ขอขอบคุณ คุณrutdy ที่ให้โลโก้มาเผยแพร่คร๊าบบ

<<
กรกฏาคม 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
6 กรกฏาคม 2552
 

----- ดูบอลญี่ปุ่น แล้วมาดูบอลไทย -----

เห็น คนไทย สมมุติตัวเอง เป็นแฟนหงษ์ แฟงผี แล้วมานั่งด่า นั่งทะเลาะกัน
ในเน็ต ทำให้ผมเห็นถึง ลักษณะทางความคิดของคนบางส่วนในประเทศด้อย
พัฒนาได้ดีมากๆ หลังจากไปเห็นมาแล้วที่สนามบอล

กินเหล้า สูบบุหรี ใช้คำหยาบคาย ด่ากรรมการ ด่านักเตะ เด็กแว้น ทำตัวกร่างใส่แฟนบอลทีมเยือน (อันนี้ไปดูได้ที่สนามท่าเรือ )และอีกมากมาย ทำให้ผมคิดว่า ฟุตบอลไทย กับฟุตบอลโลก มันยังไม่ได้ขยับเข้ามาไกล้กันมากกว่าเดิมเลย แม้แต่น้อย

ด้วย 2 มือของใครหลายๆคน ..ที่คิดจะร่วมกันสร้างอนาคต ..

ผมเองก็คิดจะทำแบบนั้น เหมือนกัน
เรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ คงช่วยให้ ... คนไทย ได้ตื่นขึ้นมา
จากการกระทำโง่ๆ ข้างบนเพื่อบอลไทย เพื่อประเทศไทยของเรา ...






---------






หลังจากที่ไม่ได้แวะไปเที่ยวที่ เจแปน ทาว์น ซะนานเป็นปีกว่าๆ ผมใช้เวลาวันหยุดของผมในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในวันที่ อากาศ ดีดี้ (ถ้าสุดท้ายฝนไม่ตกอะนะ) ที่ซอย สุขุมวิทย์ 33/1 ซึ่งไม่นานมานี้ ผมพึ่งได้ดูทีวี และคนเรียกที่นี่ว่า เจแปน ทาว์น ไปซะแล้ว

เราไปตอนแรกที่ตกใจที่สุด นั่นคือ การจัดต้นไม้ ทานาบาตะ หนึ่งในเทศกาลที่โรแมนติกที่สุดของญี่ปุ่น หน้าร้านขนมปัง และร้านร้อยเยน ของไทย ที่มาขายเมืองไทย ขายกัน 50-70บาท ส่วนถ้าซื้อที่ญี่ปุ่น ของแต่ละชิ้นก็จะราคา 100 เยนทั้งหมดล่ะครับ

ที่ญี่ปุ่นนั้น ร้าน 100 เยนถือเป็นอะไรที่ มีความจำเป็นอย่างแรงง โดยเฉพาะร้าน 105เยนซึ่งเป็นร้านขายของกิน ที่ชีวิตของผมนั้น เชื่อได้เลยว่า แทบทุกวันจะต้องเข้าไปที่ร้านพวกนี้ครับ


ไม่ใช่ว่า ร้านอื่นไม่เข้านะครับ เพราะจริงๆซุปเปอร์ต่างๆนั้น ก็ยังมีอะไรๆที่ถูกๆ และอร่อยกว่า ร้าน 100 เยนมากมายนัก เพียงแต่ว่า ของกินพื้นฐานของคนทั่วๆไปโดยเฉพาะนักศึกษาต่างชาติ ก็จะวนเวียนกับ ร้าน 100 เยนนี่มากหน่อยละครับ

ที่ญี่ปุ่นพักกลางวันจะเห็นนักศึกษามากมายครับ มายืนต่อแถวซื้อมาม่าคัพ กินเป็นอาการกลางวัน ขณะที่หากเข้าไปกินที่ โรงอาหารล่ะก็ราคาก็จะเริ่มที่ประมาณ 400 เยนครับ

