกว่าสนามบินเยอะเลย

เดินออกมาจากสนามบินเพื่อไปท่ารถ(รูปพวกนี้ บางรูปดูแล้วอาจจะงงๆ เพราะถ่ายกันในวันกลับ จึงเป็นการถ่ายย้อน)



ลงบันได้เลื่อน ในอาคารนี้ติดแอร์เย็นฉ่ำ



เดินลอดอุโมงค์ เพื่อไปขึ้นบันไดเลื่อนอีกอัน





แล้วก็ขึ้นบันไดเลื่อนอีก 1 หน



จบขั้นตอน เดินออกมาขึ้นรถเมล์ได้เลย



และแล้วเราก็หาตู้ป้ายรถเมล์เข้าเมืองจนเจอ ระหว่างจะเดินข้ามถนนไปที่ตู้ วิบากกรรมก็ยังไม่หมด เมื่อมีรถ 2 คันที่ขับสวนกันมา นอกจากมันจะไม่จอดให้เราข้ามถนนแล้ว มันยังจอดขวางทางด้วย ทั้งสองคันเลย แถมยังกวักมือเรียกให้ขึ้นรถด้วย มันคือรถแท๊กซี่นั่นเอง พวกเราต้องเดินอ้อมรถทั้งสองคันไปมา เพื่อข้ามถนนไปยังนู้รถเมล์ สวรรค์ของเรา เฮ้อ กว่าจะขึ้นสวรรค์ได้ ต้องฝ่าด่านมารผจญซะหลายด่าน เหนื่องเจง ๆ

เมื่อฝ่าด่านมารมาได้ นางฟ้าหน้าแฉล้ม(พนง.รถเมล์) ก็เดินยิ้มมาทักทาย ประหนึ่งจะบอกว่า ดีใจด้วยค่ะ คุณมาถึงเส้นชัยแล้ว พร้อมกับถามว่าจะไป มาลิโบโรใ ใช่มั๊ย เห็นสภาพก็รู้เลย เพราะนักท่องเที่ยวกระเป๋าเบาที่ฝ่ามาถึงนี้ได้เกือบทั้งหมดมีจุดหมายอยู่ที่นี่แหละ เราก็เช่นกัน เพราะคงต้องไปตั้งหลักหาทัวร์ หาที่พัก และรถไปบุโรพุทโรที่นี่กันก่อน

ตู้รอรถเมล์


เสียค่ารถเมล์ไปคนละ 3,000 รูเปี๊ยะ หรือประมาณ 10 บาท ขอนินทารถเมล์เจ้านี้หน่อย (ป้าก็ขี้บ่น ขอบนินทาไปเรื่อยเลย) ที่นี่แปลกดี ป้ายรถเมล์ของเขาเป็นตู้ให้เข้าไปรอรถ โดยจะต้องจ่ายค่ารถเมล์กับพนักงาน เพื่อให้ได้การ์ดแบบรถไฟฟ้า แล้วสอดเครื่องเพื่อเข้าไปในตู้รอรถ โดยขั้นตอนทั้งหมดนี้ เราไม่ได้ก้าวไปไหนเลย เพราะตู้เล็กมาก พอรถมาแล้ว จะมีพนักงานอีกคนคอบดูแล ประกาศว่ารถจะไปไหน แล้วก็นับจำนวนคนขึ้นรถ และจดบันทึก พอขึ้นรถ ก็จะมีคนขับรถ และพนักงานประจำรถคอยดูแลให้ขึ้นรถให้เรียบร้อย แล้วก็จดจำนวนคนขึ้นลงอีกครั้งหนึ่ง เฮ้อ ใช้คนเยอะจริง ๆ ทั้ง ๆที่อุตส่าห์มีระบบการ์ดแล้ว ถ้าแบบนี้แล้วไม่ขาดทุน ขสมก.ก็ควรไปศึกษางานบ้างนะ เพราะรถเมล์เขาคุณภาพใช้ได้เลย เป็นระเบียบด้วย

