|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
คนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง
หลายๆคนที่เคยพูดภาษาอังกฤษกับคนญี่ปุ่นหรือฟังคนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ภาษาอังกฤษของคนญี่ปุ่นเข้าใจยาก ภาษาอังกฤษของคนญี่ปุ่นแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ ในการศึกษาภาคบังคับ เด็กญี่ปุ่นจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอน ม.1 แล้วก็เหมือนบ้านเรา จะเรียนไปเรื่อยๆจนถึงระดับปริญญาตรี เดี๋ยวนี้หลายๆโรงเรียนก็เริ่มมีสอนตั้งแต่ประถมแล้ว บางแห่งก็เริ่มหัดเขียนตัวอักษรกันตั้งแต่อนุบาล เรื่องนี้ก็คงคล้ายๆกับบ้านเรา สังคมปัจจุบันบังคับให้ต้องเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ตัวเล็กๆ ทุกคนรู้ว่าเมื่อโตขึ้นภาษาอังกฤษจำเป็นหรืออาจจะจําเป็น เป็นภาษาสากลที่น่าจะรู้เอาไว้ ถ้าดูระยะเวลาในการเรียนภาษาอังกฤษ เด็กญี่ปุ่นกับเด็กไทยจะเรียนภาษาอังกฤษพอๆกัน แต่ทำไมคนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง อย่า...อย่าเพิ่งไปว่าเขา คนญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษพอได้ก็จะคิดแบบพวกเราคือ คนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ภาษาอังกฤษของคนไทยเข้าใจยาก ไทยหรือญี่ปุ่น คนชาติไหนพูดภาษาอังกฤษเก่งกว่ากันคงยากที่จะตัดสินเพราะทั้งสองประเทศมีคนเก่งและไม่เก่งปะปนกันอยู่ แต่ถ้าคิดโดยเฉลี่ยแล้วคนไทยน่าจะคุยกับฝรั่งรู้เรื่องมากกว่า
เช่น
McDonalds → ma+ku+do+na+ru+do(มัก - ขุ - โด - นา - รุ - โดะ) seven-eleven → se+bun+i+re+bun(เซะ+บุน+อี+เระ+บุน) ใครที่ไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นฟังรู้เรื่องให้รู้ไป
เหตุผลที่พอจะฟังได้ว่าทําไมคนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยรู้เรื่อง
1. เสียงสระในภาษาญี่ปุ่นมีน้อย ทำให้ออกเสียงภาษาอังกฤษ เช่น เสียง เออ(computer) แอ(taxi) ออ(copy) อะไรพวกนี้ ไม่ได้ ดังนั้นก็เลยต้องหาเสียงที่ใกล้เคียงใช้แทน(ซึ่งความจริงแล้วบางคําก็ไม่ได้ใกล้เคียงเอาซะเลย)
เสียง เออ → เสียง อา เสียง แอ → เสียง อา เสียง ออ → เสียง โอ เช่น
computer → คม พิ่ว ต้า work → ว่า-ขุ taxi → ทะ - คุ - ฉี่ copy → โคะ - ปี่
2. ตัวสะกดในภาษาญี่ปุ่นมีน้อย พยัญชนะที่ทําหน้าที่เป็นตัวสะกดมีอยู่แค่ตัวเดียวคือ ん ซึ่งออกเป็นเสียงได้ทั้ง มอม้า นอหนู แล้วก็งองู จะเป็นเสียงไหนแล้วแต่เสียงพยางค์ที่ตามมา (แต่คนญี่ปุ่นไม่มีการแบ่งแยกเสียงเหล่านี้) ดังนั้นเสียงตัวสะกดอื่นๆซึ่งไม่มีในภาษาญี่ปุ่น ก็ต้องพยายามหาเสียงที่ใกล้เคียงมาแสดง อย่างเช่น คําว่า hot ซึ่งเกิดจาก เสียง ho + ตัวสะกด t ภาษาญี่ปุ่นที่แสดงเสียง t ได้ก็คือแถว ta
