บั้งไฟลาวกับสาวๆตากลม
 
สิงหาคม 2549
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
12 สิงหาคม 2549
 
 
***///(DIY)/// ******เกียร์*******

***///(DIY)/// ******เกียร์*******
เซ็ง....วันนี้ติดเวรบ่ายคนไข้เยอะอีกต่างหาก...ไม่มีใครเปลี่ยนเลย....(ไม่เห็นใจข้าวใหม่ปลามันเลย.....
************************************
มาว่าด้วยเรื่องเกียร์....ดีกว่าเผื่อคนที่ยังไม่เข้าใจจะได้ไม่ใช้กันผิดๆ ขอบคุณแหล่งที่มาด้วยนะครับ
-เกียร์ธรรมดา มันเป็นอะไรที่ชอบแบบบอกไม่ถูก
-เกียร์อัตโนมัติ ยาวหน่อยนะครับ
*****เกียร์มัว***สำคัญมาก อยากให้ศึกษาไว้ จะได้ไม่ใช้กันแบบผิดๆ



[คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง]






จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 9 ส.ค. 49 16:58:20 ]


--------------------------------------------------------------------------------










--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 1

การใช้เกียร์ (ขอขอบคุณ : Honda ประเทศไทย เอื้อเฟื้อข้อมูล )
ปัจจุบัน รถยนต์จัดเป็นปัจจัยที่ 5 สำหรับการดำเนินชีวิตเพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ในแต่ละวัน บนท้องถนน เราจะพบเห็น การลังเลไม่กล้าตัดสินใจในการขับขี่รถของมือใหม่หัดขับ หลายคันจะมีป้ายติดว่า "มือใหม่หัดขับ" ซึ่งการหัดขับ มีหลายวิธีมากมาย บ้างก็ฝึกหัดขับรถจากคนใกล้ชิด คนหรือจากโรงเรียนสอนขับรถ แม้จะเรียนรู้ทฤษฎีและปฏิบัติมาพอสมควร แต่มือใหม่ก็ต้องฝึกฝน อย่างถูกวิธี สม่ำเสมอ และเรียนรู้ระบบต่าง ๆ ของเครื่องยนต์บ้าง เพื่อสามารถแก้ไขช่วยเหลือตนเองหรือผู้อื่นได้ในเบื้องต้น
มาดูกันครับว่าการใช้เกียร์อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็น เกียร์ธรรมดา หรือ เกียร์ Auto ก็ตามเขาใช้กันอย่างไร และ สำหรับผู้ที่ทราบอยู่แล้ว ก็ไม่เสียหายอะไรครับ ที่จะรู้ว่าเราประทุษร้ายรถของเรา และชีวิตของเราเองอยู่หรือไม่ .. !!









จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 9 ส.ค. 49 17:02:34 ]






ความคิดเห็นที่ 2

***เทคนิคการขับรถเกียร์ธรรมดา ****

สำหรับมือใหม่หัดขับสามารถฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ และความเคยชินได้ง่าย ช่วยทำให้เกิดความปลอดภัยแก่ตัวคุณเอง และรถคู่ใจอีกด้วย
เทคนิคแรก : ทุกครั้งก่อนออกจากรถ ผู้ขับรถควรจะปลดเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่างพร้อมทั้งดึงเบรกมือค้างไว้ เพื่อป้องกันการหลงลืมเมื่อมีการไขกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งใหม่ เพราะเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ โดยเกียร์ไม่ได้อยู่ ในตำแหน่งเกียร์ว่าง รถจะพุ่งไปข้างหน้า หรือถอยหลังอย่างฉับพลัน อันจะก่อให้เกิดอันตรายได้ สำหรับการ ปลดเกียร์ว่าง นอกจากจะปฏิบัติก่อนออกจากรถทุกครั้งแล้ว อาจปฏิบัติในขณะรถติดนาน ๆ ได้ด้วย โดยดึงเบรกมือ แทนการเหยียบเบรก และคลัทช์ค้างไว้ ช่วยพักเท้าคลายอาการเมื่อยล้าได้ด้วย
เทคนิคที่สอง : ควรเหยียบคลัทช์ทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อป้องกันการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ มาสู่ระบบ ขับเคลื่อน เพราะหากลืมปลดเกียร์มาที่ตำแหน่งเกียร์ว่าง การเหยียบคลัทช์จะทำให้รถไม่พุ่งไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน
เทคนิคที่สาม : เลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วของรถ และเปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ไม่ต่ำ หรือสูงเกินไป (2,000 - 3,000 รอบ/นาที) จะทำให้การขับขี่นุ่มนวลยิ่งขึ้น และประหยัดน้ำมันอีกด้วย
เทคนิคที่สี่ : มือใหม่หัดขับ มักพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ต้องขึ้นสะพาน แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องติดค้าง อยู่บนสะพาน ผู้ขับมือใหม่มักกังวลว่าจะทำอย่างไรดีเพื่อไม่ให้รถไหลไปชนคันหลัง วิธีง่าย ๆ ก็คือ ปลดเกียร์ว่าง พร้อมกับดึงเบรกมือ และเมื่อจะเคลื่อนตัวให้ผู้ขับเหยียบคลัชท์และเข้าเกียร์ 1 พร้อมที่จะออก แล้วเหยียบคันเร่งช้า ๆ พร้อมกับปลดเบรกมือ รถอาจจะไหลบ้างเล็กน้อยตามพื้นที่ลาดเอียง มือใหม่หัดขับไม่ต้องตกใจ ออกตัวรถไปตามปกติ
เทคนิคที่ห้า : หมั่นฝึกเปลี่ยนเกียร์ให้เกิดความชำนาญ โดยใช้ประสาทสัมผัสแทนการเหลือบมอง เพื่อป้องกัน การเกิดอุบัติเหตุ
เทคนิคที่หก : การชะลอรถ/หยุดรถ เมื่อขับมาด้วยความเร็ว ให้ค่อย ๆ แตะเบรก อย่าพึ่งเหยียบคลัทช์ เพื่อให้กำลัง ของเครื่องยนต์เป็นตัวช่วยชะลอรถ (ENGINE BRAKE) จากนั้น เมื่อรถใกล้จะหยุด ให้เหยียบคลัทช์ และเมื่อรถ หยุดสนิทให้ปลดเกียร์ว่าง พร้อมทั้งดึงเบรกมือเพื่อป้องกันรถไหล
*** ข้อควรระวังที่มือใหม่หัดขับไม่ควรจะละเลย นั่นคือ ไม่ควรวางเท้าไว้ที่แป้นคลัทช์ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้เหยียบคลัทช์ก็ตาม เพื่อยืดอายุการใช้งานของลูกปืนคลัทช์ นอกจากนี้ ยังไม่ควรเลี้ยงคลัทช์เมื่อรถติดอยู่บนเนินหรือสะพาน เพราะจะทำให้คลัทช์ไหม้ หรือคลัทช์ลื่น และอายุการใช้งานของผ้าคลัทช์ก็จะสั้นลงด้วย ***
เทคนิคง่าย ๆ เหล่านี้ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้มือใหม่หัดขับได้มากยิ่งขึ้น คราวนี้จะได้แกะสติกเกอร์ หรือป้ายมือใหม่ หัดขับได้เสียที
ทุกวันนี้รถยนต์โดยทั่วไปบนท้องถนน มักเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ เพราะให้ความสะดวกสบายในการขับขี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพการจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพฯ ซึ่งจะต้องขับเคลื่อน และชะลอตัว หรือเบรกอยู่บ่อยครั้ง









จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 9 ส.ค. 49 17:04:21 ]






ความคิดเห็นที่ 3

***การขับขี่รถยนต์เกียร์อัตโนมัติ****

ผู้ขับขี่ควรจดจำตำแหน่ง และใช้เกียร์แต่ละเกียร์ได้ อย่างถูกต้อง แม่นยำ ซึ่งเกียร์อัตโนมัติแต่ละตำแหน่ง มีดังนี้
P หมายถึง PARKING เป็นตำแหน่งที่ใช้สำหรับจอดรถ และไม่ต้องการให้รถเคลื่อน โดยล้อรถจะถูกล็อกไว้ ไม่สามารถเข็นได้ เช่น ในการจอดบนทางลาดชัน เมื่อต้องการจอดรถทิ้งไว้ หลังจากเหยียบเบรกจนรถหยุดสนิทแล้ว อย่าเพิ่งปล่อยเบรก จับคันเกียร์กดปุ่มปลดล็อก แล้วโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง P จากนั้นปล่อยเบรก แล้วดับเครื่องยนต์้
R หมายถึง REVERSE เป็นเกียร์สำหรับการถอยหลัง เมื่อต้องการเข้าเกียร์ R จะต้องเหยียบเบรก ให้รถหยุดสนิท จากนั้นจับคันเกียร์กดปุ่มปลดล็อกแล้วโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง R แล้วจึงปล่อยเบรก กดคันเร่ง ให้รถเคลื่อนตัวถอยหลัง
N หมายถึง NEUTRAL เป็นตำแหน่งเกียร์ว่างใช้เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์หรือต้องการจอดรถทิ้งไว้โดยที่ยังสามารถเข็นได้ หรือเมื่อจอดรถ อยู่กับที่ ในขณะเครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่ เช่น การจอดรถในสภาพการจราจรติดขัด หรือเมื่อติดไฟแดง
D4 หมายถึง เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ใช้ในการขับรถเดินหน้าในสภาพการขับขี่ทั่วไป เช่น การขับรถ ในตัวเมือง รวมทั้งการขับรถด้วยความเร็วสูง ซึ่งการทำงานของเกียร์ D4 จะเป็นไปในลักษณะ 4 สปีด คือ เกียร์ จะเปลี่ยน ขึ้นตามลำดับ จากเกียร์ 1 ไปเกียร์ 2 หรือจากเกียร์ 2 ไปเกียร์ 3 หรือจากเกียร์ 3 ไปเกียร์ 4 โดยอัตโนมัติ ตามสภาพการทำงานของเครื่องยนต์และความเร็วของรถ ยิ่งผู้ขับเหยียบคันเร่งมาก เกียร์ก็จะเปลี่ยนที่ความสูงขึ้น ตามไปด้วย
ในทางกลับกัน เมื่อลดความเร็ว เกียร์จะเปลี่ยนจากเกียร์ 4 ไปเกียร์ 3 หรือจากเกียร์ 3 ไปเกียร์ 2 หรือจากเกียร์ 2 ไปเกียร์ 1
D3 หมายถึง เกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด ใช้สำหรับขับรถขึ้นหรือลงเนิน เพื่อป้องกันมิให้เกียร์เปลี่ยนกลับไป กลับมาบ่อยๆ ระหว่างเกียร์ 3 และเกียร์ 4 นอกจากนี้ยังใช้สำหรับกรณีที่ต้องการ ให้เครื่องยนต์ช่วยเพิ่มกำลัง เบรกมากขึ้น
ในตำแหน่ง D4 และ D3 หากต้องการเร่งความเร็วอย่างทันทีทันใด เช่น ในเวลาที่ต้องเร่งแซงรถที่อยู่ข้างหน้า ผู้ขับขี่ สามารถใช้การ KICK DOWN เหยียบคันเร่งจมติดพื้น เกียร์จะเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ และทำให้รถพุ่ง ไปข้างหน้าเร็วขึ้น
2 หมายถึง เกียร์ 2 ใช้สำหรับการขับรถลงเขาเพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยเพิ่มกำลังเบรกมากขึ้น หรือการขับรถขึ้นเขา เพื่อเพิ่มกำลังขับเคลื่อน รวมทั้งการขับบนถนนลื่น และการขับขึ้นจากหล่มโคลนหรือทราย
1 หมายถึง เกียร์ 1 ใช้สำหรับการขับรถขึ้น-ลงเขาสูงชันมากๆ
การเลือกใช้งานของเกียร์อัตโนมัติแต่ละเกียร์ได้อย่างถูกต้อง นอกจากจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย หรือ ความเสียหาย ต่อระบบขับเคลื่อนแล้ว ยังให้การขับขี่ที่นุ่มนวลอีกด้วย









จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 9 ส.ค. 49 17:06:18 ]






