โรค พาร์กินสัน โรคพาร์กินสัน Parkinson
1. โรคพาร์กินสัน คือโรคอะไร ? ในอดีตคนไทยน้อยคนที่จะรู้จักโรคนี้ ในยุคปัจจุบันคนไทยมี อายุเฉลี่ย ยืนยาวกว่าเดิมมาก คือ ผู้ชายอายุเฉลี่ย ถึง 63 ปี ส่วนผู้หญิงอายุเฉลี่ย 64 ปี (อดีตคนไทยเราอายุเฉลี่ยเพียง 45 ปี) ดังนั้นโรคในผู้สูงอายุจึงพบบ่อยขึ้นมากในคนไทยเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาทที่มีชื่อเรียกว่า โรคพาร์กินสัน
โรคพาร์กินสันนี้เป็นโรคที่รู้จักกันครั้งแรกในวงการแพทย์ในปี พ.ศ.2360 หรือเกือบ 200 ปีมาแล้ว โดย นายแพทย์เจมส์ พาร์กินสัน แห่งประเทศอังกฤษ เป็นคนรายงานผู้ป่วยเป็นคนแรก โรคนี้จะทำให้ผู้ป่วยซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้สูงอายุ (อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป) มีอาการทางระบบประสาทที่เด่นชัด 3 ประการได้แก่ 1.อาการ สั่น 2.อาการ เกร็ง และ 3.อาการ เคลื่อนไหวช้า ในอดีตโรคดังกล่าวนี้รักษาไม่ได้ และอาการของผู้ป่วยจะเป็นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเคลื่อนไหวไม่ได้เลยต้องนอนอยู่กับเตียงตลอด ซึ่งในที่สุดก็จะเสียชีวิตเพราะ โรคแทรกซ้อน ในปัจจุบันความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้สามารถรักษาโรคนี้ได้อย่างดี และสามารถทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นมาก จึงสมควรจะรู้จักโรคนี้ไว้บ้าง
2. สาเหตุของโรคพาร์กินสันมีอะไรบ้าง ? โรคพาร์กินสันอาจเกิดได้จากสาเหตุต่าง ๆ มากมาย ได้แก่ 1.ความชราภาพของสมอง ทำให้เซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีนมีจำนวนลดลง ในกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด และจัดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุจำเพาะแน่นอน มักพบในผู้ที่อายุเกิน 65 ปีขึ้นไป และพบได้บ่อยพอ ๆ กันในเพศชายและเพศหญิง ไม่มีใครทราบว่าในอนาคตใครจะเกิดโรคนี้บ้างในช่วงวัยชรา แต่จากสถิติอุบัติการณ์เกิดโรคนี้ในต่างประเทศจะพบราว 1-5 % ในผู้ที่อายุเกิน 50 ปี สำหรับประเทศไทยเรายังไม่ทราบสถิติของโรคนี้ 2.ยากล่อมประสาทหลัก หรือยานอนหลับที่ออกฤทธิ์กดหรือต้านการสร้างสารโดปามีน ซึ่งผู้ป่วยโรคทางจิตเวชจำเป็นต้องได้ยากลุ่มนี้ เพื่อควบคุมอาการคลุ้มคลั่ง เพ้อหรือสับสน ยากลุ่มนี้ในอดีตใช้กันมากในปัจจุบัน ยานอนหลับรุ่นหลัง ๆ ปลอดภัยกว่าและไม่มีผลต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน 3.ยาลดความดันโลหิตสูง ในอดีตมียาลดความดันโลหิตที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ทำให้สมองลดการสร้างสารโดปามีน จึงเกิดโรคพาร์กินสันได้ อย่างไรก็ตามยาควบคุมความดันโลหิตสูงในระยะหลัง ๆ ส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดส่วนปลาย จึงไม่มีผลต่อสมองที่จะทำให้เกิดโรคพาร์กินสันอีกต่อไป 4.หลอดเลือดในสมองอุดตัน ทำให้เซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีนมีจำนวนน้อยหรือหมดไป 5.สารพิษทำลายสมอง ได้แก่พิษสารแมงกานีสในโรงงาน พิษจากสารคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งสามารถทำให้เซลล์สมองเสื่อมและเกิดโรคพาร์กินสันได้ 6.สมองขาดออกซิเจน ในผู้ป่วยจมน้ำ ถูกบีบคอ หรือมีการอุดตันในทางเดินหายใจ จากเสมหะหรืออาหารเป็นต้น 7.อุบัติเหตุศีรษะถูกกระทบกระเทือน หรือกระแทกบ่อย ๆ เช่น อุบัติเหตุรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ นักมวยที่ถูกชกศีรษะบ่อย ๆ จนเป็นโรคเมาหมัด เช่น โมฮัมหมัด อาลี เป็นต้น 8.การอักเสบของสมอง 9.โรคพันธุกรรม เช่น โรควิลสัน ที่มีโรคตับพิการร่วมกับโรคสมอง เนื่องจากมีธาตุ ทองแดงไปเกาะในตับและสมองมากจนเป็นอันตรายขึ้นมา