ร้าน 100 เยนพวกนี้มาตั่งในไทยแล้วขายกันในราคา 150-200 เยนแต่ก็ยังเป็นที่นิยมของชาวไทย อย่างร้านไดโซะ ปัจจุบันก็ไปเปิดอยู่ในหลายๆที่ บูมขึ้นๆทุกที โดยคนไทยนั้นเชื่อกันว่าอะไรก็ตามที่มาจากญี่ปุ่น มันจะต้องเป็นของดี ดดยหารู้ไม่ว่าจริงๆแล้ว ของกว่าครึ่งในร้าน ไดโซะนั้น เป็นของ
ที่มาจากจีน เพราะต้นทุนที่จะขายในราคา 100 เยนได้ ส่วนมากไม่สามารถผลิตที่ญี่ปุ่นอยู่แล้วครับ

ว่ากันว่า ญี่ปุ่นนั้น สามารถผลิตอาหารภายในประเทศได้เพียง 1/3 ของที่ใช้บริโภคภายในประเทศเท่านั้น โดย1/นี้ก็จะค่อนข้างมีราคาแพงมาก ซึ่งอีก 2/3 ที่ใช่กินกัน ก็จะมาจากการนำเข้าจากประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น จีน รวมทั้ง ไทย ซึ่งราคาก็จะถูกว่าที่ผลิตในประเทศเยอะมาก

ว่ากันว่า ในสมัยสงคราม คนที่กินข้าวที่มาจากไทยนั้น คือพวกที่ไม่มีอันจะกินล่ะครับ

ส่วนญี่ปุ่นพวกเค้า เน้นสิ่งที่ตัวเองถนัดมากกว่า ในเรื่องการพัฒนาเพื่อสร้างอนาคตในเรื่องของรถยนต์กอบโกยเอาเงินส่วนนี้เข้าประเทศ พวกเค้าพัฒนาผลิตรถยนต์ไม่เท่าไร ว่ากันว่ายอดเงินที่ได้ก็สามารถเอามาซื้อ
อาหารจากไทยหรือจีน รวมทั้ง จากส่วนอื่นๆของโลกได้ สบายๆแล้วล่ะครับ

อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมา เศรฐกิจเกี่ยวกับ ออร์โตโมทีฟ ตกลงอย่างน่าใจหาย ทำให้คนนั้น หันมาทำเกี่ยวกับเกษตรกรรมกันมากขึ้นๆ โดยเฉพาะหนุ่มสาว ที่เริ่มจะไม่อยากฝากชีวิตอยู่กับการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน หลังจากที่ การเกษตรกรรมของญี่ปุ่นนั้น ค่อยๆ ตายลงไปๆ ทุกที่ๆ ที่ผ่านมา

ในช่วงที่ผมไปแรกๆ นั้นสิ่งที่ผมทึ่งอย่างนึงนั่นคือ คนญี่ปุ่นบางส่วน(ในเมืองที่ผมไปอยู่) ปลูกข้าวกินเองครับ ที่ญี่ปุ่นคนแก่ เยอะมากครับผม แต่คนแกพวกนี้กลับมีสุขภาพแข็งแรง ขนาดที่ว่า ปั่นจักรยานแซงคนวัยหนุ่ม อย่างผมได้สบายๆ (โดนมาแล้วแบบว่า เจอป้าขับแซงของปั่นขึ้นเนิน) และคนที่ไม่มีอาชีพพวกนี้ ก็มักจะขายของทำอะไรเล็กๆน้อยแม้ว่าจะมีเงินจากรัฐบาลคอยดูแลก็ตามที

การที่คนญี่ปุ่นั้นมีสุขภาพที่ดีนั้น อย่าคิดนะครับว่า มาจากการที่พวกเค้ากินชาเขียว อย่างที่คนไทยบางส่วนเข้าใจกัน เรื่องอาหารการกินนี่ ก็สำคัญครับ พวกผัก 5สี หรือปลา นั้นเป็นอาหารหลักของคนญี่ปุ่นเลยทีเดียว ขณะที่น้ำชา นั่นมีให้เลือกมากมาย รวมถึงน้ำอื่นๆ แต่ที่น่าสนใจคือ พวกคนญี่ปุ่นไม่ค่อยจะกิน น้ำอัดลมมากเท่ากับบ้านเรา ครับ