ความคิดเห็นที่ 4

***มาดูความแตกต่างเรื่อง Over Drive กันหน่อย ***

OVERDRIVE ของเกียร์อัตโนมัติ

แม้เกียร์อัตโนมัติจะแพร่หลายในไทยมามากกว่า 20 ปีแล้ว แต่ยังมีคนสับสนกับปุ่ม OVERDRIVE หรือ OD กันมาตลอด ทั้งงงว่าคืออะไร มีไว้ทำไม ทำไมรถยนต์บางุร่นไม่มี ควรเปิด-ON หรือปิด-OFF ในสภาพการขับแบบใด
OVERDRIVE คือ อะไร ?
การใช้คำนี้นั่นเองที่ทำให้เกิดความสับสน เพราะอ่านแล้วแปลออกแต่ไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วมีผลอย่างไรในรถยนต์ ไม่ว่าจะมีเกียร์ทั้งหมดกี่จังหวะ ถ้ามีปุ่มเปิด-ปิด OVERDRIVE ก็คือ การเปิด-ปิดเกียร์สูงที่สุด ว่าจะให้มีใช้หรือไม่
ถ้ามีเกียร์ทั้งหมด 4 จังหวะ หากปิด ก็เท่ากับมีแค่เกียร์ 1-2-3 เปลี่ยนขึ้นลงเท่านั้น ไม่ว่าความเร็วจะขึ้นไปสูงเพียงไร ก็ไม่มีการเข้าเกียร์ 4 ให้ ในรถยนต์บางรุ่นมีปุ่ม OVERDRIVE บางรุ่นไม่มี แต่ก็สามารถเลือกจะไม่ใช้เกียร์นั้นได้ โดยดูที่ฐานคันเกียร์ว่ามีตำแหน่งรองจาก D ลงไปเป็นอะไร ถ้าปกติเป็น D4 รองลงไปเป็น D3 ดังนั้นหากเลื่อนคันเกียร์ไปที่ D3 ก็คือ ปิด OVERDRIVE หรือมีใช้แค่ 3 เกียร์นั่นเอง
สำหรับรถยนต์ที่มี 5 เกียร์ การปิด OVERDRIVE ก็จะเหลือ 4 เกียร์ 1-2-3-4 โดยไม่มีเกียร์ 5 ใช้นั่นเอง
สมมุติถ้าไม่ใช้คำว่าปุ่มหรือเกียร์ OVERDRIVE หากเรียกกันว่าปุ่มเปิด-ปิดเกียร์ 4 หรือเกียร์ 5 ก็น่าจะลดความสับสนลงได้ เพราะก็แค่ไปทำความเข้าใจว่า การเปิดหรือปิดเกียร์ 4 หรือ 5 นั้นจะมีผลเช่นไรในการขับ ไม่ต้องไปงงกับคำว่า OVERDRIVE
ทำไมต้องเปิด ทำไมต้องปิด ?
รถยนต์ที่ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ ส่วนใหญ่ยกเว้นรุ่นที่เป็นรถยนต์สมรรถนะสูงจริงๆ เกียร์สุดท้ายหรือเกียร์สูงที่สุด จะเป็นเกียร์ที่มีอัตราทดต่ำ ช่วยลดรอบเครื่องยนต์ และลดการสึกหรอ ลดความสิ้นเปลืองน้ำมันฯ มีอัตราเร่งในช่วงความเร็วสูงแค่พอประมาณ แต่ไม่ดีเท่ากับเกียร์รองลงไป และถ้าไม่ได้เน้นการเร่งแซงในช่วงนั้นแบบดุดัน ก็ไม่ต้องปิด OVERDRIVE เพราะไม่ถึงกับไม่มีอัตราเร่งเลย
การปิด OVERDRIVE จะไม่ได้ทำให้อัตราเร่งในช่วงออกตัวไปจนถึงสุดเกียร์ 3 แตกต่างจากการเปิดไว้ (กรณีมีทั้งหมด 4 เกียร์) การปิดไว้ เป็นเพียงการป้องกันไม่ให้ระบบควบคุมมีการเปลี่ยนเกียร์จาก 3 ไป 4 ในช่วงที่ผู้ขับลดการกดคันเร่ง
ในการขับปกติ ควรเปิด OVERDRIVE ไว้ ดังที่เห็นว่า ในรถยนต์ส่วนใหญ่หากปิดไว้ จะมีไฟเตือนสีส้มสว่างขึ้น ชื่อก็บอกว่าเป็นไฟเตือน และยังเป็นสีส้มอีก ไม่ใช่สีเขียว จึงหมายความว่าเป็นการเตือนแบบไม่ร้ายแรง หากเปิด OVERDRIVE ไว้ จะไม่มีการเตือน นั่นแสดงกว่าเป็นภาวะปกตินั่นเอง
OVERDRIVE อัตราทดต้องต่ำกว่า 0 ใช่ไหม ?
หลายคนเข้าใจว่าเกียร์ใดที่มีอัตราทดต่ำกว่า 1 ต้องเป็นเกียร์ OVERDRIVE ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ใช่ เพราะในรถยนต์แต่ละคัน อาจมีหลายเกียร์ที่มีอัตราทดต่ำกว่า 1 ไม่ใช่เฉพาะแค่เกียร์สูงสุดเท่านั้น
ในความเป็นจริง เกียร์จังหวะใดจะเป็นเกียร์ OVERDRIVE ก็ต่อเมื่อเกียร์นั้นไม่สามารถเร่งเครื่องยนต์ไปถึงรอบที่มีแรงม้าสูงสุดได้
หากมีถนนว่างและปลอดภัย ให้ลองทดสอบดูก็ได้ว่า ในเกียร์รองลงไปและ OVERDRIVE หรือการปิด-เปิด เกียร์ใดมีอัตราเร่งดีกว่า ลากรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุด และทำความเร็วสูงสุดได้ ถ้าจะเน้นอัตราเร่งช่วงความเร็วสูง ควรปิด
ทำได้หลายวิธี คือ เปิด OVERDRIVE แล้วกดคันเร่งให้จมเพื่อให้มีการคิกดาวน์ลงมาที่เกียร์ต่ำเอง กดคันเร่งแช่ต่อเนื่องไป หากสุดเกียร์ 3 จริงๆ แล้วถึงจะถูกเปลี่ยนไปยังเกียร์ 4 หรือ OVERDRIVE เอง แต่ถ้ามีการลดการกดคันเร่งในช่วงใด และอยู่ในเกียร์ 3 ระบบจะเปลี่ยนไปที่เกียร์ 4 ให้เอง อัตราเร่งก็จะไม่ดี หากจะเร่งต่อ ก็ต้องเสียจังหวะการคิกดาวน์ลงมาที่เกียร์ 3 อีกครั้ง หรือถ้าความเร็วสูงแล้ว ระบบก็จะไม่ยอมคิกดาวน์มาที่เกียร์ 3 ดังนั้นถ้าจะให้ดี ก็ควรปิด OVERDRIVE ไว้ในช่วงที่ต้องการอัดตราเร่งที่ดุดันในช่วงความเร็วเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในเมืองปิดหรือเปิด ?
บางคนเข้าใจว่า ในเมื่อการขับรถยนต์ในเมืองที่มีการจราจรติดขัด ไม่สามารถใช้ความเร็วสูงได้ ก็จะไม่มีความจำเป็นต้องเปิด OVERDRIVE ไว้ เพราะเกียร์จะต้องเปลี่ยนสลับไปมา และขึ้นไปสู่เกียร์ OVERDRIVE โดยไม่จำเป็น เพราะเดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำสลับไปสบับมาซ้ำกันบ่อยๆ คิดว่าจะทำให้เกิดทั้งการสึกหรอและการกระตุกขณะเปลี่ยนเกียร์สลับไปมา
ในความเป็นจริง แม้จะขับในเมือง ก็ควรเปิด OVERDRIVE ทิ้งไว้ตลอดหากตอนนั้นไม่ได้เน้นอัตราเร่งในช่วงความเร็วเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือถึงจะเน้น แต่ใช้วิธีคิกดาวน์กดคันเร่งมิดเพื่อลดเกียร์ขณะเปิด OVERDRIVE ก็ยังได้
ถ้าใช้ความเร็วปานกลางขึ้นไป ไต่ไปอยู่เกียร์ 3 แล้ว หากจะมีการเปลี่ยนไปเข้าเกียร์ 4 (กรณีมี 4 เกียร์) แล้วมีการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นลงบ่อยๆ ก็ไม่เป็นอะไร เพราะเมื่อไรที่อยู่ในเกียร์สูงสุด ก็จะลดทั้งรอบเครื่องยนต์ ลดการสึกหรอ และประหยัดน้ำมันขึ้น เมื่อไรที่ต้องการเพิ่มอัตราเร่งก็แค่คิกดาวน์ อย่างรถยนต์ที่ไม่มีปุ่ม OVERDRIVE เข้าอยู่ในเกียร์ D หรือ D4 ก็เท่ากับเป็นการเปิด OVERDRIVE อยู่ตลอดเวลา
ปิด OVERDRIVE ช่วยเบรก
เมื่อขับรถยนต์มาด้วยความเร็วแล้วต้องการเบรก นอกจากจะกดแป้นเบรกตามปกติแล้ว หลายคนได้ใช้วิธีปิด OVERDRIVE หรือเลื่อนคันเกียร์ลงมาที่ D3 เพื่อช่วยในการเบรก
หลายคนชอบปฎิบัติเช่นนี้ เพราะต้องการใช้เครื่องยนต์ช่วยในการเบรก (ENGINE BRAKE) เหมือนการลดเกียร์ต่ำในรถยนต์เกียร์ธรรมดา ซึ่งก็ได้ผลบ้าง เพราะรถยนต์มีอาการหน่วงความเร็วลงเล็กน้อยเมื่อเกียร์ลดลงต่ำ
ในความเป็นจริงแล้ว เครื่องยนต์สามารถช่วยหน่วงความเร็วในกรณีนี้ได้ก็จริง แต่ไม่มากเลย ไม่คุ้มกับการสึกหรอของชุดเกียร์และเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้นเลย ทดลองได้จาก ขับรถยนต์ด้วยความเร็วปานกลางบนเส้นทางที่ปลอดภัย แล้วปิด OVERDRIVE โดยไม่ต้องกดเบรก จะพบว่ารถยนต์ถูกหน่วงก็จริง แต่แค่นิดเดียว แล้วเริ่มใหม่ กดแป้นเบรกแรงๆ โดยไม่ต้องยุ่งกับเกียร์ดูสิ หัวทิ่มเลย
ควรใช้เบรกตามหน้าที่ ใช้การลดเกียร์ต่ำเมื่อต้องการเร่งความเร็ว หรือลงเขา
BRAKE TO SLOW / GEAR TO GO
บทสรุป
ถ้ายังงง ให้ลืมคำว่า OVERDRIVE ไป เปลี่ยนเป็นการเปิดใช้หรือไม่ใช้เกียร์ 4 (ในกรณีที่มีทั้งหมด 4 เกียร์) เมื่อไรที่อยู่ในเกียร์นั้น จะช่วยลดรอบเครื่องยนต์ ให้ความประหยัดน้ำมันฯ และลดการสึกหรอ แต่อัตราเร่งจะไม่ดีเท่าเกียร์รองลงไป
ปฏิบัติง่ายๆ เปิด OVERDRIVE ไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะขับในเมืองหรือต่างจังหวัด หากต้องการอัตราเร่งดีๆ เมื่อไร ให้กดคันเร่งจมมิดเพื่อคิกดาวน์แล้วแช่ไว้ หรือหากช่วงใดต้องการอัตราเร่งที่ดีในช่วงความเร็วสูงแล้วไม่อยากให้เกียร์เปลี่ยนไปๆ มาๆ ระหว่าง 3 กับ 4 ก็ให้ปิด OVERDRIVE ขับ เมื่อพ้นจากสถานะการณ์นั้นแล้ว ให้กลับมาเปิดใช้ตามปกติ
________________________________________
คัดลอกจากบทความเรื่องเกียร์ OVER DRIVE ในเกียร์อัตโนมัติ โดย วรพล สิงห์เขียวพงษ์









จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 9 ส.ค. 49 17:07:52 ]






ความคิดเห็นที่ 5

****เรื่องน่ารู้ของเกียร์อัตโนมัติ*****

ก่อนอื่นก็มาทีความรู้จักกับเกียร์อัตโนมัติกันซะก่อนเพราะยังมีอีกหลายท่านที่เคยแต่เพียง“เห็น”ยังไม่เคยทำความคุ้นเคยหรือสัมผัสกันอย่างจริงจังเสียทีแบบนั้นจัดว่ารู้จักว่าเป็นเกียร์อัตโนมัติเฉย ๆ แต่ยังไม่รู้จักอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะขับก็ควรมาศึกษารายละเอียดกันก่อนหลายคนอาจจะคิดว่าไม่จำเป็นก็ในเมื่อเขาทำมาให้ขับง่ายสะดวกสบายแล้วทำไมต้องมีการศึกษาอะไรอีกก็เป็นเพียงความเข้าใจที่ถูกต้องเพียงบางส่วนที่คิดว่าเพียงแต่ขยับตำแหน่งคันเกียร์มาที่ตัวDแล้วก็เหยีบคันเร่งเท่านั้นก็ขับรถไปไหน ๆ ได้แล้วผู้ที่ขับขี่เป็นแต่ในลักษณะนี้ล่ะครับที่จัดอยู่ในขั้นที่น่าเป็นห่วงเพราะจะมีอันตรายตามมาอีกหลายอย่าง เช่นการขับรถในสภาพทางที่เป็นภูเขาสูงหรือที่เคยมีข่าวรถวิ่งไปทับเจ้าของจนตายตอนเปิดประตูบ้านก็เข้าข่ายที่“รู้..แต่ยังรู้ไม่หมด”นั่นเอง

หลักการทำงานแบบย่อ ๆของเกียร์อัตโนมัติ ก็คือเกียร์ที่ผลิตมาให้ขับรถได้ง่ายสะดวกสบายขึ้น คือรถจะมีการเปลี่ยนเกียร์ของมันเองตอนเดินหน้าด้วยการขยับเข้าเกียร์เพียงครั้งเดียวและไม่ต้องเหยียบคลัทซ์เพราะไม่มีให้เหยียบการขับขึ่จึงใช้เพียงเท้าขวาเพียงข้างเดียวใช้เหยียบคันเร่งกับเบรคเท่านั้นส่วนเท้าซ้ายไม่ต้องใช้ที่เป็นเช่นนี้เพราะการออกแบบระบบการทำงานของเกียร์อัตโนมัติที่แตกต่างจากเกียร์ธรรมดาโดยชุดคลัทซ์ได้เปลี่ยนมาใช้ตัว“ทอร์คคอนเวอร์เตอร์”ช่วยในการตัดต่อการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปที่เกียร์แทนซึ่งเท่ากับเป็นคลัทซ์อัตโนมัติที่เราไม่ต้องเหยียบเพราะมันจะทำการจับตัวของมันเองตามรอบเครื่องที่เพิ่มขึ้นโดยใช้ของเหลวเป็นตัวส่งกำลังด้วยความหนืด หลักการก็เหมือนกับมีพัดลม 2 อันอันหนึ่งเปิดไว้เอามาเป่าให้อีกอันหนึ่งหมุนตามทำให้เกิดการส่งกำลังได้ทำให้สามารถเข้าเกียร์ได้โดยเครื่องไม่ดับขณะเครื่องเดินเบาและรถจอดนิ่งเหยียบเบรคไว้ส่วนระบบเกียร์เมื่อเข้าเกียร์ให้รถขับเคลื่อนไปแล้วการทำงานจะเป็นไปโดยอัตโนมัติคือการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จะมีการตั้งโปรแกรมการทำงานให้เหมาะสมกับความเร็วรอบของเครื่องยนต์เหมือนตอนที่เราเข้าเกียร์ด้วยความรู้สึกของเรา แต่ในเกียร์อัตโนมัติใช้กลไกต่าง ๆมาทำงานแทนโดยแต่เดิมจะมีแต่ระบบกลไกโดยใช้แรงดันในระบบน้ำมันเกียร์ซึ่งมีปั๊มสร้างแรงดันเช่นเดียวกับระบบไฮดรอลิกซึ่งแรงดันที่เพิ่มขึ้นตามความเร็วรอบเครื่องยนต์จะถูกนำมาใช้ในการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ภายในเกียร์อัตโนมัติจะใช้เกียร์แบบเพลนเนตทารี่เกียร์ซึ่งเป็นชุดเกียร์ที่ออกแบบให้เฟืองของเพลาขับทดอยู่กับเฟืองของเพลาตามภายในเฟืองวงแหวนทำให้สามารถเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ได้ง่ายเพียงแต่ล็อกเฟืองชุดใดชุดหนึ่งด้วยการจับตัวของแผ่นคลัทซ์แบบเปียกซ้อนกันหลายๆแฟ่นทำให้การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ทำได้นุ่มนวลเมื่อทำงานร่วมกับทอร์คคอนเวอร์เตอร์ยิ่งมาในยุคที่มีระบบอิเล็คทรอนิคส์เข้ามาช่วยในการทำงานทำให้เกียร์อัตโนมัติมีประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้นมากโดยเฉพาะจังหวะการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ที่ทำได้นุ่มนวลจนแทบไม่รู้สึกและจังหวะการทำงานต่าง ๆที่ฉับไวยิ่งขึ้นมากโดยเฉพาะจังหวะการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ที่ทำได้นุ่มนวลจนแทบไม่รู้สึกและจังหวะการทำงานต่าง ๆที่ฉับไวยิ่งขึ้นมีโปรแกรมการทำงานมากยิ่งขึ้นกว่าในระบบเก่าซึ่งบางทีก็เรียกกันว่าเกียร์ไฟฟ้าเพราะจะมีกล่องควบคุมการทำงานมาต่างหากในรถบางรุ่น









จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 9 ส.ค. 49 17:11:39 ]






ความคิดเห็นที่ 6

“ตำแหน่งเกียร์”


เมื่อทราบหลักการทำงานแบบย่อ ๆแล้วก็มาดูกันที่ตำแหน่งเกียร์ซึ่งจะมีบอกไว้ที่ตรงโคนของคันเกียร์จะยกตัวอย่างเฉพาะในรถรุ่นปัจจุบันที่เกียร์อัตโนมัติจะมี 4 สปีดแล้วนอกจากนี้ยังมีรถนั่งรุ่นใหม่ ๆ ที่ได้มีเพิ่มเป็น 5 เกียร์สปีดแล้วอย่างเช่นBMWที่ราคาหลายล้านบาทตำแหน่งเกียร์ 4 สปีดที่พบทั่ว ๆ ไปจะมีเขียนแสดงไว้นั้นพอจะอธิบายได้ดังนี้

ตัวPเป็นตำแหน่งที่ใช้ในการจอดรถ ซึ่งย่อมาจากภาษาอังกฤษParkingแปลว่าจอดรถซึ่งจังหวะนี้เพลากลางจะถูกล็อกทำให้รถเคลื่อนตัวไม่ได้ทุกครั้งที่จอดรถในทางชันเพื่อป้องกันรถไหลควรใช้ร่วมกับเบรคมือแต่หากไปจอดตามห้างสรรพสินค้าหรือลานจอดรถไม่ควรใช้เพราะหากไปขวางทางผู้อื่นแล้วไม่สามารถเข็นรถได้บรรพบุรุษจะโดนกล่าวถึงในทางไม่ดี ประโยชน์อีกอย่างก็สามารถติดเครื่องได้ในตำแหน่งนี้เพราะจะเป็นเกียร์ว่างแต่เพลากลางยังถูกล็อคไม่ให้รถไหลมีประโยชน์ตอนจอดในทางลาดชันทำให้ออกรถได้ง่ายขึ้นเมื่อผู้ขับเหยียบเบรคและเปลี่ยนเกียร์มาในตำแหน่งให้รถขับเคลื่อนต่อไป

ต่อมาก็เป็นตำแหน่งRซึ่งย่อมาจากReverseอันนี้เป็นเกียร์ถอยหลัง การขยับคันเกียร์จากตำแหน่งอื่นมาให้ตำแหน่งRนี้ต้องกดปุ่มล็อคคันเกียร์นั้นจะอยู่ด้านข้างของหัวเกียร์ในรถทุกรุ่นเพื่อกันการลืมซึ่งจะทำให้ระบบเกียร์พังและกันการเข้าเกียร์ผิดในกรณีที่ไม่ได้เหลือบตามามองสำหรับการขับปกติและผู้ชำนาญแล้ว

ตำแหน่งNเป็นเกียร์ว่างซึ่งภาษาอังกฤษเขียนว่าNaturalตำแหน่งนี้จะเหมือนกับเกียร์ว่างในรถเกียร์ธรรมดาที่สามารถเข็นรถได้เวลาจอดตามลานจอดรถและขวางคันอื่นๆอยู่ก็อย่าลืมใช้ตำแหน่งนี้เพื่อให้ยามหรือเจ้าของรถคันอื่นจะได้เข็นเลื่อนรถให้พ้นจากการกีดขวางได้เวลารถจอดติดไฟแดงก็ใช้ได้

ตำแหน่งDหรือDriveเป็นตำแหน่งที่ให้รถขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยเกียร์ทุกเกียร์จะทำงานเปลี่ยนตำแหน่งครบทั้งหมดตามความเร็วที่ตั้งโปรแกรมไว้ในการขับขี่รถทั่ว ๆไปบนถนนธรรมดาจะใช้ตำแหน่งDนี้แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นซึ่งสะดวกสบายมาก

ตำแหน่ง 2 หมายถึงเกียร์จะทำงานเพียง2 เกียร์ คือ เกียร์ 1 และ 2 เท่านั้นซึ่งเป็นการถูกล็อคเอาไว้ในตำแหน่งนี้เพื่อให้ใช้ตอนที่ตอ้งการกำลังในการขับเคลื่อนสูงๆ เช่น การขับรถในทางที่เป็นภูเขาสูงชันมาก ๆ ซึ่งการล็อคเกียร์ไวให้ทำงานแค่ 2เกียร์นี้จะช่วยในตอนลงจากที่สูงซึ่งจะใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรคผ่านอัตราทดเกียร์ที่สูงนี้ได้เพื่อความปลอดภัยโดยเป็นการช่วยผ่อนแรงการทำงานของระบบเบรคกันเบรคร้อนซึ่งทำให้เกิดอาการเบรคหายจากการเกิดฟองอากาศในน้ำมันเบรคที่เดือนเป็นไอ

ตำแหน่ง 1อันนี้ก็เป็นการทำงานในเกียร์ 1 เพียงเกียร์เดียวซึ่งเป็นการขับขึ้นทางสูงชันที่ต้องการแรงฉุดลากมากกว่าในเกียร์ตำแหน่ง 2สังเกตง่าย ๆ ว่าจะใช้เมื่อไรดูได้จากเมื่อใช้ตำแหน่ง 2พอรถวิ่งไปถึงความเร็วรอบเครื่องที่เกียร์เปลี่ยนเป็นเกียร์ 2รถจะไม่มีกำลังทำให้เกียร์เปลี่ยนมาที่ 1อีกจะทำให้เสียจังหวะเราก็จัดการเปลี่ยนมาล็อกไว้ที่เกียร์ 1 ซะเลยจะไปได้ดีกว่ารวมทั้งตอนลงทางชันที่ชันมากแบบค่อย ๆ ย่องลงมาเกียร์ 1จะช่วยในการหน่วงด้วยเครื่องยนต์ได้ดี ในตำแหน่ง 1 นี้จะช่วยในการหน่วงด้วยเครื่องยนต์ได้ดี ในตำแหน่ง 1 นี้ รถบางรุ่นจะใช้ตัวอักษรLแทนซึ่งหมายถึงตำแหน่งเกียร์ที่ต่ำสุด


[คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง]








จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 9 ส.ค. 49 17:13:22 ]






ความคิดเห็นที่ 7

“ปุ่มเลือกโปรแกรมต่างๆ”


นอกจากตำแหน่งเกียร์ต่าง ๆ ให้เลือกใช้ก็จะมีปุ่มเลือกโปรแกรมต่าง ๆเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพของระบบเกียร์อัตโนมัตินี้อีกอันแรกที่มีในรถรุ่นต่าง ๆ ก็คือ ปุ่มOD(OverDrive)จะมีให้เลือก 2 ตำแหน่งคือOnกับOffเมื่อกดปุ่มODอยู่ในตำแหน่งOnและคันเกียร์อยู่ในตำแหน่งDโปรแกรมนี้เกียร์จะทำงานครบทั้ง 4 เกียร์เปรียบเสมือนเป็นการเลือกใช้เกียร์จะทำงานครบทั้ง 4เกียร์เปรียบเสมือนเป็นการเลือกใช้เกียร์ 4 กับไม่ใช้นั่นเองซึ่งเหตุผลก็คือเมื่อต้องการขับรถในทางสูงชันแต่ไม่มากเหมือนในการใช้ตำแหน่ง 2 เราก็ใช้เพียงเกียร์3 โดยไม่ต้องเลื่อนคันเกียร์เพียงแต่ใช้ปุ่มODซึ่งช่วยให้สะดวกขึ้นมากรวมทั้งในกรณีต้องการเชนจ์เกียร์เพื่อใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรค(เอนจิ้นเบรค) เช่น ขณะถนนลื่นหรือลงจากที่สูงก็ใช้ได้

นอกจำโปรแกรมทั่ว ๆ ไปในรถบางรุ่นโดยเฉพาะพวกรถสปอร์ตหรือนั่งจะมีปุ่มที่เขียนว่าSport-Comfortปุ่มต่อมาอันนี้จะไม่อยู่ที่หัวเกียร์ส่วนมากจะอยู่ที่แผงหน้าปัทม์หรือบริเวณคอนโซลข้าง ๆคันเกียร์ในรถบางรุ่นจะใช้SportEconomyโปรแกรมนี้ออกแบบมาให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ช้าลงในโปรแกรมSportหมายถึงจะลากเกียร์ได้ยาวขึ้นและเกียร์จะเปลี่ยนที่รอบเครื่องยนต์สูงขึ้นกว่าเดิมทำให้ได้อัตราเร่งที่ดีขึ้นต่างจากในโปรแกรมComfortหรือEconomy ซึ่งเน้นที่ความนุ่มนวลและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเกียร์จะเปลี่ยนตั้งแต่ความเร็วรอบเครื่องยนต์รอบที่ต่ำกว่าเหมือนตอนที่เราขับรถเกียร์ธรรมดาตอนที่ไม่รีบร้อนนั่นเองทำให้ผู้โดยารนั่งสบายไม่เกิดการกระชากที่รุนแรงเหมือนนั่งรถแข่ง

เราได้ทราบเรื่องการทำงานและโปรแกรมการสิ่งให้เกียร์ทำงานได้ผู้ขับขี่ในแบบต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมกับการขับขี่ในลักษณะต่าง ๆ เช่นการขับขี่ในสภาพทางที่เป็นภูเขาสูงหรือต้องการอัตราเร่งที่ดีกว่าปกติก็สามารถลากเกียร์ให้ยาวขึ้นในโปรแกรมSportการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรคขณะลงจากทางสูงชัน ผ่านตำแหน่งเกียร์ที่ถูกต้องซึ่งท่านใดที่ยังไม่เข้าใจก็ลองย้อนกลับไปอ่านอีกครั้งหรือสองครั้งเพราะเป็นพื้นฐานความรุ้ที่น่าสนใจสำหรับผู้ไม่คุ้นเคย

เมื่อคู่ได้พูดถึงโปรแกรมการทำให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ช้างลงเพื่อให้ลากเกียร์ได้ยาวขึ้นเพื่อให้มีการเปลี่ยนเกียร์ในความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นกว่าโปรแกรมธรรมดาซึ่งจะทำให้อัตราเร่งของรถดีขึ้นซึ่งโปรแกรมดังกล่าวจะเลือกใช้ได้โดยการกดปุ่ม ซึ่งมีเขียนบอกไว้ในแบบต่าง ๆ เช่นSport-ComfortและSport-Economayรวมทั้งอีกตัวหนึ่งคือคำว่าPowerซึ่งเมื่อครู่ไม่ได้บอกไว้ เผื่อไปเจอจะสงสัยว่าเป็นปุ่มอะไรเอาไว้กดทำไมเพราะในรถบางรุ่นจะมีเพียงปุ่มกดและคำว่าPowerนี้เพียงอย่างเดียวในลักษณะOn-Offหรือเปิด-ปิด คือใช้โปรแกรมPowerกับไม่ใช้เท่านั้น


[คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง]








จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 9 ส.ค. 49 17:14:22 ]






ความคิดเห็นที่ 8

“เกียร์ธรรมดาในเกียร์อัตโนมัติ”


โปรแกรมต่อมาที่เห็นในรถบางรุ่นส่วนมากจะเป็นรถสปอร์ตหรือสปอร์ตซีดานหรือรถที่มีสมรรถนะค่อนข้างสูง จะมีปุ่มกดที่เขียนว่าHoldหรือAutoManualเพื่อการขับขี่ในลักษณะของเกียร์ธรรมดาเพื่อความคล่องตัวยิ่งขึ้นจึงได้มีโปรแกรมนี้เพิ่มขึ้นมา โดยตำแหน่งHoldหรือManualจะมีความหมายเดียวกันคือเป็นการล็อคเกียร์ในตำแหน่งต่าง ๆ ไว้ให้เปลี่ยนตามจังหวะการโยกคันเกียร์ของผู้ขับแต่เพียงอย่างเดียวไม่ว่ารถจะวิ่งในความเร็วเท่าไรตำแหน่งเกียร์จะเป็นไปตามตำแหน่งของคันเกียร์ตลอดเวลาทำให้ผู้ขับสามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการคือต้องการลากรอบเครื่องยนต์ให้สูง ๆแล้วค่อยเปลี่ยนเกียร์เพื่ออัตราเร่งที่ดีหรือต่อเนื่องยิ่งกว่สในโปรแกรมSportหรือPowerหรือต้องการเชนจ์เกียร์ลงมาในเกียร์ต่ำเพื่อการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรคได้ตามต้องการเช่นเดียวกับการขับรถเกียร์ธรรมดาซึ่งดีกว่าตรงไม่ต้องเหยียบคลัทช์ทำให้มีความคล่องตัวและสนุกกว่าและจะทำได้เฉพาะรถที่มีโปรแกรมนี้เท่านั้นหากเป็นรุ่นที่ไม่มีปุ่มHoldหรือManualให้เลือกการขับขี่จะทำได้เพียงการเข้าเกียร์ในตำแหน่งต่างๆ ด้วยผู้ขับเช่นกันแต่จังหวะการเปลี่ยนเกียร์อาจจะไม่เปลี่ยนตามการโยกคันเกียร์ในทันทีทันใด เช่นเมื่อต้องการเชนจ์เกียร์เพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยเบรคในขณะที่เครื่องยนต์มีความเร็วรอบสูงๆเกียร์จะไม่ยอมเปลี่ยนตามเพราะในโปรแกรมของภายในตัวเกียร์ได้ตั้งให้มีการเปลี่ยนเกียร์ตามสภาพความเร็วรอบเครื่องยนต์และแรงบิดจากเพลากลางเมื่อรอบเครื่องยนต์ยังสูงมันจึงไม่ยอมเปลี่ยนเพราะรับคำสั่งมาว่าในรอบขนาดนี้มันจะต้องเปลี่ยนเกียร์ให้สูงขึ้นเมื่อเราโยกคันเกียร์มาในเกียร์ต่ำก็เลยยังไม่เปลี่ยนตำแหน่งตามลงมาจนกว่ารอบเครื่องยนต์จะลดลงซึ่งต้องเสียเวลาไปชั่วระยะอึดใจตั้งแต่ถอนคันเร่ง

