Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
19 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 

กฎแห่งกระจก A Rule of a Mirror <ตอนที่ 1>


ออกตัวก่อนว่าเรื่องนี้ไม่ได้แต่งขึ้นเอง แต่ได้รับ Forward Mail มาจากเพื่อนอีกที อ่านแล้วรู้สึกว่าดีมาก เลยเก็บมาให้ทุกคนได้อ่านกัน เนื้อเรื่อค่อนข้างยาวนะคะ ถือซะว่าอ่านนิยายดีๆซักเรื่องก็แล้วกันค่ะ

กฎแห่งกระจก A Rule of a Mirror
โดย โยชิโนริ โนงุจิ
"กฎมหัสจรรย์ที่จะช่วยแก้ไขทุกปัญหาในชีวิตของคุณ"

เอโกะ อาคิยามะ แม่บ้านอายุย่าง 41 ปี มีเรื่องกังวลใจอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือ ยูตะ ลูกชายของเธอที่กำลังจะขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ถูกเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้ง เพื่อนๆไม่ได้ใช้กำลังกับเขา เพียงแต่มักแสดงท่าทีรังเกียจ และมองว่าเขาเป็นตัวปัญหา

"ผมไม่ได้ถูกแกล้งสักหน่อย" ยูตะยืนกรานหนักแน่น เอโกะรู้สึกเจ็บปวดใจทุกครั้งที่เห็นลูกชายอยู่อย่างโดดเดี่ยว ยูตะชอบเล่นเบสบอลมาก แต่เพื่อนๆ ไม่ยอมชวนเขาไปเล่นด้วย หลังเลิกเรียนทุกวันเขาจึงต้องไปโยนรับลูกเบสบอลที่กำแพงคนเดียวที่สวนสาธารณะ

ยูตะเคยเล่นเบสบอลกับเพื่อนๆ เมื่อประมาณสองปีก่อน วันหนึ่งขนะที่เอโกะจ่ายตลาดเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน เธอเดินผ่านโรงเรียน และเห็นว่ายูตะกำลังเล่นเบสบอลกับเพื่อนอยู่ในสนาม ยูตะเล่นพลาดและเพื่อนๆ ก็กำลังรุมต่อว่าเขา เพื่อนร่วมทีมต่างตำหนิ
ยูตะเสียงดังอย่างไม่ไว้หน้า

"นายนี่เล่นห่วยจริงๆเลย!"
"เพราะนายนั่นแหละ เราถึงเสียไปตั้งสามแต้ม"
"ถ้าจะแพ้ก็เพราะนายนี่แหละ!"
เอโกะนึกในใจว่า
"ถึงยูตะจะเล่นไม่เก่ง แต่เขาก็มีจิตใจโอบอ้อมอารีนะ ยูตะเองก็มีข้อดีเหมือนกัน"

เอโกะนึกเจ็บใจแทนยูตะที่ไม่มีใครมองเห็นข้อดีของเขาเลย เธอยังทนไม่ได้ที่ต้องเห็นลูกยิ้ม และขอโทษเพื่อนๆ ทั้งที่พวกเขาพูดจาไม่ดีใส่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเพื่อนๆ ก็ไม่ชวนยูตะไปเล่นเบสบอลด้วยอีกเลย

"นายหน่ะเป็นตัวถ่วง ใครอยากจะเล่นด้วยหล่ะ" เพื่อนพูดกับเขาอย่างนั้น ยูตะทุกข์ใจมากที่ไม่มีใครชวนไปเล่นเบสบอลด้วย ซึ่งเอโกะก็รู้ดี เพราะสังเกตเห็นได้ว่ายูตะหงุดหงิดใส่เธอบ่อยขึ้น แต่ยูตะก็ไม่เคยบอกเอโกะว่าเขาเหงา หรือทุกข์ใจเลย