จำได้ว่า ผมไปนี่ไม่ได้กินน้ำอัดลมซักแอ เลยครับ
แต่ชอบกินน้ำอะไรแปลกๆ อย่างพวกที่กินแล้วสดชื่อ คล้ายๆพวกพวก คาปิโก โซดา ที่มาขายที่บ้านเรา นั่นล่ะครับ

อย่างไรก็ตาม การที่คนแก่ๆ มีสุขภาพที่ดี นั้นผมคดว่า ปัจจัยหลักน่าตจะมาจากว่า พวกเค้าจะต้องออกกำลังกาย โดยการเดิน หรือ ปั่นจักรยาน
อยู่ตลอดเวลา ไม่มีหรอกครับ มานั่งมอไซด์รับจ้างเพราะพวกเค้าเดินกันเป็นกิโลเป็นเรื่องปกติ รวมทั้งไปใหนมาใหนถ้าไม่ใช่ ไปไกลๆ ก็จะเห็นคนปั่นจักรยานกันเต็มไปหมด

การปั่นจักรยานนั้น นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังสามารถลดค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำมันของประเทศญี่ปุ่น ได้ปีละหลายล้านเย็น และยังสามารถลดปัญหาเรื่องมลพิษ ได้อีกด้วยครับ

และญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้มีนโยบายให้คนใช้รถกันมากมายนัก โดยแม้ว่าราคารถ
จะมาราคาถูก แต่ราคาการทำใบขับขี่ นั่นคือ 100000 บาท ดังนั้น น้อยมากๆ ที่จะเห็น นักศึกษามีรถมาขับกัน

พูดถึงนักศึกษา ทำให้ผมคิดได้ถึง ความแตกต่างของเด็กไทยและเด็กญี่ปุ่นครับ ความแตกต่างที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนคือ ความเป็นผู้ใหญ่ครับ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว

ความเป็นผู้ใหญ่ของเด็กญี่ปุ่น ม.ต้น นั้นจะเท่ากับ เด็กม.ปลายบ้านเรา ขณะที่เด็กมปลายบ้านเค้าความเป็นผู้ใหญ่ ก็จะเท่าๆกับเด้กมหาลัยบ้านเราน่ะครับ

ยิ่งเป็นเด็กมหาลัยบ้านเค้าแล้วล่ะก็ ผมว่าความรับผิดชอบในเรื่องต่างๆ ดีไม่ดี อาจจะมากกว่าคนไทยที่อายุไม่เกิน 25ปีด้วยซ้ำไปครับ


ครั้งนึง ผมเคยแวะเข้าไปในโรงยิมของมหาลัยข้างๆ ซึ่งมีความพร้อมกว่าในเรื่อง อุปกรณ์ต่างๆ และก็ได้ผมเด็กคนนึงที่เป็นคนดูละชมรม มวยของมหาลัย

การได้พูดคุย ในเรื่องต่างๆทำให้รู้ได้เลยครับว่า ระบบความเป็นระเบียบของญี่ปุ่นนั้น ถุกปลูกฝุงกันมาตั่งแต่เด็กๆ ซึ่งมันแตกต่างกันอย่างมากมาย กับคนในประเทศไทยเรา

ก่อนหน้านี้ ผมเคยมองว่า บางครั้งญี่ปุ่นก็แปลกจริงๆ แต่ในความจริงแล้ว คำว่า แปลกนั้น อาจจะเป็นคนไทยเรามากกว่าครับ ยกตัวอย่างจากเรื่องราวที่ได้ดูใน ดีวีดี ที่ฟุตบอลที่ผมซื้อมาจาก เจแปน ทาว์นครับ

(คือจริงๆ ตั่งใจจะเขียนเรื่องฟุตบอลนะเนี่ย T.T)