สภาพภายในรถ


นอกจากนี้ ตู้ที่ให้เข้าไปนั่งรอ จะยกสูงจากพี้นขึ้นมาประมาณ 50 เซ็นติเมตร เวลารถเข้ามาเทียบตู้ ประตูรถจะเท่ากันพอดีแป๊ะกับตู้ ลากกระเป๋าข้ามไปได้สบายมาก แต่แอบเห็นรอยถาก ๆ ข้างซ้ายของตัวรถอยู่หลายรอย คาดว่ากว่าจะจอดได้ดีขนาดนี้ คงถากไปหลายครั้งเลยหละ

ตู้รถเมล์ที่ถนน Maliboro


เรามาลงรถที่สถานีถนนมาลิโบโร แล้วก็ต้องเจอกับมารผจญอีกกลุ่มใหญ่ คราวนี้เป็นสามล้อเบจัก ที่เข้ามารุมเพื่อพาเราไปหาที่พักบ้างหละ หาทัวร์มั่งหละ หาที่เที่ยว แล้วก็อีกหลายอย่างที่เขาจะเสนอมา ขนาดว่าทำเป็นไม่สนใจแล้วนะ ยังตามลากยาวกันไประยะทางไกลพอควร

แล้วเราก็ดั้นด้นมาหาบ.ทัวร์ที่มีคนเคยแนะนำเอาไว้ ใน TKT ชื่อ Sosro อยู่ในซอย Sosrowijayan แยกออกมาจาก ถนน Maliboro ซึ่งก็ดูแล้ว ดูเป็นกิจจะลักษณะที่สุดแล้วหละ ก็เลยติดต่อซื้อทัวร์ไป Dieng Plateau โดยให้ไปรับที่บุโรพุทโธ เพราะคืนนี้เราจะไปพักที่โรงแรม Manohara ซึ่งเป็นโรงแรมที่อยู่ติดกับศาสนสถานบุโรพุทโธเลย และที่สำคัญที่สุดที่เราเลือกโรงแรมนี้ก็คือ ถ้าพักที่นี่เราจะสามารถเข้าชมบุโรพุทโธฟรี กี่ครั้งก็ได้ อันนี้แหละ ที่เราเลือกพักที่นี่ เพราะกะว่าจะเข้าไป 2 ครั้ง คือไปชมพระอาทิตย์ตกดินช่วงเย็น และพระอาทิตย์ขึ้นช่วงเช้า

ตกลงราคากะทัวร์ได้ โดยให้ทัวร์ไปรับที่โรงแรม เพราะการไป Dieng Plateau นั้นต้องผ่านบุโรพุทโธด้วย แล้วกลับมาจบที่บ.ทัวร์ กะว่าจะประหยัดค่ารถเข้าเมืองซะเลย จากนั้นเราก็ไปหาข้าวกลางวันกินกัน คุณน้องเล็ง KFC ไว้ เพราะเป็นความตั้งใจของคุณชาย ว่าจะต้องมาลองกินไก่ KFC ให้ได้ในทุกประเทศที่ไป เพื่อทดสอบรสชาติ และน้ำซอสจิ้มไก่ของแต่ละประเทศด้วย อืม ทำยังกะว่าทำงานเป็น Auditor อยู่ KFC Inter เลยนะเนี่ย ส่วนคุณพี่ไม่ขอทดสอบด้วย เลยเลือกกินเทปังยากิสไตล์อินโด ที่ food court แถวนั้น