สำหรับเอโกะแล้วเรื่องที่เธอทุกข์ใจมากที่สุดก็คือ การที่ลูกชายไม่ยอมเปิดใจกับเธอ
"ผมไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย" ลูกชายของเธอยืนยันเช่นเดิม แม้เอโกะจะพยายามสอน "วิธีการคบเพื่อนอย่างชาญฉลาด" ให้ แต่เขาก็บอกปัดเสมอว่า "วุ่นวายจริงๆ เลย! อย่ามายุ่งได้มั๊ย" หรือเมื่อเธอเสนอกับลูกว่า "ย้ายโรงเรียนดีไหมจ๊ะ" ยูตะก็หัวเสียตอบกลับว่า "ถ้าแม่ทำอย่างนั้นนะผมจะโกรธแม่ไปชั่วชีวิตเลย คอยดู!" เอโกะได้แต่ทุกข์ใจที่ตัวเองไม่เอาไหน และเป็นที่พึ่งพิงให้ลูกชายไม่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้

วันหนึ่งยูตะอารมณ์เสียกลับมาบ้านหลังจากออกไปเล่นเบสบอลที่สวนสาธารณะคนเดียวเช่นเคย "เป็นอะไรไปหน่ะลูก" เอโกะถาม "ไม่มีอะไรหรอกฮะ" ยูตะไม่ยอมเล่าอะไร แต่แล้วความจริงก็เปิดเผยเมื่อเพื่อนบ้านที่ค่อนข้างสนิทกันโทรศัพท์มาหาเธอในคืนนั้น
"คุณเอโกะคะ ยูตะเล่าอะไรให้คุณฟังบ้างไหมคะ"
"เอ๊ะ ก็เปล่านี่คะ"
"คือว่าวันนี้ฉันพาลูกไปเล่นที่ชิงช้าที่สวนสาธารณะมาน่ะค่ะ แล้วก็เห็นยูตะกำลังเล่นเบสบอลอยู่คนเดียวเหมือนเคย จู่ๆ เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเจ็ดแปดคนก็เดินไปบอกกับยูตะว่า "เรากำลังจะไปเล่นดอดจ์บอลกันไปก่อนนะเพื่อน!" เท่านั้นยังไม่พอ เด็กคนหนึ่งยังขว้างลูกบอลใส่ยูตะด้วยค่ะ ยูตะเลยรีบกลับบ้านทันที ฉันเองก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตอนนั้นไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำยังไงดี"

เอโกะอึ้งไปชั่วขณะ "มีเรื่องขนาดนี้ ยูตะยังไม่ยอมเล่าให้ฟังเลย" เอโกะเสียใจที่ลูกไม่เปิดใจปรับทุกข์กับเธอ แต่ก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะเซ้าซี้ถามลูกในวันนั้น

วันต่อมาเอโกะตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาคนคนหนึ่ง คนคนนั้น คือ คุณยางุจิ รุ่นพี่ของสามีเธอ เอโกะไม่เคยคุยกับคุณยางุจิโดยตรง สามีของเธอเพิ่งจะให้นามบัตรของเขามาเมื่อสัปดาห์ก่อน

คุณยางุจิเป็นรุ่นพี่ในชมรมเคนโดเมื่อสมัยมัธยมปลายสามีของเธอไม่ได้พับกับเขามาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ทั้งสองมีเรื่องคุยกันหลายเรื่องหลังจากไม่ได้พบกันมานาน รู้ตัวอีกทีก็นั่งแช่อยู่ในร้านกาแฟนานกว่าสองชั่วโมง ปัจจุบันคุณยางุจิจำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ สามีของเธอเล่าว่า คุณยางุจิเชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและให้คำปรึกษาแก่ทั้งบริษัทและบุคคลทั่วไป สามีของเธอเล่าเรื่องของยูตะให้คุณยางุจิฟัง เขาจึงยื่นนามบัตรให้แล้วบอกว่า "ผมน่าจะช่วยได้นะ"