เนื่องด้วยตัวผมเอง มีความตั่งใจแน่วแน่ครับ ว่ายังไงซะในบอลโลก 2010 คงเชียร์ทีมชาติญี่ปุ่นแน่นอน เนื่องจากชีวิตตนเองนั้น มีความเกี่ยวเนื่องกับประเทศนี้หลายอย่างมากๆ ไม่นับที่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลาพอ
ควร แต่การอยู่ดีๆ ไปเชียร์แบบเนียนไป ไม่สามารถทำให้ผม เข้าลึกถึงแก่นแท้ของบอลญี่ปุ่นได้เลย

การเข้าไปเชียร์เจลีคในสนาม อาจทำให้ผมเข้าลึกได้บ้าง เนื่องจากผมไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปดูเกมส์ทีมชาติที่โยโกฮามะ เลยซักครั้ง (คือไปแย่งตั่วกับเค้าไม่เคยได้เลยยยย )

แต่การได้อ่าน นิตยสาร หรือดูรายการฟุตบอลที่นั่นพอสมควรทำให้รู้ว่า

ที่แท้จริงแล้ว ประเทศที่ แปลก นั่นคือ ประเทศไทยของเรามากกว่า



หากใครยังจำกันได้ ในเกมส์ที่ญี่ปุ่นบุกมาอัดไทย คารัง 3-0 เมือปีก่อน ในเกมส์ที่สนามบอลเต็มไปด้วยกอง เชียร์ทีมเยือน นักข่าวญี่ปุ่นถามไทยว่า คนไทยไม่สนใจฟุตบอลกันเหรอ ..

ครับในสายตาคนญี่ปุ่นนั้น หลายๆคนเชื่อกันว่า กีฬาที่ฮิตที่สุดในไทย คือ มวยไทย ..และยังมีคนญี่ปุ่นมากมายเชื่อกันว่า คนไทยนั้นกินต้มยำกุ้ง ทุกวัน ..

ในคำถามนั้น ..คนไทยตอบไปว่า ตอนนี้คนไทย กำลังสนใจบอลยูโร 2008 กันทั้งประเทศ กระแสเรื่องทีมชาติจึงถูกกลบมิด เพราะในเกมส์ๆนั้น ดั้นมาจัดกันในเดือนที่ บอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเค้าเตะกัน ทำให้ไม่มีความน่าสนใจเท่าไร สำหรับคนไทย (คือที่สำคัญ ไทยตกรอบบอลโลกไปแล้วด้วย)

แต่คำถามต่อมา ที่คนไทยนั้นตอบคำถามเค้าไม่ได้คือ "ทีมชาติของคุณ เข้าไปเตะบอลยูโร 2008" กับเค้าด้วยเหรอ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

แน่นอน ผมว่าถ้าอังกฤษเข้ารอบ หลายคนคงบอกพวกนั้นว่า "ทีมชาติเรา คือทีมชาติอังกฤษ ทีมไทยแห่งยุโรป ไงครับ"

แต่ในเมื่อไม่ คำถามคำนี้ ยังคงเป็นคำถามง่ายๆ ที่คนไทย ไม่สามารถตอบได้ มาจวบจนทุกวันนี้

อย่างที่เคยเล่าให้หลายๆท่านฟังแล้วเมื่อก่อนนี้ว่า ที่ญี่ปุ่นนั้น บอลยุโรป คือ ยูฟ่าแชมเปียนลีค เท่านั้นครับ เพราะฟรีทีวีจะไม่มีการมาถ่าย บอลอังกฤษ สเปน หรืออิตาลี่อย่างแน่นอน แต่ในทางตรงกันข้าม เจลีคนั้น
จองหมอนอนดูได้เลยว่า มีแน่นอน

และยูฟ่าแชมเปียนลีคที่ผมพูดถึงนี้ ก็จะมีรายการไอไลตืฟุตบอลเท่านั้น ไม่ใช่มาถ่ายทอดสด กันเหมือนประเทศไทยเรา ส่วนเรื่องข่าวสารบอลยุโรปนั้น ถือเป็นประเด็นรองที่สื่อจะเล่นกัน และถ้ามีก็จะมีหลายๆทีมปนๆกันไม่ไม่ใช่มา แมนยู ลิเวอรืพูล หรือ บอลอังกฤษ อย่างที่บ้านเราครับ