การขับรถลงภูเขาควรระวังไว้เช่นกันในกรณีนี้อย่าปล่อยให้รถไหลในความเร็วสูงๆแล้วมาเชนจ์เกียร์เพราะถ้าความเร็วรอบเครื่องสูงเกินกำหนดเกียร์จะไม่เปลี่ยนทันทีทันใดหากไม่มีโปรแกรมHoldกับManualอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ขับจะต้องใช้การแตะเบรคช่วยให้รอบเครื่องลดลง การขับที่ถูกวิธีคือ เมื่อขับอยู่ในตำแหน่งเกียร์ 3และเมื่อเห็นว่าความชันของเส้นทางที่ลงมีมากจนแรงหน่วงไม่พอในเกียร์นี้และรถเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นควรรีบเชนจ์มาเกียร์ 2 แต่เนิ่น ๆ ตำแหน่งเกียร์จะเปลี่ยนมาทันที

การออกรถในโปรแกรมนี้จะทำได้เช่นเดียวกับเกียร์ธรรมดาทุกประการคือเริ่มออกรถในตำแหน่งเกียร์ 1 หรือLและสามารถเปลี่ยนเกียร์ 2ได้ในความเร็วรอบเครื่องต่าง ๆ กันตามต้องการไม่ว่าจะเอาแบบลากรอบสูงหรืออยากเปลี่ยนแบบนิ่ม ๆที่รอบปานกลางไปตามลำดับจนถึงตำแหน่งDซึ่งในช่วงเกียร์ 2ได้ในความเร็วรอบเครื่องต่าง ๆ กันตามต้องการไม่ว่าจะเอาแบบลากรอบสูงหรืออยากเปลี่ยนแบบนิ่ม ๆที่รอบปานกลางไปตามลำดับจนถึงตำแหน่งDซึ่งในช่วงเกียร์ 3กับ 4 ก็ใช้ปุ่มODร่วมด้วยเท่านั้นรถก็จะมีการเปลี่ยนเกียร์ครบทั้ง 4 เกียร์การเชนจ์เกียร์ก็ทำได้เช่นเดียวกันโดยย้อนกลับจากตอนออกรถ


[คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง]








จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 9 ส.ค. 49 17:15:49 ]






ความคิดเห็นที่ 9

“KickDown”


โปรแกรมนี้จะมีในรถเกียร์ออโตทุกรุ่นซึ่งไม่มีปุ่มให้กดโดยจะอยู่ที่คันเร่งนั่นเองคือการที่เมื่อเราต้องการเชนจ์เกียร์มาในเกียร์ต่ำเพื่อการเร่งแซงก็เพียงแต่กดดันคันเร่งลงไปให้มิดเกียร์จะเปลี่ยนลงไปเป็นเกียร์ต่ำกว่าเกียร์ที่ใช้อยู่และรอบเครื่องยนต์จะเพิ่มขึ้นเพราะเราเหยียบคันเร่งในตำแหน่งเร่งสุดรถจะมีการพุ่งหรือสปริ้นท์ตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเร่งแซงเมื่อแซงเสร็จเรียบร้อยแล้วความเร็วความเร็วรถเพิ่มขึ้นก็จะมีการเปลี่ยนเกียร์กลับมาในเกียร์สูงตามเดิมโดยเราไม่ต้องทำอะไรกับคันเกียร์นอกจากการเร่งแซงแล้วก็ยังใช้ในโอกาสอื่น ๆ เช่นการขึ้นที่สูงชัน









จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 9 ส.ค. 49 17:16:34 ]






ความคิดเห็นที่ 10

****อันนี้ฝากพิเศษสำคัญมากใช้ให้เป็น****

///เกียร์มัว///

คู่ มื อ ก า ร ดู แ ล ส า มี อ ย่ า ง ถู ก วิ ธี
> >
> >
> > รักผัวต้องหมั่นตบ ผัวสลบ เราตบซ้ำ
> > กลับดึกไม่ต้องถาม ไม้หน้าสาม หวดทันใด
> > ตีหนึ่ง...พึ่งถึงบ้าน แพ่นกบาล ให้หนำใจ
> > รักผัวไม่หวั่นไหว ซัดเข้าไป ไม่ยั้งมือ
> >
> >
> > หากผัวกลับบ้านดึก เตรียมเปิดศึก อย่ากลัวเกรง
> > รักผัวต้องข่มเหง ผัวเราเอง ใช่ผัวใคร
> > รักผัวต้องเข้มแข็ง กระหน่ำแข้ง ซัดเข้าไป
> > รักผัวต้องหลากหลาย ทั้งมีดไม้ ให้ครบมือ
> >
> >
> >
> > รักผัวต้องหมั่นซ้อม โดดขึ้นคร่อม อย่าออมมือ
> > รักผัวต้องฝึกปรือ หมั่นซ้อมมือ ให้แม่นยำ
> > ผัวล้มเราเหยียบซ้ำ เอาให้หนำ &! nbsp; ตายคามือ
> > ซ้อมผัวให้คนลือ ว่าเราคือ ยอดเมียไทย
> >
> >
> >
> > มีผัวบ่นจู้จี้ ร่อนทัพพี ให้หน้าหงาย
> > มีผัวเอาแต่ใจ บีบคอให้ ตายไปเลย
> > ตีหัว…ผัวแหว่งวิ่น แอนตาซิล จ่ายทุกแผล
> > รักผัวต้องดูแล เพราะผัวแก่ ใกล้ลงโลง
> >
> >
> >
> > ถ้าผัวแอบมีกิ๊ก ไม้ตีพริก ฟาดเข้าไป
> > กระทืบ…ผัวให้ตาย อย่าปล่อยไว้ ให้อายคน
> > รักผัวต้องอดทน ผัวเป็นคน ด้านกว่าใคร
> > โดนตบ จนหน้าหงาย ผัวยังไม่...สำนึกเลย
> >
> >
> >
> > ผัวดีนั้นหายาก ต้องลำบาก ตรากตรำหา
> > รู้ไหมกว่าได้มา เหนื่อยเลือดตา แทบกระเด็น
> > รักผัวต้องใจเย็น &n! bsp; เพราะผัวเป็น ของมีค่า
> > รักผัวต้องบูชา อย่าเที่ยวด่า ส่งเดชไป
> >
> > ผัวด่า…เราต้องเงียบ ยกเจ๊เบียบ ให้ผัวไป
> > เผื่อฟลุ๊ค…ผัวช๊อคตาย หาผัวใหม่ สุขใจเอย

ฝากให้คนที่บ้านดูแลดีๆนะครับ









จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 9 ส.ค. 49 17:21:09 ]






ความคิดเห็นที่ 11

***อีกแถม***

ภรรยาผู้ประเสริฐ
________________________________________
>ภรรยาผู้ประเสริฐ
> >>> >>>> > >> >
> >>> >>>> > >> >น่าอ่านมาก ๆ เลย แหละ
> >>> >>>> > >> >เรื่องนี้เกิดขึ้นกับคู่แต่งงานใหม่หวานแหวว
> >>> >>>> > >> >ที่เพิ่งผ่านพิธีมาได้สองอาทิตย์
> >>> >>>> > >> >ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน แต่ฝ่ายสามี
> >>> >>>> > >> >ก็อดรนทนไม่ได้ที่จะนัด
> >>> >>>> > >> >เหล่าสหายหาญทั้งหลาย เพื่อไป สังสรรค์ด้วยกันในตัวเมือง
> >>> >>>> > >> >
> >>> >>>> > >>
> >สามีจึงเอ่ยกับภรรยาใหม่ว่า"ที่รักจ๋า
> >>>ผมไปข้างนอกสักครู่นะ
> >>> >>>> > >> >เดี๋ยวกลับมาจ๊ะ"
> >>> >>>> > >> >ภรรยาถามสามีว่า"สุดที่รัก จะออกไปไหนเหรอคะ"
> >>> >>>> > >> >"คนสวยของผม ขอผมไปที่บาร์หน่อยนะ
> >>> >>>>ไปดื่มเบียร์สักแก้วสองแก้วเดี๋ยว
> >>> >>>> > >> >เสร็จแล้วก็กลับจ๊ะ" สามีส่งเสียงอ้อนวอน
> >>> >>>> > >> >ภรรยา"ที่รักอยากได้เบียร์ทำไมไม่บอกล่ะคะ"
> >>> >>>> > >> >ว่าแล้วก็เปิดประตูตู้เย็นค้างไว้
> >>> >>>> > >> >ให้สามีเห็นว่า
> >>> >>>> > >> >เธอได้ เตรียมเบียร์ไว้ให้มากกว่า 25 ชนิด จาก 12 ประเทศ
> >>> >>>>:เยอรมัน
> >>>
> >>>> > >> >ฮฮลแลนด์
> >>> >>>> > >> >ญี่ปุ่น อินเดีย และอื่นๆ
> >>> >>>> > >> >สามีได้ยินดังนั้น ก็อึ้งไป ก่อนจะเอ่ยกับภรรยาว่า
> >>> >>>> > >> >"เยอะจังเลย ที่รักน่ารักที่สุดในโลกเลย รู้มั๊ย....แต่
> >>> >>>> > >> >ว่า...ที่บาร์เค้ามีแก้วแช่แข็งด้วยนะ.."
> >>> >>>> > >> >
> >>> >>>> > >> >ก่อนที่สามีจะพูดจบประโยค ภรรยาก็ได้ขัดจังหวะสามี
> >>> >>>> > >> >"โถ น่าเอ็นดูจริง อยากได้แก้วแช่แข็งก็ไม่บอก นี่คะ
> >>> >>>> > >> >ชั้นเตรียมไว้แล้ว"
> >>> >>>> > >> >
> >>> >>>> > >>
> >ภรรยาพูดพลางหยิบแก้วที่แช่แข็งออกมาจากตู้เย็น
> >>> >>>>แก้วเย็นมากขนาดที่เธอ
> >>> >>>> > >> >รู้สึกหนาวขึ้นมาทันที้ ฝ่ายสามีเริ่มหน้าซีด
> >>> >>>>ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า่
> >>> >>>> > >> >"ที่รักจ๋า ที่บาร์มีออร์เดิร์ฟอร่อยๆ ให้เลือกเยอะเลย
> >>>ผมคง
> >>> >>>> > >> >ไปไม่นานหรอกเสร็จแล้วจะรีบกลับทันทีเลย ดีมั๊ยจ๊ะ"
> >>> >>>> > >> >"แหม อยากได้ออร์เดิร์ฟก็ไม่บอกกันแต่แรก
> >>> >>>>ชั้นเตรียมไว้ให้คุณแล้วค่ะ"
> >>> >>>> > >> >
> >>> >>>> > >> >ภรรยาเดินไปเปิดเตาอบและนำ ออร์เดิร์ฟ
> >>> >>>>5อย่างออกมาวางตรงหน้าสามี
> >>> >>>> > >>
> >อันได้แก่
> >>> >>>> > >> >ปีกไก่ หมูห่อผัก เห็ดยัดไส้ และหมูแดดเดียว
> >>> >>>> > >> >สามีพยายามอ้อนวอนภรรยาต่อไป
> >>> >>>> > >> >"แต่ว่า ที่บาร์มีอย่างอื่นนะ อย่างเวลาคุยกันกับเพื่อนๆ
> >>> >>>>ที่นั่นเรา
> >>> >>>> > >> >ใช้คำไม่สุภาพหรือคำหยาบบ้าง มันก็ได้บรรยากาศดีนะคนดี"
> >>> >>>> > >> >"อ๋อ อยากได้บรรยากาศก็ไม่บอกแต่แรก ฟังให้ดีนะ ไอ้ควาย
> >>> >>>> > >> > *_* เอาเบียร์ไปใส่แก้วแช่
> >>> >>>> > >> >แข็งห่าเหวไรเนี่ยกระแทกปาก *_* ซะ แล้วก็แดกๆ
> >>> >>>> > >> >ไปซะไอ้ออร์เดิร์ฟ *_* ๆเนี่ย่แ
> >>> >>>> > >> >แล้ว *_* ก็จำไว้ให้ดีนะ ว่าคืนนี้... *_* ต้อง ไม่ ไป ไหน
>
> >>>เป็น
> >>> >>>>อัน ขาด
> >>> >>>> > >> >....เข้า้ใจมั๊ย
> >>> >>>> > >> >ไอ้สาดดดดดด"









จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 9 ส.ค. 49 17:22:36 ]






ความคิดเห็นที่ 12

เกียมัว ... อืม น่าใช้

จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ 9 ส.ค. 49 17:27:28 ]






ความคิดเห็นที่ 13

อิอิ ขอบคุณครับบบ

จากคุณ : P Mini - [ 9 ส.ค. 49 17:29:47 ]






ความคิดเห็นที่ 14

สำหรับคนทที่คิดว่าชาตินี้จะไม่ใช้บริการเกียร์มัวเป็นอันขาด
***ข้อแนะนำ***


[คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง]








จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 9 ส.ค. 49 17:38:28 ]






ความคิดเห็นที่ 15

***สุดท้ายถ้ายังไม่ได้ผล***

สำหรับคนเมียดุครับ ใช้ทฤษฏี 5 น. ครับ
1. นิ่ง
2.นั่ง
3.นวด
4.นาบ
5.นอน
ขำขำ...แต่ได้ผลนะครับ
แต่ผมมันไร้ประโยชน์ อิๆๆ













Create Date : 12 สิงหาคม 2549
Last Update : 12 สิงหาคม 2549 23:24:26 น. 0 comments
Counter : 621 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

บั้งไฟลาว
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ

[Add บั้งไฟลาว's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com pantip.com pantipmarket.com pantown.com