Group Blog
 
 
มิถุนายน 2558
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
2 มิถุนายน 2558
 
All Blogs
 
นับ 1 บันทึกถึงลูก

ในที่สุด ก็ถึงวันที่พ่อแม่มีหนูครบ 12 สัปดาห์เสียที หนูคงไม่รู้ว่าภาวะทางสูติศาสตร์ อายุครรภ์ก่อนเท่าหนูคือเป็น critical period เอามากๆ มากซะจริงๆ

เราเฝ้านับวันในปฏิทิน กาไปทีละวันๆ จนถึงวันครบ 12 wk  เสียที 
ก่อนวันนี้ คุณหมอสูติไม่อยากให้เราแจ้งข่าวดี บอกให้เก็บไว้ก่อนยังมีอีกหลายด่านนัก 
แม่ไม่กล้าดีใจเต็มหัวใจ ไม่กล้ายิ้มกว้างๆ ประกาศดังๆ ว่าเราจะมีลูกแล้วเสียด้วยซ้ำไป


แม่เห็นลูกดิ้นครั้งแรก ใน ultrasound ตอนหนูอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ หนูยาวแค่ 3.3 cm แค่นั้น ก็ดิ้นแรง โบกมือ ยักเอวได้ขนาดนั้นแล้วเหรอลูก





รูปนี้หนูอายุ 12 wk  ยาว 6.6 cm ตามเกณฑ์ จริงๆ มากกว่าเกณฑ์นิดหน่อยเพราะเครื่องคำนวณว่าหนูน่าจะ 13 สัปดาห์แล้ว  รอบนี้หนูนอนขวาง หันมาเห็นขอบเบ้าตากลมโต ปากกลม เป็นแนวของโครงกระดูกใบหน้าจ้ะ  หนูไม่ต้องตกใจหนูไม่ได้ทำหน้าตื่นปากเป็นตัวโอขนาดนั้นจนวันเกิดหรอก   ตาหนูของแม่ยังดิ้นเก่งเหมือนเดิม  แขนขายาวขึ้นเยอะ  หนูตัวยาวขึ้นจนพื้นที่ว่างในท้องแม่น้อยลง หนูดิ้นบลุ๊บๆ แบบเดิมไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังดิ้นชัดอยู่  หมอสูติของเราบอกว่า "ดิ้นใช้ได้เลยนะคนเนี้ย"   





ตอนที่เห็นลูกดิ้นครั้งแรก มันตื่นเต้นมาก พ่อกับแม่ยิ้มกว้างงง  

แม่คิดจะยกกล้องมาขออัดคลิป แต่ปรึกษาพ่อแล้วมันไม่สะดวกและรบกวนระบบหมอสูติมากเกินไป ยังมีคนไข้รออีกเยอะ ถ้าแม่ต้องเปลี่ยนขยับท่าก็ต้องมาจัดกันใหม่

หนูดูไว้นะจ้ะลูก 
บางทีใจเรานะมีความอยาก แต่ดูแล้วถ้ารบกวนคนอื่นมากเกินไป พ่อกับแม่ก็เลือกที่จะไม่ทำ  
เราจ้องภาพในจอเป๋งจนภาพลูกฝังแน่นติดในความทรงจำเราสองคนแทน  

จนเรากลับมาถึงบ้าน  เดี๋ยวจะมีใครสักคนไม่พ่อก็แม่ พูดนำขึ้นว่า "เค้าดิ้นด้วยย "  
แล้วอีกคนก็จะขานรับ  "ช่ายย  เค้าดิ้นแร๊งแรง"    

พ่อทำท่าดิ้นเลียนแบบลูกได้น่ารักมาก  ทำเหมือนลูกเปี๊ยบๆ
หนูยกแขนข้างนึงขึ้น แล้วก็อีกข้าง  ชักขาเข้ามาสองข้างพร้อมกัน แล้วก็ยักเอว บรุ๊บๆๆ 
วันที่เรากลับจากรพ.  ถ้าหนูเห็นคงตลกพ่อกับแม่มาก เราสองคนผลัดกันทำท่าดิ้นเลียนแบบลูก
แล้วเราก็หัวเราะๆๆ  เรากอดกันแน่น แล้วเดี๋ยวก็อยากทำท่าดิ้นแบบลูกอีก 