เนื่องจากที่ญี่ปุ่น บอลนอกคือเรื่องที่เอาไว้ให้คนรู้ ไม่ใชฃ่เรื่องที่เอาไว้ให้คนรัก

นักเตะทีมชาติญี่ปุ่นนั้น จะมีสกูปลงรายการ ถึงประวัติต่างๆมากมาย เรียกได้กว่า การที่พวกเค้าจะให้คนของเค้าได้รู้เรื่องราวของ แมสซี่ กาก้า หรือ โรนัลโด้ เนื่องราวของนักเตะทีมชาติของเค้าเองนี่จะต้องถูกปลูกฝังก่อนเรื่อง
อื่นๆที่ไม่ได้เกี่ยวกบับ้านเค้า


ที่ผมเคยเปิดทีวีเจอ ผมเจอสกูปของนากาซาวะครับ ที่ซื้อมาล่าสุดคือเรื่องราว ของเอนโดะ 1ใน3ไอดอล ของผมเอง


แรกๆ ผมก็ งง ครับ อะไรมันจะปิดกั้นตัวเองขนาดนั้น
แต่พออยู่ๆไป .. สิ่งที่ผมค่อยๆรู้สึกขึ้นมาทีละน้อยๆ
นั่นคือ กลุ่มคนที่แปลกนั้น คือ คนไทยเรามากกว่า

ดีวีดี ที่ผมพึ่งได้มาล่าสุด เป็นเกมส์สุดท้ายที่ญี่ปุ่นนั้น
จะเล่นในบ้านตัวเองครับ หลังจากที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายไปแล้ว

และก่อนเริ่มเกมส์ทุกๆเกมส์นี้ ที่ผมชอบที่สุด คือสกูปก่อนเริ่มเกมส์ครับ
ไม่ใช่แค่ว่า นักเตะคนใดลงยืนตำแหน่งใด ยังไงๆ

แต่เป็นสกูปยาวเลยครับ ...
ครึ่งชั่วโมงก่อนเกมส์เริ่ม ...


อย่างในเกมส์เปิดบ้านรับออสเตเรีย นั้นก็เป็นเรื่องราวการเจอกันมาทั้งหมด
โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ ในบอลโลก 2008 ของทั้ง 2 ทีม (แต่เค้ากลับไม่
เอาเรื่องราวตอนที่เค้าชนะ ในบอลเอเชียนคัพลงไปเลย ซึ่งผมคิดว่า มีความ
เป็นไปได้ว่า ถ้วยเอเชียนคัพ คือถ้วยที่พวกญี่ปุ่นไม่มองเท่าไรนัก)

อย่างเกมส์ที่ผมพึ่งได้มาก็จะเป็นเรื่องราว ในบอลโลกของญี่ปุ่นทั้งหมด
ตั่งแต่บอลโลก 1998 2002 ต่อมาจนปี 2006 ...

ซึ่งมันเป็นการบิ้ว อารมณ์ได้อย่างรุ่นแรงเลยทีเดียวครับ .........



ไม่ใช่แค่ นักบอลนะครับ แต่การบิ้ว อารมณ์แฟนบอลเป็นอะไรที่สื่อของเค้าทำได้ เนียนสุดๆ




ผมนั่งดูยังรู้สึกอึ้งเลย ว่าเค้าทำได้เยี่ยมจริงๆ


กลับมาดูของเรา เกมส์อุ่นเครื่องกับทีมชาติ นิวซีแลนด์ กลับไม่มีถ่ายทอดสด แต่กลับจะมีเกมส์ที่จะเล่นปาหิ วันที่ 22 กับทีมระดับสโมสรเดือนนี้ ที่ฟรีทีวี แย่งกันถ่ายทอดสด



ขณะที่พวกญี่ปุ่น เซ็ตเกมส์อุ่นเครื่องคิริน อัดกับพวก ชิลี พวกเบลเยี่ยม ไทยเรา กำลังเดินเรื่อง อุ่นกับสโมสรภายในประเทศของเราเอง ตามด้วยสโมสรของฝรั่งมังค่า


