บ้านของฉันอยู่ใกล้ๆปากคลอง ฉันจึงรู้ว่าสายน้ำนี้มาจากไหน แต่ฉันไม่รู้ว่ามันไปสิ้นสุดที่ไหน รู้แต่พียงว่ามันไหลเข้าไปข้างในไกลหลายสิบกิโลเมตรกว่าจะถึงสุดปลายคลอง
ฉันคุ้นเคยและผูกพันกับสายน้ำหน้่บ้านตลอดช่วงหนึ่งของชีวิตได้อาบอิ่มความฉ่ำเย็นของมันทุกเช้าเย็น ได้ปลดปล่อยความหม่นหมองของวิญญาณยามดำผุดดำว่ายเล่นอย่างสุขสำราญ ได้อาศัยความสงบนิ่งล้ำลึกของมันดับความว้าวุ่นของจิตใจทุกครั้งที่นั่งมองมัน และฉันยังได้พบที่ซบหัวใจของตัวเองที่ริมคลองสายนี้ด้วย
....ในช่วงที่วัยสาวเริ่มเบ่งบาน ชีวิตของฉันที่ดำเนินอยู่อย่างเรียบง่ายในบ้านริมสายน้ำนี้ร่วมกับบุพการีและพี่น้องชายหญิงอีกเจ็ดชีวิต มีแต่ความจำเจน่าเบื่อหน่าย และสุมทับด้วยปัญหาความไม่เข้าใจกันในครอบครัว หลายครั้งที่ฉันหลบไปให้ห่างจากเสียงทุ่มเถียงและความรุนแรงทางอารมณ์ทั้งมวล ไปนั่งอยู่ที่ท่าน้ำมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆเงียบสงบด้วยความรู้สึกเดียวดายเหงาหงอย บ่อยครั้งที่ฉันกระซิบบอกกับมันว่า พาฉันไปทีเถอะ พาไปที่ไกลๆที่ไหนก็ได้ ที่ซึ่งมีความสุข มีความรัก ที่ที่มีคนต้องการฉันและโอบกอดฉันไว้ให้หายหวาดหวั่น หายเหงาใจ แล้วก็เคยจินตนาการว่า ฉันได้ล่องลอยลึกเข้าไปกับสายน้ำจนสุดปลายคลองและได้พบที่แห่งนั้นจริงๆ แต่ยังมิทันได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ต้องการ วิมานในฝันของฉันก็พังทลายด้วยเสียงดุดันที่เรียกให้กลับไปทำงานบ้านที่น่าเบื่อหน่าย
หลังเรียนจบชั้นสูงสุดของโรงเรียนประจำจังหวัดฉันก็ก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยทำงานทันทีในอาชีพครูในโรงเรียนคริสต์ที่เคยเรียนสมัยอยู่ชั้นประถม เป็นงานเดียวที่ฉันจำเป็นต้องทำเพื่อให้มีเงินมาเลี้ยงดูตัวเอง
วันหนึ่งฉันได้พาลูกศิษย์ไปจัดแสดงผลงานด้านสิ่งประดิษฐ์ในงานวิชาการซึ่งจัดขึ้นที่ตัวจังหวัด ฉันได้พบกับครูชายคนหนึ่ง หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกันและพูดคุยกันราวกับคนที่คุ้นเคยสักพักหนึ่ง ฉันก็รู้ตัวว่าได้ตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว
มันช่างเป็นสิ่งวิเศษน่ามหัศจรรย์เสียเหลือเกินกับความรักแรกพบนั้น มันนำความอิ่มเอมใจให้กับฉันอย่างมากมาย และแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะเกิดและเติบโตริมน้ำสายเดียวกันกับฉัน และจากวันนั้นเราก็ได้กลายมาเป็นคู่รักกัน
