ยอมรับความจริงกันเถอะ
แหะๆๆ กลับมาแล้วจ้า หลังจากที่ทิ้ง Blog ไปหลายปี จขบ. เพิ่งได้อ่านบทความนี้ของพี่ตุลย์ ดังตฤณ รู้สึกชอบใจมาก อยากเผยแพร่ให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ หวังว่าเพื่อนๆ ทุกคนคงสบายดีกันนะคะ ยังคิดถึงอยู่เสมอค่ะ อ๊ะยิ้มหวานๆ
ยอมรับความจริงกันเถอะ ทุกวันชีวิตบอกอะไรกับเราผ่านเหตุการณ์ในแต่ละวัน แต่สิ่งที่เราเลือกฟังคือสิ่งที่เราอยากได้ยิน ไม่ใช่ความจริงที่ชีวิตพยายามบอก การไม่ยอมรับความจริงตามที่ชีวิตบอก นับเป็นอันตรายทางใจ เพราะยิ่งแก่ตัวลงเท่าไร เราก็ยิ่งเจอแต่เรื่องไม่น่ายอมรับ นับแต่กายใจไปจนถึงอะไรรอบตัวเลยทีเดียว คนที่ไม่เคยฝึกยอมรับอะไรๆไว้ ฝึกแต่สะสมการไม่ยอมรับไปมากๆ ในที่สุดจะถึงจุดๆหนึ่งในชีวิตที่เราต้องเสียใจไปอีกแบบ เสียใจที่ยอมรับความจริงอะไรไม่ได้สักอย่าง ฝึกยอมรับความจริงไว้แต่เนิ่นๆเถิด เพราะยิ่งเวลาผ่านไป คุณจะยิ่งต้องยอมรับความจริงที่ไม่น่ายอมรับมากขึ้นทุกที บางคนอาจฝึกยอมรับความจริงมาตลอด แต่พอเจอความจริงที่เจ็บปวดเข้า ใจก็เหมือนคนดิ้นพราดๆ อึดอัด ร้องไห้ สับสน และขาดสติ อันนั้นเป็นธรรมดา ถ้าฝึก "เผชิญหน้าความจริง" ในแบบฝืนข่ม ก็ไม่ค่อยเวิร์กหรอกครับ ต้องฝึกแบบ "รู้ตามจริงเป็นขั้นๆ" นั่นแหละถึงจะสำเร็จได้จริง ตามหลักการเจริญสติของพระพุทธเจ้า ท่านให้ยอมรับสิ่งที่ยอมรับได้ง่ายที่สุดก่อนครับ และในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรยอมรับง่ายเท่าลมหายใจเข้าออกอีกแล้ว หายใจออกรู้ หายใจเข้ารู้ เมื่อรู้ได้เรื่อยๆ ก็แปลว่าเก่งในการยอมรับความจริงอันเป็นปัจจุบันขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน จากนั้นขยายขอบเขตไปยอมรับความจริงว่ากำลังอึดอัดหรือสบาย มันเป็นเรื่องง่ายถ้าเราเห็นถึงภาวะทางกาย ที่มีลมหายใจเลี้ยงอยู่ ว่าสบายหรืออึดอัดในปัจจุบัน ไม่ต้องมีกลไกปกป้องตัวเอง ไม่ต้องแกล้งยอมรับหรือปฏิเสธอย่างภาวะทางใจที่ซับซ้อนกว่านั้น จากนั้นขยายขอบเขตไปยอมรับความจริงว่าจิตกำลังสงบหรือฟุ้งซ่าน อันนี้จะเริ่มยากขึ้นนิดหนึ่ง เพราะคนเรามักปฏิเสธความฟุ้งซ่าน ไม่อยากฟุ้งซ่าน แต่อยากควบคุมความคิดตัวเองให้ได้ สำหรับคนที่ฝึกยอมรับความทุกข์ทางกายมาก่อน ก็จะได้เปรียบ สามารถยอมรับความทุกข์ทางใจ อันเกิดแต่ความฟุ้งซ่านได้ไม่ยากนัก พอเริ่มยอมรับความจริงอันเป็นภายในได้ ความจริงภายนอกที่มากระทบให้ว้าวุ่นก็จะเริ่มถูกลดค่าลง เมื่อเราให้ความสำคัญกับภายนอกน้อยลง ก็จะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นภายนอกได้ราวกับพลิกฝ่ามือ ถ้าระหว่างฝึกยอมรับความจริง ใจเกิดความหดหู่ไปด้วย ก็ต้องแปรอาการหดหู่เป็นความพยายามทำอะไรให้ดีขึ้นครับ วิธีคือจับความรู้สึกหดหู่ให้ถูกตัว มันซึม มันจ๋อย มันหด มันตัวเล็กลง มันอยากร้องไห้ พอจับความรู้สึกชนิดนั้นได้ก็จะเห็นว่า ทั้งกายทั้งใจมันอยากนอนคุดคู้อยู่เฉยๆ รู้สึกไม่ดี รู้สึกไม่ปกติ เหมือนไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น จากนั้นก็ให้เห็นเหมือนเหรียญด้านกลับ แท้จริงแล้วความรู้สึกชนิดนั้น รอการพลิกกลับมาเป็น "ความกระตือรือร้นในการเริ่มทำสิ่งที่น่ายอมรับกว่า" เพื่อจะรู้จริงว่าความหดหู่ก็เป็นพลังความกระตือรือร้นได้ เราต้อง "รู้สึกถึงทั้งหมดของความหดหู่" ให้ได้เท่านั้นเอง แล้วจะรู้ว่าความกระตือรือร้นมันแค่คว่ำอยู่ เราจะเห็นตัวมันได้ก็ต้องหงายมันขึ้นมา ฟังยาก แต่จะเข้าใจง่ายถ้าลองสังเกตจริงจังหลายๆหนนะครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้ระลึกด้วยว่าการยอมรับความจริง แตกต่างจากการนิ่งดูดาย เราจะได้เจอความจริงที่ดีที่สุดหลังจากทำดีที่สุด พยายามดีที่สุดได้แค่ไหนค่อยยอมรับแค่นั้น อย่าเพิ่งด่วนยอมรับสภาพทั้งที่ยังไม่พยายามทำอะไรให้ดีขึ้นนะครับ ดังตฤณ สิงหาคม ๕๔ ธรรมะใกล้ตัว ฉบับวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔ จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๑๒๘
Create Date : 27 มกราคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 27 มกราคม 2555 16:47:32 น. |
Counter : 975 Pageviews. |
|
|
|