บั้งไฟลาวกับสาวๆตากลม
<<
ตุลาคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
25 ตุลาคม 2549
 
 
***///***เคล็ดไม่ลับเล็กๆน้อยๆ4าคที่เท่าไหร่หว่า...***////*****

หลังจากสะสางงานที่คั่งค้างมาหลวยวัน...
เล่นเอาผอมไปเลยนะเนี่ยเรา
แวะเวียนเข้ามาบ่อยแต่ไม่ค่อยมีเวลา
อาศัยวันนี้ว่างๆตอนขึ้นเวรนี่แหละ...ต่อเลย

เคล็ดลับแบบง่ายๆจากคู่มือของอีซูซุ ที่ทุกคนสามารถปฎิบัติได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะช่วยให้ลดภาระรายจ่ายในแต่ละเดือนและปลอดภัยจากอุบัติเหตุ อีกทั้งยังมีส่วนได้ช่วยเศรษฐกิจชาติให้ดีขึ้นในการลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างชาติ






1 วิ่งไปอุ่นไป...เงินเหลือเก็บน้ำมันเหลือใช้ หลังจากสตาร์ทรถแล้ว ควรออกรถด้วยการขับความเร็วต่ำไปสักรอบ 1 -2 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นการอุ่นเครื่องไปในตัวไม่สิ้นเปลืองน้ำมันและยังประหยัดเงินในกระเป๋าด้วย


2 บรื้น-เอี๊ยด...ทั้งซด ทั้งแพง ใช่ว่าจะเท่ห์เพราะทุกครั้งที่ท่านขับรถแบบกระชาก หรือเบรกแรงนั้นสิ้นเปลืองทันตาเห็น ทั้งเครื่องยนต์จะพังแถมยังอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าเดิมถึง 30%


3 ขับฉลาด...ประหยัดแบบนิ่มๆ ขับโดยรักษาระดับความเร็วให้สม่ำเสมอ หรือขับรถโดยใช้รอบเครื่องยนต์ในระดับที่ให้แรงบิดสูงสุด จะเป็นระดับที่ให้ความประหยัดน้ำมันสูงสุด พร้อมทั้งยังปลอดภัยทั้งคนขับและคนนั่ง





4 รางวัลแด่คนชอบ...เบิ้ล ยิ่งเบิ้ล-ยิ่งซด ท่านควรจะ ลด-ละ-เลิก พฤติกรรมแบบนี้เสียเถอะไม่ว่าจะเบิ้ลทุกครั้งระหว่างเปลี่ยนเกียร์หรือระหว่างเกียร์ว่าง เพราะมันจะซดน้ำมันมหาศาลเชียว แถมเครื่องยนต์ก็จะพังก่อนวัยอันควรอีกด้วย


5 ยิ่งเลี้ยง...ยิ่งซด ทุกครั้งที่เลี้ยงคลัตช์ เครื่องยนต์จะยิ่งซดน้ำมัน แถมสึกหรอเร็วขึ้น ดังนั้นทุกครั้งที่ชะลอรถควรใช้วิธีชะลอความเร็วก่อนจึงค่อยเหยียบคลัตช์เมื่อรถใกล้หยุด จะช่วยยืดอายุคลัตช์ให้ยาวนานขึ้น


6 เร็วเกียร์สูง...ช้าเกียร์ต่ำ ไม่ควรลากเกียร์ต่ำนานๆ เพราะจะทำให้เครื่องยนต์และเกียร์ทำงานหนักกินน้ำมันมาก ควรเข้าเกียร์ให้สัมพันธ์กับความเร็ว คือ เกียร์ 1 และ 2 เหมาะกับความเร็วต่ำ ส่วนเกียร์ 3 , 4 และเกียร์ 5 เหมาะกับความเร็วสูง แล้วอย่าลืมออกรถทุกครั้งควรใช้เกียร์ 1