แถว ta ta chi tsu te to
แต่เนื่องจากตัวสะกดที่ออกเสียง t ตรงๆในภาษาญี่ปุ่นไม่มี มีแต่คําที่เกิดจากการผสมระหว่างตัว t กับเสียงสระ 5 เสียง ดังนั้น จากคําว่า hot จึงกลายเป็น
ho+t → ho+to → hot+to
ก็ไม่ทราบเหมือนกับว่าทําไมไม่เป็น hot+ta หรือ hot+te อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่คิดการแสดงเสียงจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาญี่ปุ่นคนแรก คงคิดว่าเป็นเสียงที่คนญี่ปุ่นน่าจะออกง่ายและใกล้เคียงภาษาอังกฤษมากที่สุด
ตัวสะกด k → ใช้ ku ตัวสะกด b → ใช้ bu ตัวสะกด p → ใช้ pu ตัวสะกด l → ใช้ ru ตัวสะกด d → ใช้ do ตัวสะกด t → ใช้ to
3. ความแตกต่างระหว่างไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษต่างกับภาษาญี่ปุ่นมาก ทําให้การพูดติดขัดเพราะต้องเรียงลําดับของคํากลับกันเกือบทั้งหมด
4. ติดกับเสียงอ่านคาตาคานะมากเกินไป อย่างที่ทุกคนทราบคําที่มาจากภาษาต่างประเทศคนญี่ปุ่นจะแสดงด้วยตัวอักษรที่เรียกว่าคาตาคานะ ดังนั้นเวลาพูดภาษาต่างประเทศ คนญี่ปุ่นจะพูดคําเหล่านั้นด้วยสำเนียงแบบคาตาคานะ โดยไม่เอะใจว่าที่พูดไปนั้นสําเนียงมันห่างไกลกับความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด เช่นคําว่า แกง ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษว่า curry ภาษาญี่ปุ่นจะออกเสียงว่า คา-เร (เนื่องจากออกเสียง เออไม่ได้)
บทสนทนาระหว่างคนญี่ปุ่นที่อยากกินแกงเขียวหวานกับป้าขายข้าวแกง
คุณป้า: จะเอาอะไรค่ะ คนญี่ปุ่น: คาเร คุณป้า: อะไรนะ คนญี่ปุ่น: คาเร คาเร คุณป้า: อะไรนะ คนญี่ปุ่น: คาเร คาเร คาาาาเเเเเเเเเร (คาเร มันก็ภาษาอังกฤษไม่ใช่เหรอทําไมไม่เข้าใจว่ะ) คุณป้า: อะไรนะ พูดอีกทีซิ จะเอาอะไร (มันพูดอะไรของมันว่ะ)
กว่าจะได้กินแกงเขียวหวานก็เหนื่อยด้วยกันทั้งคู่
ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นผู้กําหนดการเขียนคาตาคานะ เพราะว่า บางคํา เสียงที่ใกล้เคียงกว่าก็มีแต่ไม่ใช้กัน
5. หลักสูตรในการเรียนภาษาอังกฤษจะเน้นการอ่านเนื้อเรื่องแล้วแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า 和訳(wayaku) ไม่ค่อยเน้นการสนทนา การเรียนลักษณะนี้เป็นวิธีการที่ทำต่อเนื่องมานานตั้งแต่สมัยที่ญี่ปุ่นส่งคนไปเรียนต่างประเทศ แล้วนําตำราภาษาอังกฤษกลับมาแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นให้คนในประเทศอ่าน แต่หลักสูตรตอนนี้ได้เปลี่ยนไปมากแล้ว ในห้องเรียนจะเน้นการพูดการฟังมากขึ้น บางโรงเรียนก็จ้างฝรั่งมาเป็นอาจารย์พิเศษ