เรื่องแบบนี้มันคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไร ภายในข้ามคืนแน่นอนครับ
แต่สิ่งที่ผมกำลังคิดคือ ความร่วมมือร่วมแรง การร่วมกันเพื่อเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะพัฒนาบอลไทยของแฟนบอลไทยนั้นมีมากน้อยเพียงใด


มันเป็นไปไม่ได้ที่บอลไทยจะทำงาน ด้วยคนแค่ 10-20คน แต่ทีมชาติไทยบอลไทย จะประสบความสำเร็จได้ สิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งคือ ความศรัทธา และพลังของแฟนบอลกลุ่มที่เหลือ ซึ่งผมว่าอาจมีมากถึง 3/4 หรือ 4/5 ที่ยังคงตกค้าง และเชื่อว่า ทีมของตนเองคือ แมนยู ลิเวอร์พูล หรือ อังกฤษ เพราะการปลูกฝังให้คนไทย รักในความเป็นคนอื่นโดยเฉพาะในเรื่องของฟุตบอลนั้น มีมาอย่างช้านานแล้ว แน่นั่นไม่ต่างอะไรกับ ประเทศด้อยพัฒนา ในแถบภูมิภาคเอเชียของเรา อย่าง อินโด มาเลย์ เวียดนาม สิงค์โปร เท่าไรนัก


ภูมิภาคนี้ ยังคงเป็นแหล่งกอบโกยเงินทอง ของฝรั่ง
ขณะที่ชาติอื่นๆ นั้นไปถึงใหนต่อใหนแล้ว


มีคนเคยพูดว่า เกาหลีเหนือทำได้ ทำไมไทยเราถึงทำไมได้

สิ่งที่ผมคิดคือ เกาหลีเหนือ มีสิ่บงที่ไทยไม่มี นั่นคือ ความรักที่จะเป็นตัวของตัวเอง

แต่ที่ไทย
ขณะเดียวกัน ขณะที่คนกลุ่มนึงกำลังพยายามช่วยกัน คนกลุ่มนึงซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่เลือกที่จะยืนดู รวมทั้ง หันไปทางอื่นด้วย เหตุผลพร่อยๆ ว่า "บอลไทยเกี่ยว เชียไรกับกรุเหรอครับ โน่น บอลของผม แมนยู ลิเวอรืพูลโน่น"

ยังมี
คนไทยกลุ่มเล็กๆกลุ่มนึง แผงตัวเข้ามา ทำลายบอลไทย

นังเลงนักบอล ลงไปเตะกันฆ่ากันในสนาม จนลึมไปแล้วว่า นี่คือ กีฬา ไม่ใช่สงคราม

กรรมการ ปล่อยให้เกมส์บอล เป็นเกมส์ฟุตบอลกลายเป็น เกมส์ฆ่าล้างโคตร

แฟนบอลเถื่อนๆ ไม่มีมารยาท ชั้นต่ำ ไม่มีความเกรงใจคนอื่น แฝงอยู่ในสนาม

เหล้า เบียร์ บุหรี และการพนัน อยู่ในสนาม

สมาคมฟุตบอลไทย ทำงานเช้าชามเย็นชาม ไม่มีความตั่งใจที่จะพัฒนาอะไรให้เป็นรูปเป็นร่าง

ไทยสื่อ เอาแต่ได้ กับการเอาคนโง่ เข้ากะลา แมนยู ลิเวอร์พูล ง่าย ได้เงิน เอาข่าวมาแปลก ให้พวกนี้ติด แล้วได้เงิน แต่ประเทศไทย ไม่ได้อะไรเลย




คนไทยเรา ไม่มีความฝัน

ญี่ปุ่น ตั่งความหวังก่อนเกมส์สุดท้ายว่า คำว่าเข้ารอบบอลโลก ไม่ใช่สิ่งที่เค้าต้องการ สิ่งที่เค้าต้องการนั่นคือ การไปอัด ออสเตเรียให้คารังแล้ว ก้าวขึ้นเป็นแชมป์กลุ่ม จากนั้นก็ต่อด้วยการเป็นทีมที่ดีที่สุดในปี 2010