7 บรรทุกเกินตัว...ทั้งซด ทั้งพัง การจัดวางสัมภาระให้สมดุลลงด้านกึ่งกลางของตัวรถไม่ควรทิ้งน้ำหนักลงด้านหลังมากเกินไปจนหน้าเชิดเพราะจะทำให้การควบคุมรถเป็นไปได้ลำบาก ทางที่ดีไม่ควรทารุณรถโดยการบรรทุกเกินพิกัด เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ เกียร์ และช่วงล่าง ต้องรับภาระหนักขึ้นตามน้ำหนักที่บรรทุกเพิ่มขึ้นมา ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันและสึกหรอสูงอีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อการควบคุมการขับขี่และเพื่อนร่วมท้องถนน


8 ยิ่งหนาว...ยิ่งแพง หลายท่านเปิดแอร์ซะจนหนาวเหมือนอยู่บนยอดเขา ทางที่ดีควรปรับระดับความเย็นของเครื่องปรับอากาศแต่พอเหมาะสัมพันธ์กับแรงลม จะช่วยประหยัดค่าน้ำมันแน่นอนและยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศให้รับใช้ท่านไปนานๆ





9 จอดติดเครื่อง...ทำลายสิ่งแวดล้อม ทุกครั้งที่จะจอดรถลงไปทำธุระหรือซื้อของนานๆ ไม่ควรติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ เพราะนอกจากจะเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันและปล่อยอากาศเป็นพิษทำลายสภาพแวดล้อมแล้วยังผิดกฎหมายอาจโดนจับปรับอีกด้วย ยิ่งเป็นในย่านชุมชนท่านอาจจะถูกผู้อื่นรังเกียจกับพฤติกรรมแบบนี้

10 แต่งรถสวย...แต่ไปช้า หลายท่านอาจจะพิศมัยกับการตกแต่งรถของท่านด้วยสารพัดอุปกรณ์จนบางครั้งก็เกินความจำเป็น เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ต้องรับภาระที่เพิ่มขึ้นตามน้ำหนักของอุปกรณ์ อีกทั้งอุปกรณ์บางประเภทยังทำให้เกิดการต้านลมขณะวิ่งกินน้ำมันเพิ่มอีกเท่าตัว

นอกจาก 10 วิธีดังกล่าวแล้วก่อนออกเดินทางทุกครั้งควรวางแผนเส้นทางลัด หนีการจราจรที่ติดขัด ช่วยประหยัดเวลา ประหยัดน้ำมันและปลอดภัยอีกทั้งถึงที่หมายแบบสบายๆแน่นอน









จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 24 ต.ค. 49 23:56:34 ]






ความคิดเห็นที่ 2

***จอดรถตากน้ำค้าง... อันตราย.. ระวังสีด้าน***

ตอนนี้ เข้าหน้าหนาว ที่ต้องจอดรถตากน้ำค้าง ไม่มีร่ม ละก็ ระวังหน่อยนะครับ เพราะความชื้นมาก ๆ จะทำให้สีรถอาจจะด้านหรือซีดได้ก่อนกำหนด

สิ่งที่ทำได้ ..

1. หาที่กำบังให้กับรถสักหน่อย อย่าจอดใต้ต้นไม้นะครับ เพราะว่าน้ำที่ค้างบนใบไม้ จะตกมาเยอะ

2. เคลือบสีเพิ่มเติม ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ความชื้นทำลายแผ่นแลคเกอร์ของรถ

3. พยายามล้างรถบ้าง .. อย่าให้มีคราบน้ำค้าง ซึ่งมีมลภาวะปลอมปนอยู่ แล้วพอมันแห้ง มันก็หมักหมมอยู่บนรถ.. แล้วมันจะกัดกินสีรถได้เร็วขึ้น


***ยางมะม่วง กับ สีรถ... อันตราย ***

สำหรับยางมะม่วงนั้น ... คนที่รักความเงางามของรถ. จะถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจเลยละครับ .. เนื่องจากว่ายางมะม่วงนั้น เมื่ออยู่บนผิวสีรถแล้ว จะเป็นตัวที่ทำลายสีรถได้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ถูกขจัดออกไปอย่างเร่งด่วน



