ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นคนที่โทรศัพท์มาคือคุณยางุจิ“สวัสดีครับ ยางุจิครับ ตอนนี้ผมมีเวลาสักห้าสิบนาทีเลยโทรมา เมื่อครู่ผมมีธุระเลยต้องวางสายไปทั้งๆที่ยังคุยค้างอยู่น่ะครับ“ดิฉันโทรไปหาพ่อแล้วน่ะค่ะ ดีจริงๆ ที่โทรไป ขอบคุณมากเลยนะคะ เพราะคุณยางุจิแท้ๆ”เอโกะเล่าเรื่องที่เธอคุยกับพ่อให้ฟังคร่าวๆ“อย่างนั้นเหรอครับ คุณตัดสินใจถูกต้องแล้วละครับที่แสดงความกล้าออกไป”“ดิฉันเคยคิดว่าปัญหาใหญ่ที่สุดคือการที่ยูติถูกเพื่อนแกล้งแต่จริงๆ แล้วคือการที่ดิฉันไม่ให้อภัยพ่อมานานหลายปีต่างหาก ยูตะช่วยให้ดิฉันได้ปรับความเข้าใจกับพ่อ ปัญหาของยูตะก็มีส่วนดีเหมือนกันนะคะ”“คุณเริ่มจะมองเห็นด้านดีจากปัญหาความทุกข์ในของยูตะแล้วสินะครับ”“มีกฎที่เรียกว่า “กฎของสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น” ครับ เมื่อเราเริ่มเข้าใจถึงสิ่งหนึ่ง เราก็จะเข้าใจอีกสิ่งหนึ่งตามมา ที่จริงแล้วทุกปัญหาในชีวิตที่เกิดขึ้นเพื่อทำให้เรารู้ซึ้งถึงความสำคัญของบางสิ่ง หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นต่างหาก นั่นหมายความว่า ปัญหาที่เราแก้ไขด้วยตนเองไม่ได้จะไม่มีวันเกิดขึ้น เราแก้ไขได้ทุกปัญหาและถ้าพยายามอย่างเอาใจใส่ มองโลกในแง่ดี เราจะนึกขอบคุณในภายหลังว่า “ดีแล้วที่เกิดปัญหานั้นขึ้น เพราะนั่นทำให้ฉัน ........”“จริงด้วยค่ะ แต่ปัญหาของยูตะยังไม่หมดไป ดิฉันเลยกังวลอยู่ค่ะ”“คุณคิดว่ายังไม่ได้แก้ปัญหาเลยสินะครับ แต่ไม่แน่นะ มันอาจจะกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ดีก็ได้ เพราะความรู้สึกของทุกคนเชื่อมโยงถึงกันอยู่ ถ้าแก้ไขที่ต้นเหตุได้แล้ว ผลลัพธ์ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป ถูกไหมครับ”“ปัญหาจะหมดไปจริงๆ หรือคะ”“ขึ้นอยู่กับคุณมากกว่า เอาละครับ ลองมาสรุปกันง่ายๆก่อน ความทุกข์ของคุณในตอนนี้ก็คือยูตะไม่ยอมเปิดใจให้ คุณเลยรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหน เป็นแม่ที่ช่วยลูกไม่ได้ และคุณก็ไม่อยากทุกข์ทรมานไปมากกว่านี้ ใช่ไหมครับ”“ค่ะ ใช่ค่ะ ลูกไม่เคยปรึกษาอะไรกับดิฉันเลย ทั้งที่ดิฉันอยากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ แต่แกก็ปฎิเสธว่า “อย่ามายุ่ง!” ยิ่งรู้ว่าลูกโดดเดียว ดิฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหน ไม่มีอะไรน่าทุกข์ใจไปกว่าการช่วยเหลือลูกตัวเองไม่ได้หรอกค่ะ”“ครับ จริงด้วยครับ ทีนี้คุณคงเข้าใจแล้วสินะครับว่านั่นคือความทุกข์ใจของใคร”“เอ๊ะ ของใครเหรอคะ ......”ตอนนั้นเองที่ใบหน้าของพ่อลอยขึ้นมา ใช่แล้ว! ความทุกข์ทรมานนี้เป็นสิ่งที่พ่อต้องทนมานานหลายปี ความทุกข์ที่ลูกสาวไม่ยอมเปิดใจให้ ความทุกข์ที่ถูกลูกสาวเกลียดมาโดยตลอด ความทุกข์ที่ไม่สามารถช่วยเหลือลูกได้ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ ...........