ตอนแม่นอนให้หมอไถเครื่องอัลตราซาวน์เย็นๆ บนพุง แล้วก็นึกอะไรแปลกๆ ได้อย่างนึง

หนูรู้แล้วใช่ไหมจ้ะว่าแม่ของหนูเป็นหมอเด็ก
ชีวิตของแม่ทุกวัน  จะเจอเด็กและพ่อแม่เด็กมาหาทุกวันและทั้งวัน ไม่รู้แล้วว่าเจอมากี่ครอบครัว

ไม่ว่าจะเด็กพิเศษ หรือเด็กปรกติที่เป็นไข้เจ็บป่วยธรรมดาๆ  
บ้านที่มีลูกเข้าวัยรุ่น เริ่มๆ เกือบๆ สิบขวบ จะมีปัญหาคลาสสิคเหมือนๆ กัน

คือ
เด็กๆ เค้าคิดว่าตัวเองโตแล้ว
แต่สำหรับคนเป็นพ่อแม่  ลูกยังเป็นลูกเล็กๆ ของตัวเองตลอดไป

พ่อแม่จะสื่อสารในลักษณะที่ทำให้ลูกเบื่อ รำคาญ และไม่ฟังพ่อแม่ หาว่าแม่บ่น 
ผลคือพ่อแม่ยิ่งโมโห ใช้คำแรงขึ้นๆ ลูกเบื่อ เลือกแอบเล่นเนต แชต เชื่อเพื่อนมากกว่าพ่อแม่  
บ้านไม่ใช่ที่อบอุ่นอีกต่อไป  พ่อแม่ก็เอือมลูก คิดถึงเรื่องลูกก็ปวดหัว ลูกก็เบื่อพ่อแม่เหมือนกัน 
ลูกอยากกลับบ้านดึกๆ  กลับมาก็อยากเข้าห้องส่วนตัวเล่นเนตสบายใจกว่า

คำที่แม่ชอบใช้กับพ่อแม่คือ

หมอรู้ว่าคุณแม่รักลูกมาก  ความรักของคนเป็นแม่ไม่เปลี่ยนจริงไหมคะ
(ตรงนี้ แม่บางบ้านว่าความรักยังอยู่ บางบ้านก็บอกว่าไม่รู้สึกรักแล้ว มีแต่รำคาญ รู้งี้ไม่มีลูกดีกว่า)

ตอนลูกเล็กมากๆ  แม่เคยต้องทำเสียงอ้อแอ้โต้ตอบลูก  เคยทำเป็นสนุกกับนิทานทารก ทำเป็นอร่อยกับฟักทองบด   พอลูกโตขึ้น เราก็เคยต้องทำเป็นสนุกกับมนุษย์แปลงร่าง สนุกกับการ์ตูนเจ้าหญิง 

คนเป็นแม่เคยต้องทำแบบนี้ ตามสเตปชีวิตลูกกันมาแล้วทั้งนั้น
ที่ผ่านมา ทำไมเราทำได้  เพราะรักลูกเป็นที่หนึ่งไม่ใช่หรือ

ตอนนี้เป็นแค่อีกสเตปของชีวิต ลูกวัยรุ่นคิดว่าเขาเริ่มโตแล้ว
ความรักของแม่ ต้องขยายขอบเขต ต้องเปลี่ยนเทคนิค วิธีพูด ปรับการเลี้ยงดู ปรับกฎตามการเติบโตของลูก  กฎที่เคยใช้ตอนลูกเล็กๆ ไม่เหมาะแล้วกับลูกที่โตขึ้น

ลูกนกเล็กๆ ของเรา   เติบโตขึ้นเตรียมพร้อมจะโผบินแล้ว
อะไรก็ตาม ที่ขัดแย้งกับธรรมชาติ จะมีแต่ความสับสน ไม่ราบรื่น และเหนื่อยเสมอ

แม่เจอบ่อย พูดเรื่องนี้บ่อย เสียจนแม่ชอบสอนตัวเองว่า
ลูกเป็นของเราแค่ช่วงเล็กๆ  พอโตขึ้นเข้าวัยรุ่นแล้ว หัวใจแม่ต้องกว้างพอจะยอมรับได้ว่าเขาเป็นอีกชีวิตหนึ่ง ที่มีวิถีเป็นของตัวเอง