และในที่สุดฉันก็ได้รู้ว่าลำคลองหน้าบ้านไปสิ้นสุดลงที่ไหน เมื่อเขาพาฉันไปเที่ยวที่บ้านของเขาในวันหนึ่งเพื่อรู้จักกับครอบครัวของเขา บ้านของเขาอยู่เกือบสุดปลายคลอง แต่น้ำในคลองหน้าบ้านเขาแห้งขอดจนเกือบจะกลายเป็นถนน เพราะหลายปีมาแล้วที่บางส่วนของคลองก่อนที่จะมาถึงบ้านเขาเกิดตื้นเขิน น้ำจากแม่น้ำจึงไหลผ่านเข้ามาไม่ได้อีกเลย
เขาเล่าว่าตอนเป็นเด็ก เวลาน้ำขึ้นจะมีน้ำไหลเข้ามาจนเต็มฝั่ง และเวลาน้ำลงน้ำก็จะไหลไปจนเกือบหมดคลอง เขาเคยสงสัยว่าน้ำนั้นมาจากไหนและไหลไปไหนหมด เขาได้ยินผู้ใหญ่พูดกันว่าน้ำทุกสายไหลมาจากสวรรค์ บ่อยครั้งที่เขาว่ายน้ำไปไกลมากเพื่ออยากจะไปให้ถึงสวรรค์ต้นทางของน้ำตามที่ได้ยินมา แต่เขาไปได้สักพักก็เห็นว่ามันไม่สิ้นสุดสักที เขารู้สึกเหนื่อยจึงถอยกลับ และตั้งความหวังไว้เสมอว่าสักวันเขาจะทำให้สำเร็จ สักวันหนึ่งเขาจะไปให้ถึง และในวันลอยกระทงทุกปีเขามักตั้งจิตอธิษฐานให้เขาสมหวังที่จะได้ไปถึงสวรรค์ที่ต้นน้ำสักครั้งและได้พบหญิงสาวสักคนที่นั่น หญิงสาวที่จะเป็นคู่ครองของเขาไปจนชั่วชีวิต
ฉันเล่าส่วนของฉันบ้าง แล้วเราต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าอาจเป็นด้วยแรงอธิษฐานที่ทำให้เรามาพบกัน และต่อมาเราได้ให้สัญญาต่อกันที่ริมแม่น้ำว่าความรักของเราจะเป็นเหมือนสายน้ำในแม่น้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้ง
มันช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสมจริงๆ เหมือนล่องลอยอยู่ในสวรรค์ จิตใจที่จดจ่ออยู่กับคนรัก เบิกบานแช่มชื่น จิตวิญญาณนั้นร้องเพลงขับกล่อมอารมณ์ให้สำราญอยู่ทุกยามปัญหามากมีในชีวิตกลายเป็นเรื่องไร้สาระ
แต่แล้วสวรรค์ก็ล่มลงตรงหน้าเมื่อพ่อของฉันรู้เรื่อง พ่อได้ชื่อว่าเป็นคนเคร่งศาสนา แต่เป็นคนดุและหวงลูกสาวที่สุด พ่อไม่ชอบที่เขาเป็นคนต่างศาสนา แม้เขามีหน้าที่การงานที่มีเกียรติ มีอาชีพที่ได้รับการยกย่องว่ามีเกียรติสูงสุดของท้องถิ่นในเวลานั้น พ่อก็ไม่ต้องการ พ่อต้องการให้ฉันได้แต่งงานกับคนในศาสนาเดียวกัน แม้ฉันจะแย้งว่าผู้ชายที่นับถือศาสนาเดียวกันนั้น ไม่มีที่ถูกใจฉันสักคนนี่นา พ่อก็ไม่สนใจและโกรธมากที่ฉันโต้แย้ง สั่งห้ามเด็ดมิให้ฉันคบหากับเขาอีกต่อไปและไม่ว่าฉันจะไปไหนพ่อจะไม่ยอมให้ฉันพ้นสายตา ซึ่งพี่ๆของฉันก็พลอยเป็นหูเป็นตาให้พ่อด้วย
ฉันต้องทำตามสิ่งที่พ่อสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะพ่อเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้านคำสั่งของพ่อคือประกาศิต ฉันได้แต่แอบร่ำไห้ด้วยความเวทนาตัวเองอยู่หลายเพลา.....