นั่นเป็นความทุกข์เดียวกับที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้ พ่อทนทุกข์ทรมานกับมันมานานกว่า 20 ปีเชียวหรือน้ำตาไหลรินลงบนแก้มของเอโกะ“เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันได้รับรู้ถึงความทุกข์ที่พ่อเผชิญมาสินะคะ พ่อต้องทรมานมากถึงขนาดนี้นี่เอง ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมพ่อถึงร้องให้คร่ำครวญอย่างนั้น”“ปัญหาในชีวิตเกิดขึ้นเพื่อให้เราได้รู้ซึ้งถึงสิ่งสำคัญครับ”“ดิฉันเข้าใจความทุกข์ใจของพ่อแล้วค่ะ เพราะยูตะแท้ๆ ดิฉันถึงได้คิด เป็นเพราะยูตะไม่ยอมเปิดใจให้ดิฉันนี่เอง ......”“ทั้งลูกชาย คุณพ่อ และตัวคุณเองต่างมีความรู้สึกเชื่อมโยงกันอยู่ลึกๆ ยูตะเป็นเหมือนที่คุณเคยเป็น แล้วก็รู้สึกเหมือนที่คุณเคยรู้สึกครับ เหตุการณ์นี้เลยทำให้คุณได้คิด”“ดิฉนอยากขอบคุณยูตะค่ะ อยากบอกเขาว่า “ขอบคุณที่ทำให้แม่รู้ซึ้งถึงสิ่งสำคัญ” ที่ผ่านมาดิฉันบ่นลูกอยู่ในใจเสมอว่า ไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลย”“ตอนี้คุณเข้าใจยูตะแล้วใช่ไหมครับ”“ใช่ค่ะ! ตอนเป็นเด็ก ดิฉันไม่ชอบพ่อที่จู้จี้ขี้บ่น ไม่ชอบให้พ่อมายุ่งวุ่นวาย คิดดูแล้ว นั่นคงเป็นการแสดงความรักของพ่อ แต่ตอนนั้นดิฉันกลับรู้สึกว่าน่ารำคาญ ตอนนี้ยูตะคงรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ความรักที่ดิฉันพยายามหยิบยื่นให้กลับกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับยูตะไป”“จริงๆ แล้วตอนเด็กๆ คุณอยากให้พ่อเป็นยังไงครับ”“อยากให้พ่อไว้ใจดิฉันบ้างค่ะ อยากให้พ่อคิดว่า “ถ้าเป็นเอโกะละก็ต้องทำได้แน่ๆ!” ....ดิฉันเองก็คงไม่ไว้ใจยูตะละมังคะ คิดว่าถ้าไม่มีดิฉัน ลูกคงทำอะไรไม่ได้ ก็เลยถามโน่นถามนี่กับแก .... ดิฉันอยากไว้ใจลูกให้มากกว่านี้ค่ะ”“คุณเข้าใจความทุกข์ของพ่อ และความทุกข์ของยูตะแล้วใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกลับสามีนะครับ คุณจำเรื่องที่คุยกันได้เมื่อเช้าไหมครับ ที่ผมบอกว่า “สาเหตุที่ทำให้ยูตะลูกชายคนสำคัญของคุณถูกเพื่อนแกล้งก็คือการที่คุณเกลียดคนใกล้ตัว”“ค่ะจำได้ แล้วดิฉันก็บอกว่า ดิฉันไม่ได้เกลียดสามี แต่ก็ไม่ได้เคารพ”“ถ้าอย่างนั้นมีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณของสามีบ้างครับ ลองบอกผมได้ไหม”“ดิฉันมักคิดว่าสามีเป็นคนไม่มีการศึกษา หรือไม่ก็ไม่มีความคิด แม้แต่กับเรื่องของยูตะ ทั้งๆ ที่ดิฉันเป็นทุกข์มากแต่เขากลับมองเรื่องนี้ในแง่ดีไปเสีย ถึงดิฉันจะบ่นให้เขาฟังแต่ก็ไม่เคยปรึกษาเขาจริงๆ จังๆ ไม่เคยคิดจะฟังความคิดเห็นของเขาเลยค่ะ”ถึงตรงนี้เอโกะเริ่มคิดได้ว่า เธอมองสามีด้วยมุมมองที่คล้ายกับที่มองพ่อ“เหมือนกับที่ดิฉันมองพ่อของตัวเองเลยนะคะ”“ใช่แล้วครับ ส่วนใหญ่แล้ว ผู้หญิงมองพ่อของตัวเองอย่างไรก็จะมองสามีอย่างนั้น แต่เท่าที่ผมฟังมา ดูเหมือนสามีของคุณจะไว้ใจยูตะมากเลยนะครับ”“อ๊ะ! จริงด้วยค่ะ! ดิฉันน่าจะเอาอย่างสามีนะคะ ดูยูตะจะเล่าเรื่องต่างๆ ให้พ่อฟังเสมอ เป็นเพราะพ่อไว้ใจ ยูตะก็เลยเปิดใจกับพ่อ ดิฉันไม่เคยมองเห็นข้อดีนี้ของสามีเลยค่ะ”“เหรอครับ คุณคิดอย่างนั้นใช่ไหมครับ ทีนี้ผมจะให้การบ้านนะครับ จะทำหรือไม่ทำคุณต้องลองตัดสินใจดู เมื่อตอนบ่ายผมให้คุณเขียน “สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ” และ “สิ่งที่อยากขอโทษพ่อ” ตอนนี้ผมอยากให้คุณเขียนเพิ่มลงใไปให้มากที่สุด จะกี่แผ่นก็ได้ครับ”“พอเสร็จแล้วก็นำกระดาษมาอีกแผ่นแล้วเขียนหัวข้อว่า “ควรปฏิบัติตัวอย่างไรกับพ่อ” ไม่ใช่เขียนเพื่อสำนักผิดที่ทำไม่ดีกับพ่อนะครับ แต่เพื่อให้คุณค้นพบแนวทางในการปฏิบัติตัวกับสามี”“อีกอย่าง ตอนกลางคืน พอยูตะหลับสนิทแล้ว ขอให้คุณมองหน้าเขา และกระซิบในใจว่า “ขอบใจจ้า” ร้อยครั้ง ฟังแล้วอยากลองทำดูไหมครับ”“ค่ะ ดิฉันจะลองดู”หลังจากวางโทรศัพท์ได้ไม่นาน ยูตะก็กลับถึงบ้านยูตะกองกระเป๋าไว้ที่หน้าประตู หยิบถุงมือและลูกเบสบอลออกไปเล่นที่สวนสาธารณะเช่นเคย“เมื่อวานเพิ่งถูกเพื่อนไล่กลับมาแท้ๆ ยังจะไปสวนสาธารณะอีกเหรอ” จิตใจของเอโกะเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นกังวลมากไปกว่านี้ เอโกะจึงมุ่งทำการบ้าน มีหลายสิ่งที่เธอคิดได้ว่าควรจะขอบคุณพ่อ“สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ”- พ่อเป็นคนงานคุมการก่อสร้าง ทำงานเหน็ดเหนื่อย เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว- เมื่อตอนเป็นเด็ก ฉันมักเป็นไข้ตอนกลางคืน ทุกครั้งพ่อจะขับรถพาไปโรงพยาบาล (พ่อต้องทำงานใช้แรงงานในตอนกลางวัล เพราะฉะนั้นพ่อคงลำบากน่าดูที่ต้องนอนดึก)- เมื่อตอนเป็นเด็ก พ่อชอบพาไปทะเล และแม่น้ำ พ่อสอนให้ฉันว่ายน้ำเป็น- เมื่อตอนเป็นเด็ก ฉันชอบเมลอนมาก ทุกๆ ปีพอถึงวันเกิด พ่อจะซื้อเมลอนมาให้เป็นประจำ- เมื่อตอนเป็นเด็ก ฉันเคยถูกเด็กข้างบ้านแกล้ง พ่อจึงไปที่บ้านของเด็กคนนั้นเพื่อพูดกับพ่อแม่ของเขา- ฉันเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเอกชน พ่อออกค่าเล่าเรียนให้โดยไม่บ่นสักคำ (สำหรับครอบครัวเราในตอนนั้นถือเป็นภาระอันหนักหน่วง)- ตอนที่ฉันได้งานทำ พ่อสั่งซูชิมากินที่บ้าน (เป็นซูชิหรูหรา ราคาแพงมาก แต่ฉันกลับพูดไปว่า “ไม่ชอบกินซูชิ” พ่อจึงหงอยไป)- พ่อเปิดบัญชีให้ลูกๆ ทุกคน พร้อมทั้งบอกว่า “เผื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน” และนำเงินฝากเข้าบัญชีให้แม้จะไม่มากก็ตาม (พ่อพยายามจะยื่นสมุดบัญชีนั้นให้ฉันในวันก่อนวันแต่งงาน แต่ฉันบอกว่า “ไม่อยากเดินถือไปถือมา โอนเข้าบัญชีให้ดีกว่า” และไม่ยอมรับไว้ในตอนนั้น)“สิ่งที่อยากขอโทษ” ผุดขึ้นในสมองของเธออย่างต่อเนื่อง หลังจากเขียน “สิ่งที่อยากขอบคุณ” เธอเขียน “สิ่งที่ควรขอบคุณ และ “สิ่งที่อยากขอโทษ” พลางร้องให้“พ่อรักฉันมากขนาดนี้เชียวหรือ ถึงฉันจะดื้อแค่ไหน พ่อก็ยังรักฉันอยู่ เพราะมัวแต่ถือทิฐิไม่ยอมให้อภัย ฉันเลยไม่เคยรู้ถึงความรักนี้ และถึงแม้จะได้รับความรักจากพ่อมากแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่เคยทำอะไรให้พ่อเลย จะตอบแทนคุณสักครั้งก็ไม่เคย”
แต่แพรเชื่อในกฏนี้เหมือนกันน้า... จริงเนอะคะ =)