เสร็จแล้วก็เดินกลับมาตรอกเดิม เพื่อหาโรงแรมไว้สำหรับวันต่อ ๆ ไป

กลับมาหาโรงแรมในซอยแถว ๆ บ.ทัวร์ เริ่มรำคาญสามล้อเบจัก ที่เดินเข้ามาเสนอที่พัก และทัวร์ตลอดเวลา เลยรีบ ๆ หาโรงแรม ได้ที่ Maliboro Inn เยื้อง ๆ กะบ.ทัวร์นั่นเอง ราคาคืนนึงตก 425,000 RP เกินงบอีกแล้ว แต่อารมณ์รำคาญ และอยากไปต่อ และที่สำคัญ โรงแรมนี้มีสระว่ายน้ำ แม้จะใหญ่กว่าอ่างอาบน้ำหน่อย ก็ถือว่าสามารถลงไปแช่เล่นได้ ทำให้คุณน้องชายส่งสายตาวิ้ง ๆ เอาที่นี่แหละ

ตกลงเรื่องโรงแรมแล้วก็กลับมาที่บ.ทัวร์ต่อ เห็นเสียเวลานานไปแล้ว เลยคิดว่าไม่ไปรถเมล์แล้ว ท่าจะถึงเย็น พอดีว่าทางบ.ทัวร์มี shuttle bus ไปที่บุโรพุทโธด้วยตอนบ่ายสอง ก็คือเขาจัดทัวร์ Sunset @ Buro Budor แล้วก็ถ้ามีที่เหลือ ก็เก็บเราสองคนไปด้วย เสียคนละ 50,000 RP ให้เค้าไปเถอะ เราจ่ายไหว

รถที่พาเราไป



ระหว่างที่นั่งรถไปบุโรพุทโธ เราได้เพื่อนร่วมทางเป็นนักเดินทางสาวจากอิตาลี เขามาเที่ยวเป็นเวลา 6 เดือน ไปเมืองไทยมาแล้วด้วย เขานั่งนับจังหวัดในเมืองไทยที่ไปมาแล้วให้ฟัง ฟังแล้วก็หันหน้าไปหาคุณน้องชายว่า ละอายมั๊ยนั่นหนะ เขาไปมากกว่าเธออีกนะอันนี้คุณพี่รอดตัว(แอบปาดเหงื่อ) เพราะ คุณพี่ไปมาครบตามที่เธอบอก เฮ้อ ไม่ขายหน้าฝรั่ง

ระหว่างทางที่นั่งรถไปนั้น มีฝนตกลงมาอย่างหนัก เรานั่งกันไปก็ได้แต่ภาวนาว่าให้มันตกเข้าไป แต่พอเราไปถึงขอให้ฟ้าสว่างกระจ่างใสทีเถอะ เฮ้อ นึกถึงแผนของตัวเองที่วางเอาไว้ ดีนะ ที่ยอมจ่ายค่ารถ ไม่ถ่อไปนั่งรถเมล์มา ไม่งั้นเปียกเป็นลูกหมูตกน้ำแน่ ๆ เลย เพราะตามแผน ถ้านั่งรถเมล์ ต้องมาลงที่ท่ารถ แล้วต่อสามล้อไปที่โรงแรม ดังนั้น เสียให้ทัวร์ไปเถอะ 180 บาทเอง

นั่งรถมาถึงโรงแรม Manohara ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง พอถึงโรงแรม สิ่งที่จะทำอย่างแรก คือ อยากเข้าห้อง อาบน้ำให้ฉ่ำสบาย เพราะเราไม่ได้อาบน้ำมาจะครบ 24 ชั่วโมงแล้ว แม้จะเป็นคนค่อนข้างสกปรก แต่ก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ส่วนคุณน้องชายนั้น ยื่นคำขาดว่า ถ้าไม่ได้อาบน้ำแบบเต็มยศ จะไม่ยอมออกไปเที่ยวต่อด้วย เพราะคุณชายเธอทนสภาพหมักของตัวเองไม่ไหว ต้องอาบน้ำเสริมหล่อเต็มที่ก่อน

