การเดินทอดน่อง "ตลาดวังหลัง" แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ตรอกเล็กๆริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านท่าน้ำศิริราชในวันที่แดดอ่อนๆช่วงบ่ายๆดูเหมือนจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะผู้คนเดินกันขวักไขว่จนแน่นตรอกเล็กๆไปหมด การ "ตะลอนตามอำเภอใจ" ของผมในวันนั้นก็เลยออกรสชาติไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะของกินที่หลากหลายที่บรรดาพ่อค้า แม่ค้า นำมาขายกันมากมายในราคาที่ไม่แพง ร้านอาหารต่างๆ ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ขนมไทยชนิดต่าง ๆ รวมถึงอาหารท้องถิ่นช่างน่ากิน ยั่วน้ำลายชวนให้ลิ้มลองเสียจริงๆ
"ตลาดวังหลัง" นอกจากจะเป็นแหล่งของกินอร่อยๆมากมายแล้ว ยังเป็นแหล่งแฟชั่นต่างๆ อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า มือหนึ่งและมือสอง
มากมายทีเดียวครับ แน่นอนว่าวัยรุ่น และเกินวัยรุ่นไปแล้วจำนวนไม่น้อยต่างหมุนเวียนมาเดินเลือกซื้อเสื้อผ้า เพื่อแต่งตัวตามแนวทางที่ตัวเองชอบกันทำให้ตลาดในตรอกเล็กๆแห่งนี้ดูมีสีสันไม่แพ้ตลาดแหล่งอื่นๆ เลยจริงๆ
ส่วนที่มาของ วังหลัง คือ พระราชวังของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ถัดจากวังหลังลงไปทางวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หรือ วัดระฆัง เป็นตำบลสวนมังคุด ซึ่งมีวังที่ประทับเดิมของสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี และยังมีร่องรอยแนวกำแพงอิฐเก่าแก่อายุกว่าร้อยปีให้เห็นอยู่ ปัจจุบันวังหลังเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลศิริราช แต่ก่อนเคยเป็นโรงเรียนสตรีแห่งแรกของประเทศ ชื่อว่า "โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง" ต่อมาย้ายไปอยู่ที่ซอยวัฒนา ถนน
สุขุมวิท คือโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยในปัจจุบัน ต่อมาสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ ทรงจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลศิริราชขึ้นแทน
การเดินทอดน่อง "ตลาดวังหลัง" ของผมวันนั้นนอกจากจะได้เพลิดเพลินในการเดินชมสินค้าต่างๆ แล้ว ยังมีโอกาสได้ซื้อน้ำตาลอ้อยจากพ่อค้าที่นำมาขายในตลาดแห่งนี้ด้วย ซึ่งน้ำตาลอ้อย ถือว่าอยู่คู่กับวิถีชีวิตคนไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะขั้นตอนการทำน้ำตาลอ้อยนั้น ถือว่าน่าสนใจ เพราะขั้นตอนนั้นจะนำลำอ้อยมาหีบเอาน้ำอ้อยก่อนจากนั้นจึงนำมาเคี่ยวในกระทะใบบัวจนกว่าน้ำอ้อยจะเหนียวได้ที่จนมีสีน้ำตาลเข้ม แล้วนำมาหยอดลงพิมพ์ที่เตรียมไว้
ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" น้ำตาลอ้อยนอกจากจะถูกนำมาเป็นส่วนผสมของการทำขนมท้องถิ่นต่างๆ อาทิ นมเทียน ขนมเข่ง ขนมต้ม ข้าวเหนียวแดง ข้าวแต๋น และอื่นๆ แล้ว ยังพบว่าอาหารคาวต่างๆ ยังนำน้ำตาลอ้อยในการเพิ่มความหวานให้อร่อยกลมกล่อม อาทิ น้ำปลาหวานสะเดา ต้มฟักหวาน พะโล้ กวยจั๊บ และปลาตะเพียนต้มเค็ม ฯลฯ อีกด้วย...!!!
นายตะลอน
"ตลาดวังหลัง" นอกจากจะเป็นแหล่งของกินอร่อยๆมากมายแล้ว ยังเป็นแหล่งแฟชั่นต่างๆ อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า มือหนึ่งและมือสอง
มากมายทีเดียวครับ แน่นอนว่าวัยรุ่น และเกินวัยรุ่นไปแล้วจำนวนไม่น้อยต่างหมุนเวียนมาเดินเลือกซื้อเสื้อผ้า เพื่อแต่งตัวตามแนวทางที่ตัวเองชอบกันทำให้ตลาดในตรอกเล็กๆแห่งนี้ดูมีสีสันไม่แพ้ตลาดแหล่งอื่นๆ เลยจริงๆ
ส่วนที่มาของ วังหลัง คือ พระราชวังของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ถัดจากวังหลังลงไปทางวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หรือ วัดระฆัง เป็นตำบลสวนมังคุด ซึ่งมีวังที่ประทับเดิมของสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี และยังมีร่องรอยแนวกำแพงอิฐเก่าแก่อายุกว่าร้อยปีให้เห็นอยู่ ปัจจุบันวังหลังเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลศิริราช แต่ก่อนเคยเป็นโรงเรียนสตรีแห่งแรกของประเทศ ชื่อว่า "โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง" ต่อมาย้ายไปอยู่ที่ซอยวัฒนา ถนน
สุขุมวิท คือโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยในปัจจุบัน ต่อมาสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ ทรงจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลศิริราชขึ้นแทน
การเดินทอดน่อง "ตลาดวังหลัง" ของผมวันนั้นนอกจากจะได้เพลิดเพลินในการเดินชมสินค้าต่างๆ แล้ว ยังมีโอกาสได้ซื้อน้ำตาลอ้อยจากพ่อค้าที่นำมาขายในตลาดแห่งนี้ด้วย ซึ่งน้ำตาลอ้อย ถือว่าอยู่คู่กับวิถีชีวิตคนไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะขั้นตอนการทำน้ำตาลอ้อยนั้น ถือว่าน่าสนใจ เพราะขั้นตอนนั้นจะนำลำอ้อยมาหีบเอาน้ำอ้อยก่อนจากนั้นจึงนำมาเคี่ยวในกระทะใบบัวจนกว่าน้ำอ้อยจะเหนียวได้ที่จนมีสีน้ำตาลเข้ม แล้วนำมาหยอดลงพิมพ์ที่เตรียมไว้
ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" น้ำตาลอ้อยนอกจากจะถูกนำมาเป็นส่วนผสมของการทำขนมท้องถิ่นต่างๆ อาทิ นมเทียน ขนมเข่ง ขนมต้ม ข้าวเหนียวแดง ข้าวแต๋น และอื่นๆ แล้ว ยังพบว่าอาหารคาวต่างๆ ยังนำน้ำตาลอ้อยในการเพิ่มความหวานให้อร่อยกลมกล่อม อาทิ น้ำปลาหวานสะเดา ต้มฟักหวาน พะโล้ กวยจั๊บ และปลาตะเพียนต้มเค็ม ฯลฯ อีกด้วย...!!!
นายตะลอน