นี่คือความคิดของกลุ่มคนที่เคยยิ่งใหญ่
พวกเค้าต้องการสูงขึ้น และพัฒนาตลอดเวลา

ขณะที่ไทย พวกเราตั่งความหวังว่าจะขอตามอิหร่าน เข้ารอบเอเชียนคัพ 2011 ที่กาตาร์ ด้วยการไปเสมอนอกบ้าน กับจอร์แดน และ สิงคดปร และเป็นแต้มจากอิหร่าน 1 แต้มให้ได้ จากนั้นค่อยมาเอาชนะจอร์แดน และ สิงค์โปร เพื่อเป็นที่ 2 ของสาย

ผมถามว่า แล้วหากว่ามันเกิดพลาดขึ้นมาซักเกมส์นึงละ ทุกอย่างไม่จบเหรอครับ

ทำไมเราไม่คิดที่จะชนะ ในทุกๆเกมส์ที่ลงแข่งขัน ตั่งเป้าหมายให้สูงแล้วไปให้ถึง และหากสมาคมประกาศชัดเจนว่า จะขอไปเอา1แต้มจากรังของสิงคโปร์ ผมคนนึง ที่จะกระทืบตั๋วเครื่องบินที่พึ่งซื้อมา โยนทิ้งน้ำไป

คนไทยต้องมีความฝัน หากคิดจะไปในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยไป เป็นและสามารถทำ ในสิ่งที่ตนเองไม่เคยทำได้

ญี่ปุ่นไม่สามารถทำสำเร็จในการเป็นแชมป์กลุ่ม นั่นทำให้พวกเค้า ทำการบ้านอย่างหนัก กว่าเดิมเป็น 3เท่า กับคำว่า เป้าหมายที่ไม่สามารถล้มเหลวได้อีก ในการเป็น 1 ใน 4 ทีมที่ดีที่สุดในโลก


ขณะที่ไทย หากคนไทยไม่เริ่มเดินก้าวแรกที่ชื่อว่า "กลับมารักตัวเอง กลับมารวมพลังเพื่อชาติไทย" ซะก่อนแล้วล่ะก็ อย่างหวังเลยครับบอลโลกว่าจะได้ไปกับเค้า ดีไม่ดี เอเชียนคัพ 2011 นี่จะไม่ได้ไปเอาด้วยซ้ำ









อัพเดทเบอร์ ล่าสุดทีมชาติไทย


1.กิติศักดิ์
2.สุรี
3.ณัฐพงษ์
4. (ยังเป็นของชลทิตย์ปะ)
5.สุทธินันท์
6.ณัฐพร
7.ดัสกร
8.สุเชาว์
9.รณชัย
10.ณรงค์ชัย
11.อดุลย์
12.ว่าง
13.ธีรศิลป์
14.ธีรเทพ
15.สุรัตน์
16.อาทิตย์
17.สุธี
18.โกสินทร์
19.พิชืตพงษ์
20.ภานุพงษ์
21.ว่าง
22.รังสรรค์
23.กีรติ
24.เกียรติประวุธ
25.คับฟ้า
26.กวิน
27.พิพัตน์




 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2552
0 comments
Last Update : 8 กรกฎาคม 2552 7:45:28 น.
Counter : 1175 Pageviews.

 

Yupin
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สิ่งที่มนุษย์ควรมี นั่นคือ ศีล สมาธิ ปัญญา และ การมีสติ

ผมเชื่อว่า การที่คนเราละอายต่อการทำบาบ ละอายต่อการทำความผิด นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด ประเทศบ้านเมืองไมจำเป็นต้องมีกฏเกณฑ์ อะไรมากมายหากคนเราละอาย และเกรงกลัวต่อการทำบาบ เพราะนั่นทำให้คนเราเกรางกลัวที่จะทำมาจากในใจของตนเอง

การทุจริต โกงกินประเทศชาติ การขับรถโดยไม่สนใจกฏของสังคม และสิ่งต่างๆ สิ่งเลวๆที่เกิดขึ้นนั่นเพราะ คนเมื่อเชื่อในเรื่องบุญบาบ