ดังนั้น .. ถ้าเห็นต้นมะม่วงที่ไหนละก็ อย่าได้เข้าใกล้ หรือจอดรถใต้ต้นมะม่วงเด็ดขาด เลยนะครับ เพราะว่าสีรถอาจจะเสียหายได้


แต่ถ้าโดนแล้วละ ทำไงดี วิธีสังเกตว่าโดนยางมะม่วงหรือไม่ ก็คือ ยางมะม่วงจะเป็นน้ำใส ๆ เหนียว ถ้าสังเกตเห็นบนสีรถหรือกระจกละก็ .. อย่ารอช้านะครับ.. เข้าศูนย์บริการล้างรถ หรือล้างเองโดยด่วนเลยครับ อย่าคิดว่าไม่เป็นไร .. อีก 2 วันค่อยล้างก็ได้ .. อันนี้ จะทำให้สีรถคุณได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก


[คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง]








จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 25 ต.ค. 49 00:02:10 ]






ความคิดเห็นที่ 3

***แมลงที่ติดหน้ารถ..เอาออกยากจัง แล้วทำไงให้ล้างออกง่าย ? ***


1. ล้างออกด้วยน้ำเปล่า โดยเร็วเมื่อถึงที่หมาย จะเข้าล้างรถที่คาร์แคร์ หรือล้างเองที่จุดหมายก็ได้ แต่ขอย้ำนะครับ ว่าโดยเร็ว ถ้าล้างเองก็หาสายยางฉีดน้ำไล่ฝุ่นหรือกรวดก่อน แล้วใช้ผ้าชามัวร์ ค่อยๆ ลูบส่วนที่มีแมลงออกให้หมด


2. อย่าปล่อยให้ซากแมลงติดอยู่บนสีรถนานเกินไป เพราะถ้านานเกินไป จะทำให้แมลงติดแน่นอยู่บนสีรถ
ซึ่งจะเอาออกยากมาก .. จนบางรายต้องทำสีที่กันชนใหม่ เพราะล้างซากแมลงไม่ออก


***ท่านสามารถปกป้องรถจากการเกาะแน่นของแมลงมาให้ลองทำดูทำได้ด้วยตนเองง่าย ๆ ดังนี้ครับ ...

ก่อนออกต่างจังหวัดยาว ๆ ให้เอาน้ำยาเคลือบสีที่มีอยู่ เคลือบเฉพาะบางส่วน ได้แก่ หน้าปะทะแมลงทั้งหลาย
คือ กันชนหน้า ฝากระโปรงหน้า ไฟหน้า
(ต้องระวังว่าน้ำยาเคลือบสีตัวนั้นเคลือบไฟที่เป็นพลาสติกได้หรือไม่นะครับ) กระจกมองข้าง กระจกหน้ารถ (ถ้าน้ำยาเคลือบสีที่มีอยู่ ไม่สามารถเคลือบกระจกรถได้ ให้ใช้น้ำยาเคลือบกระจกแทน)

บางท่านมีเวลา เคลือบสีไปทั้งคันก็ได้ครับ ... กันยางมะตอยติดแน่นด้วย เพื่อให้ผิวสีได้รรับการปกป้องจากการกัดของซากแมลง และอีกประการหนึ่ง เคลือบเพื่อให้ ผิวสีมีความลื่น เมื่อแมลงเกาะจะได้ไม่ติดแน่นมากเกินไป และทำให้ล้างเอาซากแมลงออกไม่ยาก


[คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง]








จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 25 ต.ค. 49 00:10:00 ]






ความคิดเห็นที่ 4

***วิธีการบำรุงรักษาสีรถอย่างถูกวิธี***

ล้างเองก็ได้ประหยัดและได้ออกกำลังกายด้วย
**การล้างรถที่ถูกวิธี

1.ฉีดน้ำให้แรงที่สุด เพื่อให้คราบฝุ่น ขี้ดิน หลุดออกจากตัวรถให้มากที่สุด
2.ควรล้างด้วยน้ำสะอาดหรือล้างด้วยแชมพู
3.ควรล้างรถจากส่วนบน ลงล่าง โดยการใช้ผ้านุ่ม เช่นผ้าสำลี ซึ่งควรคะนำมาแช่น้ำไว้สัก 3 คืน และถ้าใส่ น้ำยาปรับผ้านุ่มได้ยิ่งดีครับ และการล้างรถนั้น ขอแนะนำให้แบ่งผ้าออกเป็น 2 ผืน

