มิถุนายน 2555

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
8
10
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
9 มิถุนายน 2555
สายน้ำเปลี่ยนสี
สายน้ำเปลี่ยนสี 







ฉันเกิดและเติบโตที่บ้านริมคลองในตำบลเล็กๆแห่งหนึ่ง    สายน้ำในคลองไหลเวียนขึ้นและลงไม่เคยหยุดหย่อน   และไม่เคยเหือดแห้ง    ฉันรู้ว่าเวลามันไหลลงมันจะไหลไปสบทบกับน้ำในแม่น้ำที่ปากคลองและรวมกันเป็นน้ำเดียวมุ่งไปสู่ทะเลที่ปากอ่าว  สลายกลายเป็นน้ำเค็ม  หมดสิ้นตัวตนของมัน   เมื่อน้ำทะเลหนุนขึ้นมามันผลักดันสายน้ำทั้งหมดให้ย้อนกลับมาสู่ทางเดิม ไหลผ่านถิ่นเดิมๆ แต่ไม่ใช่น้ำสายเดิม  มันป็นน้ำสายใหม่  ที่ย้อนกลับมาทางเดิมของสายน้ำเก่า และสุดท้ายก็ไหเวียนลงกลับไปสู่ทะเลใหม่อีกวนเวียนไปเช่นนี้ชั่วชีวิตของมัน

            บ้านของฉันอยู่ใกล้ๆปากคลอง  ฉันจึงรู้ว่าสายน้ำนี้มาจากไหน  แต่ฉันไม่รู้ว่ามันไปสิ้นสุดที่ไหน  รู้แต่พียงว่ามันไหลเข้าไปข้างในไกลหลายสิบกิโลเมตรกว่าจะถึงสุดปลายคลอง

ฉันคุ้นเคยและผูกพันกับสายน้ำหน้่บ้านตลอดช่วงหนึ่งของชีวิตได้อาบอิ่มความฉ่ำเย็นของมันทุกเช้าเย็น ได้ปลดปล่อยความหม่นหมองของวิญญาณยามดำผุดดำว่ายเล่นอย่างสุขสำราญ ได้อาศัยความสงบนิ่งล้ำลึกของมันดับความว้าวุ่นของจิตใจทุกครั้งที่นั่งมองมัน  และฉันยังได้พบที่ซบหัวใจของตัวเองที่ริมคลองสายนี้ด้วย

          ....ในช่วงที่วัยสาวเริ่มเบ่งบาน   ชีวิตของฉันที่ดำเนินอยู่อย่างเรียบง่ายในบ้านริมสายน้ำนี้ร่วมกับบุพการีและพี่น้องชายหญิงอีกเจ็ดชีวิต  มีแต่ความจำเจน่าเบื่อหน่าย  และสุมทับด้วยปัญหาความไม่เข้าใจกันในครอบครัว  หลายครั้งที่ฉันหลบไปให้ห่างจากเสียงทุ่มเถียงและความรุนแรงทางอารมณ์ทั้งมวล  ไปนั่งอยู่ที่ท่าน้ำมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆเงียบสงบด้วยความรู้สึกเดียวดายเหงาหงอย  บ่อยครั้งที่ฉันกระซิบบอกกับมันว่า  พาฉันไปทีเถอะ  พาไปที่ไกลๆที่ไหนก็ได้  ที่ซึ่งมีความสุข  มีความรัก  ที่ที่มีคนต้องการฉันและโอบกอดฉันไว้ให้หายหวาดหวั่น หายเหงาใจ แล้วก็เคยจินตนาการว่า   ฉันได้ล่องลอยลึกเข้าไปกับสายน้ำจนสุดปลายคลองและได้พบที่แห่งนั้นจริงๆ  แต่ยังมิทันได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ต้องการ  วิมานในฝันของฉันก็พังทลายด้วยเสียงดุดันที่เรียกให้กลับไปทำงานบ้านที่น่าเบื่อหน่าย

          หลังเรียนจบชั้นสูงสุดของโรงเรียนประจำจังหวัดฉันก็ก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยทำงานทันทีในอาชีพครูในโรงเรียนคริสต์ที่เคยเรียนสมัยอยู่ชั้นประถม   เป็นงานเดียวที่ฉันจำเป็นต้องทำเพื่อให้มีเงินมาเลี้ยงดูตัวเอง

         วันหนึ่งฉันได้พาลูกศิษย์ไปจัดแสดงผลงานด้านสิ่งประดิษฐ์ในงานวิชาการซึ่งจัดขึ้นที่ตัวจังหวัด  ฉันได้พบกับครูชายคนหนึ่ง  หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกันและพูดคุยกันราวกับคนที่คุ้นเคยสักพักหนึ่ง  ฉันก็รู้ตัวว่าได้ตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว     