ที่โรงแรมนี้เราเจอคนไทยมาพักเยอะ ก็คงคิดเหมือนพวกเราว่า ถ้าให้เข้าบุโรพุทธโธฟรีเนี่ย พักที่นี่คุ้มสุด มีอาหารเช้า ห้องก็ดีด้วย

บรรยากาศรอบ ๆ โรงแรม



ห้องที่เราพัก



อาบน้ำเสร็จแล้วก็เดินฉุยฉายออกไปลุยบุโรพุทโธกันเลยจ้า

เริ่มออกเดินจากที่พัก


เจอประตูทางออกจากโรงแรมแล้ว ประตูนี้เปรียบเสมือนเขตปลอดภัยสำหรับเรา เนื่องจากวันรุ่งขึ้น เราเดินหนีพวกทีตามตื้อขายของมาจนถึงเขตประตูนี้ พอเข้าเขตมาได้ พวกนั้นก็ไม่กล้าตามมา อารมณ์ประมาณหนีผีมาเข้าวัดเลย)



อืม ถึงแล้ว สถานที่ที่เราดั้นด้นมา



จากที่อ่าน ๆ มาคร่าว ๆ แล้วนั้น บุโรพุทโธสร้างตามความเชื่อของศาสนาพุทธแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ตามความเชื่อที่ว่า โลกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
- กามภูมิ คือโลกที่ยังมีเกลสอยู่ ซึ่งเราก็อยู่ในส่วนนี้
- รูปภูมิ โลกที่หลุดพ้นจากกิเลสแล้ว ยังมีรูปกายอยู่
- อรูปภูมิ คือโลกที่อยู่เหนือรูปภูมิ ผู้ที่อยู่ในโลกแห่งนี้จะไม่มีรูปกายแล้ว

มาถึงแล้ว ชมวิวกันเลย




ช่วงนี้แถว ๆ กามภูมิซึ่งเป็นที่อยู่ของเรา


สิงห์น้อยที่เฝ้าอยู่ตามประตู


เริ่มขึ้นมาเหนือจากที่เราอยู่แล้ว




ลักษณะการเรียงหินที่แตกต่างกันของเจดีย์ในแต่ละชั้น




อืม มีความตั้งใจว่า จะมานั่งสงบจิดใจที่นี่ และขอเดินจงกลมให้ครบ 3 รอบ เพื่อเป็นกุศลให้กับตนเองซะหน่อย แต่ตอนเย็นนี้มีคนเดินกันคึกคัก ท่าจะไม่สงบ มาตอนเช้าดีกว่า
แต่เราก็อยู่ถ่ายรูปรอพระอาทิตย์ตกดินไปเรื่อย ๆ เจ้าหน้าที่ไม่เดินไล่ก็ไม่ลงหรอก รอให้เดินกวาดต้อนอยู่ เพราะรอยังไง พระอาทิตย์ก็ยังไม่ตกซะที จนในที่สุดก็คงไม่ได้อยู่ดูแล้วหละ เดินกลับออกมาดีกว่า แต่กว่าจะเดินออกมา ประตูที่เชื่อมกับโรงแรมก็ปิดไปซะแล้ว เราเลยเดินกลับออกมาทางเดียวกับนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ก็เดินซะขาลากกว่าจถึง ระหว่างทางที่เดินก็ยังไม่สงบสุขอีกต่างหาก เพราะโดนรุมล้อมจากพวกคนขายของที่ระลึก ท่าจะรู้ว่าเราเป็นคนไทย เพราะพูดภาษาไทยด้วย แล้วก็เดินตามเป็พรวน นึกอยู่ในใจว่า มารุมพวกตรูทำไมฟระ สารรูปก็ดูไม่มีตังค์ ทำไม่ไม่ไปรุมพวกฝรั่งเนี่ย เดินกันเป็นพรวน มารุมแต่ชั้นทำไม่เนี่ย ไม่มีตังค์ซักกะบาท เพราะไม่ได้พกเงินไปเลย มีแต่กล้องอย่างเดียวเลย บอกไปพวกนี้ก็ยังตามมาอีก ลดแลกแจกแถมกันน่าดู จนอยากซื้อที่ทับกระดาษซักก้อน เอาไว้ปาหัวพวกขายของเนี่ยแหละ ตื้อลากยาวกันจริงเลย