**** คำแนะนำ.. (อย่าใช้ฟองน้ำล้างรถ เพราะอาจจะมีเม็ดกรวดทรายฝังตัวอยู่ในรูฟองน้ำ)

ผืนแรกใช้สำหรับล้างส่วนบน หลังคา ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง กระจกรถทั้งหมด
ผืนที่สอง ใช้สำหรับล้างส่วนด้านล่างของตัวรถ ตั้งแต่ขอบกระจกด้านล่างลงมา ทั้งหมด
เหตุผลที่ต้องแยกเนื่องจาก โดยทั่วไปส่วนบนของรถจะมีฝุ่นน้อย ในขณะที่ด้านส่วนล่างของรถมีฝุ่นมาก

4.ฉีดน้ำไล่แชมพูออกให้หมด

5.อย่าล้างรถกลางแดด เพราะแดด จะทำให้น้ำบนรถแห้งเร็ว และเกิดคราบน้ำขึ้น


*****การล้างรถโดยใช้ถังใส่น้ำล้าง***

1.การล้างรถแบบนี้ ควรจะเปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ มิฉะนั้น สิ่งสกปรกที่ผสมอยู่ในน้ำ อาจทำให้เกิดริ้วรอยขีดข่วนบนรถได้ (วิธีการนี้ ไม่แนะนำให้ทำ …. แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องหมั่นซักผ้าและเปลี่ยนน้ำ)

***ข้อควรระวังในการล้างรถ

1.ไม่ควรล้างรถตอนเย็น ด้วยตนเอง เพราะหากล้างแล้วจอดทิ้งไว้อาจทำให้เกิดสนิม ในบางจุดที่เราเช็ดไม่แห้ง หรือไม่สามารถเช็ดแห้งได้ ยกเว้นแต่จะมีเครื่องเป่าน้ำให้แห้งหรือจะขับรถต่อไปเป็นระยะทางไกล ลมจะช่วยให้ทุกซอยทุกมุม แห้งสนิท

2.ไม่ควรล้างรถกลางแดด เนื่องจากแสงแดด จะทำให้น้ำแห้งเร็ว และทำให้เกิดคราบน้ำบนสีรถขึ้น









จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 25 ต.ค. 49 00:16:14 ]






ความคิดเห็นที่ 5

***การเช็ดรถที่ถูกวิธี

1.ควรใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้าชามัวร์ ในการเช็ดรถ เนื่องจากผ้าเหล่านี้ จะไม่ทำให้รถเป็นรอย แต่ถ้าผ้าชามัวร์แท้ ควรจะระวัง เวลาที่ผ้าชามัวร์แห้งสนิท จะแข็งตัว และเมื่อจะทำมาเช็ดรถ ก็ควรจะนำผ้าชามัวร์นั้น จุ่มน้ำให้เปียกจริง ๆ ทั้งผืน ก่อนเช็ดรถ เพราะถ้าไม่เปียกทั้งผืน แสดงว่ายังมีส่วนที่ยังไม่โดนน้ำที่ยังแข็งอยุ่ ซึ่งอาจทำให้สีรถเป็นรอยได้ง่าย

2.การเช็ดรถนั้น ควรเช็ดตั้งแต่แผงบนก่อน เพื่อให้น้ำหยดลงด้านล่างให้หมดก่อน ไล่ลงมาด้านล่างของรถ จะได้ไม่ต้องทำงานสองต่อไงครับ