.....แล้วฉันก็ได้ข่าวว่าคนรักของฉันได้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดอื่นแล้ว จังหวัดนั้นอยู่ที่ต้นกำเนิดของแม่น้ำสายหลัก หากเขาไปอยู่ที่นั่นจริงๆ เขาคงได้รู้แล้วว่าสวรรค์เป็นอย่างไร ฉันอยากรู้จริงๆว่าเขายังคิดถึงเธออยู่หรือเปล่า? เขาจะรู้ไหมว่าฉันทุกข์ทรมานกับการคิดถึงเขามากแค่ไหน?
.....ฉันเชื่อในพระเจ้าและเชื่อว่าพระองค์คอยเฝ้าดูแลฉัน ฉันจึงเฝ้าแต่ภาวนาให้พระองค์ช่วยให้ฉันได้พ้นไปจากการบีบบังคับของพ่อเสียที และโดยไม่คาดคิด พระเจ้าก็ได้ยินเสียงของฉัน เพราะในปีถัดมา ฉันได้โบยบินไปสู่ชีวิตอิสระในกรุงเทพมหานคร พ้นจากการปกครองของพ่อแม่ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเดิมๆที่เรียบง่ายไปสู่ความวุ่นวายยุ่งยาก แต่ละวันต้องเผชิญปัญหาจราจรติดขัด สูดดมอากาศที่มีแต่ฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ และผลาญเวลามากมายไปกับการเดินทางไปทำงาน แม้เม็ดเงินที่ได้มาจะเพิ่มปริมาณ แต่คุณภาพของชีวิตกับลดลง
ฉันได้กลับมาเยี่ยมบ้านเป็นครั้งคราวได้มานั่งมองสายน้ำและรำลึกถึงเขาอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไ ป สายน้ำกลับเปลี่ยนสีไปจากเดิม มันเขียวคล้ำและมีกลิ่นเหม็น แม่เล่าว่ามีโรงงานที่ตั้งอยู่ต้นแม่น้ำมักแอบปล่อยสารเคมีที่เป็นของเสียลงในแม่น้ำ ทำให้น้ำเน่าเสีย บางครั้งมีปลาตายลอยเป็นแพ ขณะนั้นแม้แต่การตักน้ำมารดต้นไม้ในสวนยังต้องระวัง
ชีวิตมนุษย์เงินเดือนช่วงนั้นดำเนินไปเหมือนพายเรือวนอยู่ในอ่าง กรุงเทพแม้ผู้คนมากมายแต่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า ที่แม้อาศัยอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงก็ยังไม่รู้จักกัน แต่มีสิ่งที่แสดงว่าเราไม่ใช่ศัตรูกันก็คือรอยยิ้ม แต่มันมีไม่สม่ำเสมอ หรือฉันไม่ยอมเติมเต็ม ....ก็คงใช่ ฉันมุ่งงานเป็นหลัก เพื่อลืมความรู้สึกว่างเปล่าในห้วงใจของตน จวนเกือบจะเลยขวบปีที่ 30 แล้ว ฉันยังไม่มีคนรักใหม่ ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ฉันสนใจหรือแม้แต่ปรายตามอง พ่อแม่เริ่มเป็นกังวล ในขณะที่ทุกคนในบ้านออกเรือนกันไปหมดแล้ว ฉันยังคงเดียวดายและกลับไปนั่งเหงาอยู่ที่ท่าน้ำหน้าบ้าน
ฉันเชื่อว่าพระเจ้าลิขิตชีวิตฉัน และถูกสอนให้ไว้วางใจในพระองค์และทุกสิ่งที่พระองค์จัดให้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉัน พระองค์คงต้องการให้ฉันเข้าใจชีวิตเสียก่อนที่จะยุ่งเกี่ยวกับชีวิต และบนเรียนบทแรกของรักที่ต้องจากพราก ก็เป็นสิ่งที่คอยกระตุ้นเตือนไม่ให้ฉันปล่อยใจให้กับใครอีกเลย ฉันจึงเฉยชาและไม่ทุกข์ร้อนใจกับการไม่มีคู่ครอง
และแล้วพระเจ้าก็ส่งฉันกลับมาบ้านเมื่อพ่อเสียชีวิต ฉันกลับมาจัดงานศพอยู่หลายวันและเกิดป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ จนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลและกลับมาพักฟื้นที่บ้านอีกหลายวัน รวมเป็นเวลาเกือบเดือนที่ฉันกลับมาคราวนั้น ฉันเห็นแม่อยู่คนเดียวและลำบาก จึงตัดสินใจลาออกจากงานที่กรุงเทพกลับมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่อีกครั้ง ฉันได้งานสอนในโรงเรียนคริสต์ที่เดิมสอนลูกๆหลานๆของเพื่อนๆที่เคยเรียนมาด้วยกัน
...และในเย็นวันหนึ่งขณะฉันกำลังเดินกลับบ้าน ฉันก็ได้พบเขาอีกครั้ง...
ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาจูงเด็กชายวัยเดียงสามาเดินเล่นในบริเวณวัดที่เป็นทางผ่านกลับบ้านของฉัน เหมือนเขาเจตนาให้ฉันเห็น
เขาเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ริ้วรอยแห่งความร้าวรานเต็มอยู่ในดวงตาทั้งสอง เขายิ้มแห้งแล้งทักทายฉัน
ฉันได้แต่ยืนจังงัง ไม่กล้าแม้แต่จะยิ้มตอบ
... เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? เด็กน้อยนั้นเป็นใคร?เขาแต่งงานแล้วหรือ? คำถามมากมายผุดพรายขึ้นในใจ ก้อนสะอื้นวิ่งขึ้นมาจุกที่คอก่อนที่จะพุ่งขึ้นมาเอ่ออยู่ที่ขอบตา หัวใจฉันกระเพื่อมไหวด้วยแรงแห่งความคิดถึงที่เก็บกักมันไว้แสนนาน
ฉันผินหน้าหนี เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่อาจเอ่ยวาจาใดๆออกมาได้
แล้วฉันก็ได้พบเขาอีกหนและอีกหน จนกล้าพอที่จะเผชิญหน้า ฉันตั้งหน้าตั้งตาถามคำถามมากมาย จนเขาเกือบไม่ได้มีโอกาสได้ตอบ
...เขาแต่งงานแล้วกับผู้หญิงคนหนึ่งแต่เธอได้ทิ้งเขาไปแล้ว และทิ้งลูกชายวัยขวบเศษคนนี้ให้เขาเลี้ยงดู เขาทำเรื่องย้ายกลับมาสอนที่โรงเรียนวัดพุทธ ซึ่งไม่ห่างจากบ้านของฉันมากนัก เขาหวังอยู่สิ่งเดียวว่าอยากกลับมาอยู่ในที่ๆมีสายน้ำไหลผ่านหน้าชั่ววันและคืน...
แม้เขาไม่เอ่ยถึงอดีต แต่แววตาของเขามันฟ้องว่าเขายังโหยหาร่องรอยเดิมๆเพื่อจะสืบสานต่อ
ฉันก็ไม่บอกเขาว่าฉันผ่านวันวานที่ไม่มีเขามาได้อย่างไร แต่ดูเหมือนว่าแววตาของฉัน ได้บอกความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลกับเขาไปแล้ว....
....เราพากันจูงเด็กน้อย เดินลัดเลาะไปตามริมคลอง เขาเอ่ยว่าน้ำในคลองวันนี้เปลี่ยนสีไปจากเดิมมาก มันดูหมองหม่นและไม่น่าว่ายเล่นเหมือนเมื่อก่อน ฉันตอบเขาด้วยรอยยิ้มเต็มแก้มว่า น้ำเปลี่ยนสีเพราะมันไม่ใช่สายน้ำเดิมอีกแล้วแต่จิตวิญญาณของมันยังเหมือนเดิม มั่นคงและซื่อสัตย์ และจะเป็นไปเช่นนี้ตราบนิรันดร์ ..
ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าด้วยความสุข....