มันช่างเป็นสิ่งวิเศษน่ามหัศจรรย์เสียเหลือเกินกับความรักแรกพบนั้น  มันนำความอิ่มเอมใจให้กับฉันอย่างมากมาย   และแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะเกิดและเติบโตริมน้ำสายเดียวกันกับฉัน      และจากวันนั้นเราก็ได้กลายมาเป็นคู่รักกัน 

         และในที่สุดฉันก็ได้รู้ว่าลำคลองหน้าบ้านไปสิ้นสุดลงที่ไหน  เมื่อเขาพาฉันไปเที่ยวที่บ้านของเขาในวันหนึ่งเพื่อรู้จักกับครอบครัวของเขา   บ้านของเขาอยู่เกือบสุดปลายคลอง   แต่น้ำในคลองหน้าบ้านเขาแห้งขอดจนเกือบจะกลายเป็นถนน  เพราะหลายปีมาแล้วที่บางส่วนของคลองก่อนที่จะมาถึงบ้านเขาเกิดตื้นเขิน  น้ำจากแม่น้ำจึงไหลผ่านเข้ามาไม่ได้อีกเลย 

       เขาเล่าว่าตอนเป็นเด็ก   เวลาน้ำขึ้นจะมีน้ำไหลเข้ามาจนเต็มฝั่ง และเวลาน้ำลงน้ำก็จะไหลไปจนเกือบหมดคลอง  เขาเคยสงสัยว่าน้ำนั้นมาจากไหนและไหลไปไหนหมด      เขาได้ยินผู้ใหญ่พูดกันว่าน้ำทุกสายไหลมาจากสวรรค์      บ่อยครั้งที่เขาว่ายน้ำไปไกลมากเพื่ออยากจะไปให้ถึงสวรรค์ต้นทางของน้ำตามที่ได้ยินมา   แต่เขาไปได้สักพักก็เห็นว่ามันไม่สิ้นสุดสักที   เขารู้สึกเหนื่อยจึงถอยกลับ   และตั้งความหวังไว้เสมอว่าสักวันเขาจะทำให้สำเร็จ  สักวันหนึ่งเขาจะไปให้ถึง  และในวันลอยกระทงทุกปีเขามักตั้งจิตอธิษฐานให้เขาสมหวังที่จะได้ไปถึงสวรรค์ที่ต้นน้ำสักครั้งและได้พบหญิงสาวสักคนที่นั่น   หญิงสาวที่จะเป็นคู่ครองของเขาไปจนชั่วชีวิต

    ฉันเล่าส่วนของฉันบ้าง      แล้วเราต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าอาจเป็นด้วยแรงอธิษฐานที่ทำให้เรามาพบกัน      และต่อมาเราได้ให้สัญญาต่อกันที่ริมแม่น้ำว่าความรักของเราจะเป็นเหมือนสายน้ำในแม่น้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้ง     

มันช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสมจริงๆ  เหมือนล่องลอยอยู่ในสวรรค์  จิตใจที่จดจ่ออยู่กับคนรัก  เบิกบานแช่มชื่น  จิตวิญญาณนั้นร้องเพลงขับกล่อมอารมณ์ให้สำราญอยู่ทุกยามปัญหามากมีในชีวิตกลายเป็นเรื่องไร้สาระ 

       แต่แล้วสวรรค์ก็ล่มลงตรงหน้าเมื่อพ่อของฉันรู้เรื่อง  พ่อได้ชื่อว่าเป็นคนเคร่งศาสนา  แต่เป็นคนดุและหวงลูกสาวที่สุด  พ่อไม่ชอบที่เขาเป็นคนต่างศาสนา  แม้เขามีหน้าที่การงานที่มีเกียรติ  มีอาชีพที่ได้รับการยกย่องว่ามีเกียรติสูงสุดของท้องถิ่นในเวลานั้น  พ่อก็ไม่ต้องการ  พ่อต้องการให้ฉันได้แต่งงานกับคนในศาสนาเดียวกัน    แม้ฉันจะแย้งว่าผู้ชายที่นับถือศาสนาเดียวกันนั้น  ไม่มีที่ถูกใจฉันสักคนนี่นา  พ่อก็ไม่สนใจและโกรธมากที่ฉันโต้แย้ง   สั่งห้ามเด็ดมิให้ฉันคบหากับเขาอีกต่อไปและไม่ว่าฉันจะไปไหนพ่อจะไม่ยอมให้ฉันพ้นสายตา  ซึ่งพี่ๆของฉันก็พลอยเป็นหูเป็นตาให้พ่อด้วย         

ฉันต้องทำตามสิ่งที่พ่อสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   เพราะพ่อเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้านคำสั่งของพ่อคือประกาศิต   ฉันได้แต่แอบร่ำไห้ด้วยความเวทนาตัวเองอยู่หลายเพลา.....