3.ส่วนของรถดังต่อไปนี้ไม่ควรหลีกเลี่ยง ควรเช็ดให้แห้งที่สุด
3.1 ด้านในขอบประตูทั้งหมด
3.2 ด้านในกระโปรงหลัง
3.3 ด้านในฝาถังน้ำมัน
3.4 กระจกหน้ารถ เพื่อให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ ชัดเจน ไม่มีอะไรมาบดบัง หรือระคายเคืองสายตา
3.5 ล้อแม็กซ์ ควรจะเช็ด ด้วย เพราะถ้าไม่เช็ดจะเป็นคราบน้ำน่าเกลียด และถ้าปล่อยไว้นาน ๆ คราบน้ำเหล่านั้น จะเช็ดออกยาก จนถึงเช็ดไม่ออก

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 25 ต.ค. 49 00:17:49 ]






ความคิดเห็นที่ 6

***การดูแลรักษาสีรถยนต์ โดยวิธีการเคลือบสีรถด้วยตนเอง

1. ล้างรถให้สะอาด ตามวิธีการข้างต้น

2. เช็ดรถให้น้ำหมาด ๆ

3. เทน้ำยาเคลือบสี ลงบนผ้านุ่ม ขอเน้นว่าผ้านุ่มนะครับ ที่มีน้ำหมาด ๆ

4. เช็ดบนตัวรถ โดยวนเป็นก้นหอย ให้ทั่วบริเวณตัวรถ

5. ทิ้งน้ำยาไว้ตามระยะเวลาที่รถบุไว้ข้างกระป๋อง

6. ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้านุ่ม เช็ดน้ำยาออกให้หมดทั่วตัวรถ




***การขัด และเคลือบสี***

คือการที่เรานำสิ่งสกปรกฝังแน่นที่อยู่บนหน้าแลคเกอร์ของสีรถออกไป คือทำให้รถมันมีประกายดัวยตัวของแลคเกอร์รถที่แท้จริง เมื่อรถไม่มีคราบแล้ว เราก็ปกป้องความใส สวยของผิวสีรถนั้น ด้วยการเคลือบสี ทับลงไป ซึ่งจะทำให้รถมีความเงางาม ใส ไม่มีคราบสกปรกฝังอยู่แต่อย่างใด รถจะสวย ใสอยู่ตลอดเวลา ผิวสีรถจะลื่น น้ำไม่เกาะและฝุ่นไม่เกาะ รถไม่หมอง
นอกจากจะให้ความสวย ใส เงา งามของรถ แล้ว ยังให้การปกป้องผิวสีรถจากสิ่งสกปรกต่าง ๆ แสงแดด ยางมะตอย ริ้วรอย มูลนก ยางไม้ และมลภาวะอื่น ๆ ที่ทำให้สีรถเสียหายได้อีกด้วย


****การเคลือบสีรถ.. ****


เป็นการปกป้องสีรถเช่นกัน แต่สีรถอาจจะดูหมอง ๆ เนื่องจากการเคลือบสีอย่างเดียวบ่อย ๆ นั้น ถ้าบนผิวสีรถ มีคราบสกปรกฝังอยู่ ก็จะทำให้ผิวสีรถไม่ใส แล้วถ้าเคลือบทับไปบ่อย ๆ ก็จะทำให้คราบสกปรกเหล่านั้น ฝังตัวแน่นขึ้นด้วย แล้วถ้าแย่ไปกว่านั้น ถ้ามีละอองสี ยางมะตอยฝัง หรือคราบมลภาวะที่สามารถทำลายสีรถติดอยู่โดยที่เราไม่รู้ และไม่ได้ขจัดมันออกไปก่อน แล้วเคลือบทับลงไป จะทำให้สิ่งเหล่านี้ ไปกัดกิน ผิวสีรถได้ และทำให้รถดูหมองแต่ในขณะเดียวกันก็ไเป็นการป้องกันผิวสีรถเช่นกัน



***การป้องกันคราบขาวของฝนกรด กัดกินสีรถของเรา **

1. การล้างรถหลังจากที่รถถูกฝนมา เป็นการล้างเพื่อให้น้ำไปชะเอา ฝนที่อยู่บนผิวสีรถออกไปนะครับ ก็จะช่วยไม่ให้รถเกิดคราบขาว ๆ ได้