คืนนี้ก็ทานอาหารในโรงแรม ตอนแรกเห็นโต๊ะที่จัดไว้ ไม่คิดว่าเขาจะให้กินที่นี่ ดูดีและหรูหราจังเลย
อาหารของทางโรงแรมก็ราคาไม่ได้แพงจนเกินไป แต่เราขอกินอาหารฝรั่งซะหน่อย คือว่าไม่ชอบอาหารพื้นเมืองที่มี ที่เรานึกภาพออกแต่ ข้าวผัด กะหมี่ผัด ไม่ไหว รอกินตอนเช้าดีกว่า



เสร็จแล้วก็กลับไปนอนตีพุงดูละครน้ำเน่าอินโด โอว ช่างแกะแบบกันมากับละครช่องเจ็ดเสียจริง เหมือนแม้กระทั่งหน้าของพระเอกเลยนะ แต่ที่ต่างกันคือ ละครเขาไม่มีฉากที่แสดงความรุนแรงทางเพศเลย ตอนที่ดู เป็นฉากตัวละครหญิงคนหนึ่งกำลังจะถูกตัวร้าย(ที่หน้าหล้อ หล่อ) ปล้ำ พนันกะน้องอยู่ว่า เราจะได้เห็นหัวไหล่นางเอกมั๊ย ปรากฎว่า โฮะ ๆ แม้กระทั่งหัวไหล่พ่อตัวร้ายยังไม่มีโอกาสได้เห็นเลย คุณพี่เศร้าจัง

วันนี้นอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เพื่อจะให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นที่บุโรพุทโธ


Create Date : 08 พฤษภาคม 2553
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 10:43:19 น. 4 comments
Counter : 3172 Pageviews.

 
ดูใหญ่โตอลังการมากมาย คนสมัยก่อนทำได้ไงเน๊อะ

เป็น อุดมการณ์ที่เก๋นะคะ ต้องกิน kfc ทุกประเทศ


โดย: j a r n i k วันที่: 8 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:12:17 น.  

 
ตอนไปไปคนเดียว เลยเสร็จตรงด่านแรกแท็กซี่เลย คิดแล้วเศร้า ไม่คิดว่าสนามบินขาเข้าเล็กจิ๊ดเดียวจะมีทางเชื่อมไปโน้นนี่ได้ แท็กซี่ก็ออซะตกใจ เลยจ้างรถออกให้พ้นๆไปจากตรงนั้น สรุปเจอออกันมาทั้งทริป น่าเบื่อมากเลย

ชิม KFC ที่อินโดฯแล้วรู้สึกยังไงคะ เราว่าอร่อยมากเลยนะ ชอบ...



โดย: marzo วันที่: 9 พฤษภาคม 2553 เวลา:1:07:28 น.  

 



โดย: tongsehow วันที่: 9 พฤษภาคม 2553 เวลา:1:51:50 น.  

 
จากการชิมมา ที่มาเลย์ไก่และน้ำจิ้มอร่อยสุดครับ มีน้ำจิ้มแบบไทยให้เลือกด้วย (ไม่นับที่ไทยครับ ที่ไทยอร่อยสุด)

ทีอินโดไก่แฉะไปหน่อย และไม่มีมีดให้ด้วยครับ ต้องเอามีดที่คุณพี่จิ๊กจากเครื่องมาใช้


โดย: Mr. I IP: 58.9.247.221 วันที่: 9 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:19:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นู๋Poopy
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




http://fastwebcounter.com
Friends' blogs
[Add นู๋Poopy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.