6. หนังสือดีๆ ตําราดีๆ ในญี่ปุ่นมีมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการหรือหนังสืออ่านเล่น นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ไม่มีความจําเป็นต้องหา text ภาษาอังกฤษมาอ่าน เพราะตําราเรียนดีๆที่มีอาจารย์เก่งๆเขียนเอาไว้มีให้เลือกมากมาย ดังนั้นเหตุการณ์ที่บังคับเด็กญี่ปุ่นให้ต้องพยายามอ่านภาษาอังกฤษจึงน้อยกว่าบ้านเรามาก ซึ่งเรื่องนี้ถ้ามองอีกแง่ เป็นเรื่องที่บอกถึงความก้าวหน้าทางวิชาการว่า เรายังสู้ญี่ปุ่นไม่ได้ อาจารย์เก่งๆที่เขียนหนังสือดีๆของเรายังมีน้อย นอกจากนั้น ถ้าเป็นหนังสือภาษาอังกฤษดีๆ ดังๆ ส่วนมากจะแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นก่อนวางจําหน่าย คนซื้อส่วนมากก็จะรอให้มีเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นก่อนถึงแม้จะรู้ว่าต้นฉบับภาษาอังกฤษก็มีขาย
แต่อย่าไปเหมาว่าคนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งไปซะทุกคน คนที่เก่ง สําเนียงดีก็ยังมีอีกมาก
ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาประจําชาติของคนญี่ปุ่น แล้วก็ไม่ใช่ของเราด้วย พูดไม่ชัดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ยังงัยๆ ภาษาอังกฤษสําเนียงไทย ก็น่าจะฟังรู้เรื่องกว่าภาษาอังกฤษสําเนียงญี่ปุ่น หรือใครว่างัย
เรื่องเล่าหนุกๆ
นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นพอเข้ามารับตำแหน่งใหม่ ก็มีประเพณีว่า จะต้องไปอเมริกา ไปสวัสดี แนะนําตัวเองกับประธานาธิบดีอเมริกา แล้วก็กล่าวปราศรัยอะไรเล็กๆ น้อยๆ เป็นภาษาอังกฤษ เรื่องมีอยู่ว่า มีนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนหนึ่ง พอได้เป็นนายกคนใหม่ของประเทศญี่ปุ่น เขาก็เหมือนกับทุกคน เดินทางไปอเมริกาแล้วก็ กล่าวปราศรัยด้วยภาษาอังกฤษ ช่วงที่เขากำลังปราศรัยอยู่นั้น
นักข่าวอเมริกา A: ภาษาญี่ปุ่นฟังดูคล้ายภาษาอังกฤษจัง นักข่าวอเมริกา B: อืม ใกล้เคียงมาก (ทั้งสองคนหารู้ไม่ว่านายกญี่ปุ่นกําลังพูดภาษาอังกฤษอยู่)
อีกเรื่อง
มีการประชุมที่โอกินาว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้
นายกญี่ปุ่น: How are you? ประธานาธิบดีอเมริกา: Fine,thank you, and you? นายกญี่ปุ่น: Me, too.
วันต่อมา นายกญี่ปุ่นเดินเข้าไปทักทายประธานาธิบดีอเมริกาตามสคริปเดิม แต่ดันพูดผิด
นายกญี่ปุ่น: Who are you?
ประธานาธิบดีอเมริกาคิดว่าเป็นมุขตลกของนายกญี่ปุ่นก็เลยตอบไปว่า
ประธานาธิบดีอเมริกา: I am Hilarys husband. นายกญี่ปุ่น: Me,too. ประธานาธิบดีอเมริกา: ???
สองเรื่องนี้จริงเท็จเพียงใดไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องเป็นราวเป็นข่าวฮือฮาพาหัวเราะอยู่ช่วงหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น
จาก //www.hokutoda.com/people/english.html
Create Date : 03 กรกฎาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 3 กรกฎาคม 2552 18:30:51 น. |
Counter : 1519 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|