2. การเคลือบสีรถ ตอนหน้าฝน นั้น เป็นการป้องกันคราบน้ำฝนที่ตกลงมา เนื่องจากน้ำฝนในปัจจุบันมีสภาพเป็น กรดเจือจาง ทำให้เมื่อมีฝนตกลงมา แล้วทิ้งรถไว้จนแห้ง จะสังเกตเห็นคราบขาว ๆ เกิดขึ้น จะสังเกตง่ายมากถ้าเป็นรถสีเข้ม นั่นคือกรดเจือจางที่ปะปนมากับน้ำฝน ถ้าหากรถของท่านมีการเคลือบสี ก็จะทำให้คราบต่าง ๆ เหล่านั้น อยู่บนแผ่นฟิล์มที่เคลือบ เวลาที่ต้องการเอาคราบเหล่านี้ออก จะทำได้โดยง่าย แต่ถ้าท่านไม่เคลือบสี คราบเหล่านี้ ก็จะติดแน่นบนสีของรถ แล้วจะเอาออกยาก และจะฝังแน่นบนรถของท่าน ทำให้รถของท่านเป็นคราบ และเอาไม่ออกในที่สุด

ดังนั้น ถ้ารถถูกฝนแล้ว ละก็ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าจอดรถตากแดด นะครับ เพราะ ว่าความร้อนจากแสงแดด จะทำให้ฝนกรดแห้งเร็ว และ กัดกินรถเราได้เร็วขึ้น









จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 25 ต.ค. 49 00:24:04 ]






ความคิดเห็นที่ 7

***สิ่งที่ควรทำ***

- จอดรถในโรงเก็บรถเพื่อป้องกันรังสีอุลตราไวโอเล็ต

- ล้างรถสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง โดยปกติของการล้างรถไม่ควรอยู่ในบริเวณที่มีการจราจรคับคั่งหรือมีมลภาวะทางอากาศ

- ใช้น้ำยาล้างรถมาตรฐาน และควรจะล้างด้วยมือ

- ฉีดน้ำไล่จากบนลงมาล่างด้วยน้ำเย็นก่อน เพื่อเศษฝุ่นที่ฝังอยู่บนผิวสีจะได้ลอยตัว

- ใช้ถังใส่น้ำอุ่นผสมกับน้ำยาล้างรถในอัตราส่วนที่ผู้ผลิตให้คำแนะนำ

- ล้างรถแต่ละส่วนด้วยฟองน้ำที่นุ่ม โดยเริ่มต้นจากหลังคา ไล่ลงมาทางด้านข้าง รวมถึงกระจกและรอยขอบต่าง ๆ

- ล้างด้วยน้ำสะอาดทั้งคันอีกครั้งหนึ่งเมื่อเสร็จแล้ว

- ทำความสะอาดรอยเปื้อน หรือคราบออกจากสีผิวให้เร็วที่สุดที่สามารถทำได้

**หมายเหตุ** น้ำยาล้างรถบางชนิด เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวสีเสีย ควรปฎิบัติตามคำแนะนำของโรงงานผู้ผลิตรถยนต์




**สิ่งที่ไม่ควรทำ***

- ใช้น้ำยาล้างรถที่ไม่ได้มาตรฐาน

- ขัดด้วยฟองน้ำในเที่ยวแรก

- ใช้น้ำยาล้างรถเกินอัตราที่ทางผู้ผลิตแนะนำ

- ปล่อยให้บริเวณที่ล้างแห้ง ควรจะล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนที่จะล้างในส่วนอื่นต่อไป

- ปล่อยให้รอยเปื้อน หรือคราบอยู่บนผิวสีเป็นเวลานานจนเป็นรอยเปื้อนหรือคราบถาวร


[คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง]








จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 25 ต.ค. 49 00:36:22 ]





Create Date : 25 ตุลาคม 2549
Last Update : 25 ตุลาคม 2549 0:49:47 น. 1 comments
Counter : 575 Pageviews.

 
ก็ดี
มีความรู้นะ
แถมน่ารักอีก


โดย: toon IP: 202.14.164.250 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:51:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

บั้งไฟลาว
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ

[Add บั้งไฟลาว's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com pantip.com pantipmarket.com pantown.com