แต่วันที่แม่นอนมองอัลตราซาวน์อยู่ แม่เพิ่งรู้ว่า
ลูกมีชีวิตเป็นของตัวเอง ตั้งแต่วันปฏิสนธิแล้ว 

แม่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหนูมานอนในพุงเรียบร้อยแล้ว จนเจาะเลือดตรวจฮอร์โมน
ลูกโตขึ้นเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช้เครื่องแม่ก็ไม่รู้
ลูกดิ้นอยู่ควั่บๆ  ถ้าไม่ใช้เครื่อง แม่ก็ยังไม่รู้ตัวอยู่ดี
ลูกเลือกที่จะมาอยู่กับเรา  ลูกเลือกที่จะเติบโต สมบูรณ์ แข็งแรงได้ก็ด้วยตัวของหนูทั้งสิ้น

แม่ทำงานเกี่ยวกับครอบครัว  เด็กๆ ยุคนี้ มีหลายๆ เหตุการณ์ที่น่าสงสาร
ไม่ว่าแม่ที่ลืมตัวเคี่ยวเข็นลูกมากไป บังคับลูกให้เป็นอย่างใจตัวเอง อยากให้เรียนนั่นนู่น
อยากให้ทำนู่นทำนี่  ไม่ทำนู่นทำนี่  ลืมคิดถึงความจริงที่ว่านั่นเป็นชีวิตของลูกทั้งนั้น

มันมีความพอดีที่อยู่ตรงกลาง ระหว่าง รักและให้โอกาสลูก กับบังคับลูกมากเกินไป
เราจะช่วยกันหาก้าวตรงกลาง ที่พอดีและเป็นธรรมชาติที่สุดไปด้วยกันนะคะ

ลูกแม่  

วันนึงแม่อาจลืม อาจเข้าใจผิดว่าคำว่ารักของแม่ใช้บงการชีวิตลูกได้
แม่อยากให้ลูกมีวิธีเตือนแม่ วิธีเตือนนิ่มๆ ที่ลูกไม่เสียความเป็นปัจเจกของลูก 
และแม่ก็ยังรู้สึกไม่เหงาเกินไป


แม่อ่านเจอเพจของหมอโอ๋ เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน  
เธอเขียนว่า  "เราไม่เคยมีบุญคุณต่อกัน"  
แม่เอามาให้ลูกอ่าน และแม่ก็อยากเก็บไว้อ่านเองด้วย

"ถึงลูกสาวที่รักของแม่...

เมื่อหนูโตขึ้น หนูอาจจะได้ยินใครๆในสังคมบอกหนูว่า "ต้องกตัญญูรู้คุณพ่อแม่"...
ในฐานะที่วันนี้แม่ได้เป็นแม่ของหนู แม่อยากบอกให้รู้ไว้จากใจของแม่เองว่า...

อย่าต้องเลือกอะไรในชีวิตที่ไม่ได้คิด ไม่ได้ต้องการ เพียงเพราะแค่อยากกตัญญูกับพ่อแม่

อย่าต้องเสียสละอะไรไปในชีวิต เพียงเพราะคิดว่านี่คือสิ่งที่พ่อแม่จะไม่ชอบ

อย่าต้องยอมแลกความสุขของชีวิตกับอะไรเพียงเพราะคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่ต้องการ

ชีวิต..."เป็นของลูก"
จงหวงแหนจิตวิญญาณของการใช้ชีวิตของตัวเอง
อย่าเชื่อใครที่บอกให้ขายความสุขหรือความฝันของทั้งชีวิต...ให้กับ"ความกตัญญู"

แม่ไม่คาดหวังอะไรจากหนู
แม่ไม่ได้มีหนูเพื่อมารับใช้ความต้องการอะไรในชีวิตแม่
ถ้าวันหนึ่งที่หนูอยากจะทำอะไรให้พ่อแม่ แม่อยากให้หนูทำด้วยความรัก..ไม่ใช่เพราะใครบอกให้กตัญญู

เพราะสำหรับแม่...