4.อาการของโรคพาร์กินสัน มีอะไรบ้าง ? ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันนั้น อาจมีอาการและอาการแสดงของโรคมากน้อยแตกต่างกันได้มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุผู้ป่วยระยะเวลาการเป็นโรค และภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา โรคพาร์กินสันนี้นอกจากจะมีอาการเด่น 3 อย่างดังกล่าวแล้ว อาจเกิดมีอาการอื่น ๆ เพิ่มเติมได้อีกดังในรายละเอียดังนี้ 1.อาการสั่น ราว 60-70% ของผู้ป่วยจะมีอาการสั่นเป็นอาการเริ่มต้นของโรค อาการสั่นนี้จะมีลักษณะเฉพาะคือ สั่นมากเวลาอยู่นิ่ง ๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหวหรือยื่นมือทำอะไรอาการสั่นจะลดลงหรือหายไป (ผิดจากอาการสั่นอีกแบบที่พบบ่อยในผู้สูงอายุทั่วๆ ไปที่จะสั่นมากเวลาทำงานอยู่เฉย ๆ ไม่สั่น) อาการสั่นในโรคพาร์กินสันนี้ถ้านับอัตราเร็วจะพบว่าสั่นราว 4-8 ครั้งต่อวินาที และอาจสั่นของนิ้วหัวแม่มือ-นิ้วมืออื่น ๆ คล้ายแบบปั้นลูกกลอน อาการสั่นของโรคอาจเริ่มเกิดขึ้นที่มือ, แขน, ขา, คาง, ศีรษะหรือลำตัวก็ได้ ระยะแรกของโรคอาจเกิดข้างเดียวก่อนและต่อมาจึงมีอาการทั้งสองข้างก็ได้ 2.อาการเกร็ง จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของร่างกาย โดยเฉพาะแขนขาและลำตัว โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้เคลื่อนไหว หรือทำงานหนักแต่อย่างใด กล้ามเนื้อของร่างกายจะมีความตึงตัวสูงและเกร็งแข็งอยู่ตลอดเวลา จนผู้ป่วยบางรายต้องกินยาแก้ปวดเมื่อย หรือหายามาทา บรรเทาตามร่างกายส่วนต่างๆ หรือหาหมอนวดมาบีบคลายเส้นเป็นประจำ 3.อาการเคลื่อนไหวช้า ผู้ป่วยในระยะแรก ๆ จะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรช้าลงไปจากเดิมมาก ไม่กระฉับกระเฉงว่องไวแบบเดิม เดินช้า และงุ่มง่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้น ๆ ของการเคลื่อนไหว ในรายที่เป็นมากขึ้นอาจพบว่า อาจหกล้มบ่อย ๆ จนบางรายกระดูกต้นขาหัก, สะโพกหัก, หลังเดาะ, แขนหัก, หัวแตกเป็นต้น ในรายที่เป็นมากอาจเดินเองไม่ได้ต้องใช้ไม้เท้า หรือคนคอยพยุง 4.ท่าเดินผิดปกติ ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะมีลักษณะท่าเดินจำเพาะตัวที่ผิดจากโรคอื่น คือจะเดินก้าวสั้น ๆ แบบซอยเท้าในช่วงแรก ๆ และต่อมาจะก้าวยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเร็วมากและหยุดทันทีทันใดไม่ได้จะล้มหน้าคว่ำเลย นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเดินหลังค่อม, ตัวงอโค้งและแขนไม่แกว่งตามเท้าที่ก้าวออกไป มือจะชิดแนบตัวเดินแข็งทื่อแบบหุ่นยนต์ 5.การแสดงสีหน้า ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีใบหน้าแบบเฉยเมย ไม่มีอารมณ์เหมือนคนใส่หน้ากาก ไม่ยิ้มหัวเราะหน้าตาทื่อ เวลาจะพูดก็จะมีมุมปากยับเพียงเล็กน้อย เหมือนคนไม่มีอารมณ์ 6.เสียงพูด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพูดเสียงเครือ ๆ และค่อยมากฟังไม่ชัดเจน และยิ่งพูดนานไปๆ เสียงจะค่อยๆ หายไปในลำคอ บางรายที่เป็นไม่มากเสียงพูดจะค่อนข้างเรียบรัว และอยู่ในระดับเดียวกันตลอด ไม่มีพูดเสียงหนักเบาแต่อย่างใด 7.การเขียนของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะทำได้ลำบาก และตัวเขียนจะค่อยๆ เขียนเล็กลงๆ จนอ่านไม่ออก 8.การกลอกตา ในผู้ป่วยโรคนี้ จะทำได้ลำบากช้า และไม่คล่องแคล่วในการมองซ้ายหรือขวา บนหรือล่าง ลูกตาจะเคลื่อนไหวแบบกระตุกไม่เรียบ 9.น้ำลายไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อยอันหนึ่ง คือมีน้ำลายมาสออยู่ที่มุมปากสองข้างและไหลเยิ้มลงมาที่บริเวณคาง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะแบบมีน้ำลายมากอยู่ตลอดเวลา
credit : //www.manager.co.th ชุดความรู้สำหรับประชาชน ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์ สาขาวิชาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
Create Date : 25 เมษายน 2550 |
|
26 comments |
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2553 11:52:01 น. |
Counter : 5789 Pageviews. |
|
|
|