 .....แล้วฉันก็ได้ข่าวว่าคนรักของฉันได้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดอื่นแล้ว  จังหวัดนั้นอยู่ที่ต้นกำเนิดของแม่น้ำสายหลัก   หากเขาไปอยู่ที่นั่นจริงๆ เขาคงได้รู้แล้วว่าสวรรค์เป็นอย่างไร       ฉันอยากรู้จริงๆว่าเขายังคิดถึงเธออยู่หรือเปล่า?  เขาจะรู้ไหมว่าฉันทุกข์ทรมานกับการคิดถึงเขามากแค่ไหน?

.....ฉันเชื่อในพระเจ้าและเชื่อว่าพระองค์คอยเฝ้าดูแลฉัน   ฉันจึงเฝ้าแต่ภาวนาให้พระองค์ช่วยให้ฉันได้พ้นไปจากการบีบบังคับของพ่อเสียที   และโดยไม่คาดคิด พระเจ้าก็ได้ยินเสียงของฉัน   เพราะในปีถัดมา   ฉันได้โบยบินไปสู่ชีวิตอิสระในกรุงเทพมหานคร   พ้นจากการปกครองของพ่อแม่  เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเดิมๆที่เรียบง่ายไปสู่ความวุ่นวายยุ่งยาก  แต่ละวันต้องเผชิญปัญหาจราจรติดขัด สูดดมอากาศที่มีแต่ฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์  และผลาญเวลามากมายไปกับการเดินทางไปทำงาน แม้เม็ดเงินที่ได้มาจะเพิ่มปริมาณ แต่คุณภาพของชีวิตกับลดลง 

                     ฉันได้กลับมาเยี่ยมบ้านเป็นครั้งคราวได้มานั่งมองสายน้ำและรำลึกถึงเขาอยู่บ่อยๆ    แต่เมื่อเวลาผ่านไ ป   สายน้ำกลับเปลี่ยนสีไปจากเดิม  มันเขียวคล้ำและมีกลิ่นเหม็น   แม่เล่าว่ามีโรงงานที่ตั้งอยู่ต้นแม่น้ำมักแอบปล่อยสารเคมีที่เป็นของเสียลงในแม่น้ำ ทำให้น้ำเน่าเสีย  บางครั้งมีปลาตายลอยเป็นแพ  ขณะนั้นแม้แต่การตักน้ำมารดต้นไม้ในสวนยังต้องระวัง 

         ชีวิตมนุษย์เงินเดือนช่วงนั้นดำเนินไปเหมือนพายเรือวนอยู่ในอ่าง   กรุงเทพแม้ผู้คนมากมายแต่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า ที่แม้อาศัยอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงก็ยังไม่รู้จักกัน แต่มีสิ่งที่แสดงว่าเราไม่ใช่ศัตรูกันก็คือรอยยิ้ม    แต่มันมีไม่สม่ำเสมอ หรือฉันไม่ยอมเติมเต็ม ....ก็คงใช่   ฉันมุ่งงานเป็นหลัก   เพื่อลืมความรู้สึกว่างเปล่าในห้วงใจของตน   จวนเกือบจะเลยขวบปีที่ 30 แล้ว  ฉันยังไม่มีคนรักใหม่  ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ฉันสนใจหรือแม้แต่ปรายตามอง   พ่อแม่เริ่มเป็นกังวล   ในขณะที่ทุกคนในบ้านออกเรือนกันไปหมดแล้ว  ฉันยังคงเดียวดายและกลับไปนั่งเหงาอยู่ที่ท่าน้ำหน้าบ้าน

ฉันเชื่อว่าพระเจ้าลิขิตชีวิตฉัน  และถูกสอนให้ไว้วางใจในพระองค์และทุกสิ่งที่พระองค์จัดให้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉัน   พระองค์คงต้องการให้ฉันเข้าใจชีวิตเสียก่อนที่จะยุ่งเกี่ยวกับชีวิต       และบนเรียนบทแรกของรักที่ต้องจากพราก  ก็เป็นสิ่งที่คอยกระตุ้นเตือนไม่ให้ฉันปล่อยใจให้กับใครอีกเลย      ฉันจึงเฉยชาและไม่ทุกข์ร้อนใจกับการไม่มีคู่ครอง  

และแล้วพระเจ้าก็ส่งฉันกลับมาบ้านเมื่อพ่อเสียชีวิต  ฉันกลับมาจัดงานศพอยู่หลายวันและเกิดป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ จนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลและกลับมาพักฟื้นที่บ้านอีกหลายวัน    รวมเป็นเวลาเกือบเดือนที่ฉันกลับมาคราวนั้น  ฉันเห็นแม่อยู่คนเดียวและลำบาก   จึงตัดสินใจลาออกจากงานที่กรุงเทพกลับมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่อีกครั้ง   ฉันได้งานสอนในโรงเรียนคริสต์ที่เดิมสอนลูกๆหลานๆของเพื่อนๆที่เคยเรียนมาด้วยกัน


  ...และในเย็นวันหนึ่งขณะฉันกำลังเดินกลับบ้าน   ฉันก็ได้พบเขาอีกครั้ง... 

ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาจูงเด็กชายวัยเดียงสามาเดินเล่นในบริเวณวัดที่เป็นทางผ่านกลับบ้านของฉัน  เหมือนเขาเจตนาให้ฉันเห็น

                   เขาเปลี่ยนไปจากเดิมมาก  ริ้วรอยแห่งความร้าวรานเต็มอยู่ในดวงตาทั้งสอง    เขายิ้มแห้งแล้งทักทายฉัน

ฉันได้แต่ยืนจังงัง  ไม่กล้าแม้แต่จะยิ้มตอบ 

... เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? เด็กน้อยนั้นเป็นใคร?เขาแต่งงานแล้วหรือ?   คำถามมากมายผุดพรายขึ้นในใจ      ก้อนสะอื้นวิ่งขึ้นมาจุกที่คอก่อนที่จะพุ่งขึ้นมาเอ่ออยู่ที่ขอบตา  หัวใจฉันกระเพื่อมไหวด้วยแรงแห่งความคิดถึงที่เก็บกักมันไว้แสนนาน

           ฉันผินหน้าหนี   เดินจากไปอย่างรวดเร็ว   ไม่อาจเอ่ยวาจาใดๆออกมาได้

                     แล้วฉันก็ได้พบเขาอีกหนและอีกหน  จนกล้าพอที่จะเผชิญหน้า  ฉันตั้งหน้าตั้งตาถามคำถามมากมาย  จนเขาเกือบไม่ได้มีโอกาสได้ตอบ

        ...เขาแต่งงานแล้วกับผู้หญิงคนหนึ่งแต่เธอได้ทิ้งเขาไปแล้ว  และทิ้งลูกชายวัยขวบเศษคนนี้ให้เขาเลี้ยงดู เขาทำเรื่องย้ายกลับมาสอนที่โรงเรียนวัดพุทธ   ซึ่งไม่ห่างจากบ้านของฉันมากนัก   เขาหวังอยู่สิ่งเดียวว่าอยากกลับมาอยู่ในที่ๆมีสายน้ำไหลผ่านหน้าชั่ววันและคืน...

แม้เขาไม่เอ่ยถึงอดีต   แต่แววตาของเขามันฟ้องว่าเขายังโหยหาร่องรอยเดิมๆเพื่อจะสืบสานต่อ   

      ฉันก็ไม่บอกเขาว่าฉันผ่านวันวานที่ไม่มีเขามาได้อย่างไร   แต่ดูเหมือนว่าแววตาของฉัน ได้บอกความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลกับเขาไปแล้ว....         

           ....เราพากันจูงเด็กน้อย   เดินลัดเลาะไปตามริมคลอง เขาเอ่ยว่าน้ำในคลองวันนี้เปลี่ยนสีไปจากเดิมมาก   มันดูหมองหม่นและไม่น่าว่ายเล่นเหมือนเมื่อก่อน     ฉันตอบเขาด้วยรอยยิ้มเต็มแก้มว่า   น้ำเปลี่ยนสีเพราะมันไม่ใช่สายน้ำเดิมอีกแล้วแต่จิตวิญญาณของมันยังเหมือนเดิม มั่นคงและซื่อสัตย์ และจะเป็นไปเช่นนี้ตราบนิรันดร์ ..  

       เขายิ้มอย่างอ่อนโยน 

 ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าด้วยความสุข....




Create Date : 09 มิถุนายน 2555
Last Update : 23 มิถุนายน 2555 10:07:52 น.
Counter : 2388 Pageviews.

0 comments

peka
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



คนซื่อๆ มองโลกตามความจริง ใช้ชีวิตไปตามสภาพดินฟ้าอากาศ วันไหนฟ้าใส จิตใจสดชื่น อาจหัวเราะเริงร่า พูดคุยสนุก วันไหนฟ้ามืด จิตใจซึมเศร้า อาจนั่งเงียบเหงาเขียนบทกวี วันไหนโลกแล้งยุติธรรม จิตใจหดหู่ อาจกินๆนอนๆดูทีวีทั้งวัน