"เราไม่เคยมีบุญคุณต่อกัน"

หนูไม่เคยร้องขอแม่ ให้ช่วยทำให้หนูเกิดมา
การมีหนู เป็นการตัดสินใจของแม่
การเลี้ยงดูหนูอย่างดีที่สุด จึงเป็น "หน้าที่ของแม่"
หน้าที่...ที่แม่ไม่เคยนับว่าเป็น"บุญคุณ"

ถ้าเชื่อตามพุทธศาสนาว่า "การเกิดเป็นทุกข์"
แม่ทำให้หนูต้องเกิดมาอยู่กับการว่ายเวียนกับสุขทุกข์ เพียงเพื่อเป็น"ความสุขของแม่"

แม่ซะอีก...ที่อาจจะเป็นหนี้บุญคุณของหนู

ใช้ชีวิตด้วยจิตวิญญาณที่เป็นอิสระเถอะนะลูก
แม่ไม่เคยคาดหวังให้หนูต้องทำอะไรเป็นการตอบแทน

เพราะการมีความสุขในทุกวัน กับการที่มีหนูให้รัก
สำหรับแม่...

นี่เป็นการตอบแทน...ที่มากเกินพอ

รักลูกเสมอ
แม่"


นั่นเป็นถ้อยคำของหมอโอ๋  เป็นวิธีคิดและสไตล์เลี้ยงลูกของเค้า เป็นความคิดที่น่าสนใจและน่าคิดตาม

ไม่ได้เหมือนบ้านเราเสียทุกอย่าง  แม่ไม่ได้คิดเหมือนหมอโอ๋ทุกบรรทัด นิสัยของแม่ไม่ได้คิดคันค้านว่าบรรทัดไหนผิดหรือถูก เพราะนั่นเป็นความคิดของหมอโอ๋เค้าเป็นความเหมาะของเขา  

เมื่อลูกแม่โตขึ้น แม่จะชวนให้อ่าน อ่านหนังสือ อ่านวิธีความคิดของคนหลากหลาย  บ้านเรามีหนังสือดีๆ ที่แม่สะสมไว้เยอะแยะ  แม่จะชวนลูกอ่าน  ชวนลูกคิด  และเข้าใจความคิดของคนที่หลากหลาย  

เอาไว้เรียนรู้ เปิดโลกทัศน์ตัวเอง เพื่อเข้าใจคนอื่น เพื่อสะท้อนมองเห็นภาพตัวเอง

ไม่ใช่ไว้วิพากษ์วิจารณ์เฟ้นหาถูกผิด



บันทึกถึงลูกนี่  จะเป็นบันทึกที่แม่ถอดหัวใจเขียน

พ่อแม่มีหนูตอนอายุมากแล้ว  กว่าหนูจะโตจนพูดคุยเรื่องราวถึงความรู้สึกนึกคิดได้ กว่าลูกจะสัมผัสเนื่้อแท้ของพ่อแม่ได้จะต้องใช้เวลากี่สิบปีกันนะ  

แม่รู้จักคนหลายคน  ที่พอเติบโตมาแล้วรู้สึกว่าไม่เข้าใจหรือสัมผัสคนเป็นพ่อแม่ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ก็อยู่ด้วยกัน  ดูทีวี ทานอาหารด้วยกัน แต่แทบไม่รู้จักเนื้อแท้ตัวตน ความรู้สึกนึกคิดภายในกันและกันเลย เหมือนแชร์บ้าน แต่ไม่ได้แชร์ชีวิต  ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่แม่ไม่อยากให้เกิดกับบ้านเรา

แม่จะรักษาบันทึกนี้อย่างดี  ทั้งพริ้นท์ทั้งเซฟไฟล์  เก็บไว้ให้ลูกได้อ่านตอนโต


ถึงตอนนี้ แม่อยากให้หนูรู้ว่า แม่รักหนูมาก

พ่อกับแม่รักหนูมากๆ 

และจะรักหนูในแบบที่หนูเป็น 

ความรักของเราจะขยับและปรับได้ตามสเตปชีวิตของลูกนะจ้ะ













Create Date : 02 มิถุนายน 2558
Last Update : 13 มิถุนายน 2558 11:55:51 น. 0 comments
Counter : 930 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พิมพการัง
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




. .
Friends' blogs
[Add พิมพการัง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.