เราไม่สามารถจะไปควรคุมคนอื่นได้ แต่เราสามารถควบคุมการการทำของตัวเราเองได้

ผมเชื่อว่าคนเราเกิดมาไม่นาน และการมีชีวิตอยู่ในโลก คือโอกาสของการได้กระทำความดี

ทำดี คิดดี คิดให้มีความสุข จิตใจผ่องใส่ นั่นคือสิ่งที่คนเราควรทำ


ผมว่าชีวิตเราอยู่ง่ายๆครับ

1.ไม่ฆ่าสัตว์
2.ไม่ลักทรัพย์
3.ไม่ประพฤติผิดในกาม(แย่งลูกเมียคนอื่น)
4.ไม่พูดปด
5.ไม่ดื่มสุรา

แค่นี้ชีวิตก็อย่สบายและมีสุขแล้ว ผมจะขอเพิ่มอะไรเข้าไปนิดนึงครับ นั่นคือ ลองคิดก่อนเราจะทำอะไรทุกๆอย่าง ว่า
กับสิ่งที่เรากำลังจะทำ ถ้าคนไทยทุกคนทำเหมือนเรา เมืองไทยเราจะเป็นอย่างไร ถ้าลองคิดดูแล้วว่า มันเป็นเรื่องดี จะนำพามาซึ่งความสุขแล้วล่ะก็ ทำไปเถอะ แต่ถ้ามันเป็นทางตรงกันข้าม อย่าทำเลย


บันฑิต บางคนบอกว่า มันคือ คำที่ใช้เรียกคนที่ร่ำเรียนจบ ปริญญาตรี
แต่ในความเป็นจริง ที่เรียก บัณฑิต ได้นั้น คนๆนั้น จะต้องมีความรู้
เพราะ บัณฑิตนั้น แปลว่า ผู้รู้

แล้วรู้อะไร..
รู้ว่าสิ่งใหนควร สิ่งใหนไม่ควร
สิ่งใหนถูก สิ่งใหนผิด
สิ่งใหนควรทำ สิ่งใหนไม่ควรทำ และ ควรทำเวลาใด
และที่สำคัญที่สุด บัณฑิตต้องรู้จักกาล รู้จักบุคคล รู้จักสถานที่


รู้จักกาล คือ รู้ว่าเวลาใหน ตอนใหน ควรทำอย่างไร วางตัวเช่นไร จึงจะเหมาะสม

รู้จักบุลคล คือ รู้ว่ากับบุลคลเช่นนี้ เราควรปฏิบัติตนกับเค้าอย่างไร ควรทำอย่างไร วางตัวเช่นไร จึงจะเหมาะสม

รู้จักสถานที่ คือ อยู่ ณ ที่แห่งนี้ เราควรทำอะไร ควรทำอย่างไร วางตัวเช่นไร จึงจะเหมาะสม

อะไรดี อะไรเลวง่ายๆ แค่ลองคิดดูว่า หากทุกคนทำแบบที่เรากำลังจะทำ มันจะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดว่าหลังตาแล้วเห็นแต่ความวิบัติ นั่นล่ะ เค้าเรียกว่า สิ่งเลว แต่หากเห็นแต่ สิ่งดีสิ่งงาม นั่นล่ะ คือ สิ่งดีที่เรา ควรจะทำ


ทำเลว แม้ไม่มีคนเห็น มันก็เป็นสิ่งเลววันยังค่ำนั่นล่ะ

**********************************
Blue(11) ---> คนไทยที่รักในฟุตบอลของตัวเอง เพื่อกนาคตของพวกเราเอง
************************************
Red ---> คนไทยที่เป็นทาสบอลนอก
************************************
Yellow ball ---> โอกาสของไทย กับคำว่า "ฟุตบอลโลก"
************************************
Blue (17) ---> Mr.Chuwit !!!
************************************









S! Radio
เต้นรำระบำยอดหญ้า
เพลง สายเกินไป
ศิลปิน ริบบิ้น&ใหม่
อัลบั้ม เต้นรำระบำยอดหญ้า
ดูเนื้อเพลงคัดลอกโค้ดเพลงนี้
[Add Yupin's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com