วันนั้นสามีบอกกับเธอว่า "คุณน่าจะลองโทร.ไปคุยกับเขาดูสิ ผมเกริ่นเอาไว้ให้แล้ว" พร้อมกับยื่นนามบัตรให้
"ทำไมฉันต้องโทร.ไปคุยกับคนที่ไม่รู้จักด้วยล่ะ คุณก็คุยไปคนเดียวสิ"
"คนที่น่าเป็นห่วงคือคุณนะ ผมเห็นคุณกังวลเรื่องยูตะมานานแล้ว ก็เลยปรึกษาคุณยางุจิดู"
"หมายความว่าปัญหาอยู่ที่ฉันอย่างนั้นเหรอ คนเป็นแม่จะเป็นห่วงลูกก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหนนี่! คุณนะได้แต่ขับรถไปวันๆ จะไปทุกข์ร้อนอะไรหล่ะ คนที่เลี้ยงยูตะก็มีแต่ฉันคนเดียวนี่แหละ คุณไม่เคยต้องเป็นห่วงหรอก ฉันไม่มีทางคุยกับเขาแน่นอน ถึงยังไงเขาก็คงไม่เคยเลี้ยงลูกอยู่แล้ว เหมือนคุณนั่นแหละ" พูดจบเอโกะก็โยนนามบัตรทิ้งไว้บนโต๊ะอาหาร

หนึ่งสัปดาห์ฝ่านไป หลังจากได้ฟังเรื่องที่เพื่อนบ้านเล่า เอโกะรู้สึกสิ้นหวัง เธออยากหาทางออกไปให้พ้นจากปัญหานี้เสียที "ฉันไม่อยากทุกข์ทรมานอีกแล้ว ใครก็ได้ช่วยฉันที" แล้วเธอก็นึกถึงคุณยางุจิขึ้นมา โชคดีที่เธอหานามบัตรของเขาพบ หลังจากที่ยูตะออกไปโรงเรียนได้ชั่วโมงหนึ่ง เธอจึงโทรศัพท์ไปหาคุณยางุจิ แล้วในวันนั้นเธอก็ได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

โอเปอเรเตอร์สาวต่อสายของเธอให้คุณยางุจิ
เอโกะแนะนำตัวเอง เสียงของคุณยางุจิที่ดังมาตามสายฟังดูอารมณ์ดี เธออดคิดไม่ได้ว่า "ปรึกษาเรื่องเล็กๆ น้อยๆแบบนี้จะดีหรือ" เธออ้ำอึ้งไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรจนกระทั่งคุณยางุจิเอ่ยว่า "ไม่ทราบว่าใช่ภรรยาของคุณอาคิยามะหรือเปล่าครับ"
"ค่ะ ใช่แล้วค่ะ"
"อ้อ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
"เอ่อ คือสามีดิฉันเล่าให้คุณฟังบ้างแล้วหรือยังคะ"
"ครับ เขาเกริ่นให้ผมฟังว่าคุณกังวลเรื่องลูกชายอยู่..."
"ไม่ทราบว่าพอจะให้คำปรึกษาดิฉันหน่อยได้ไหมคะ"
"ตอนนี้ผมมีเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ถ้าคุณสะดวก เล่าให้ผมฟังเลยได้ไหมครับ"
เอโกะจึงเล่าคร่าวๆ ถึงเรื่องที่ยูตะถูกเพื่อนแกล้งและไม่มีใครเล่นด้วย รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานหลังจากฟังเธอเล่าจบ คุณยางุจิก็เอ่ยขึ้นว่า
"คุณคงกังวลใจมากเลยซินะครับ ไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจได้เท่าเรื่องลูกอีกแล้ว" พอได้ยินคำนั้นเอโกะก็น้ำตาคลอ คุณยางุจิรู้สึกว่าเอโกะกำลังร้องให้ จึงรอให้เธอสงบสติอารมณ์ก่อน แล้วจึงพูดต่อ
"คุณครับ คุณต้องการแก้ปัญหานี้ให้ได้จริงๆ ใช่ไหม เราน่าจะหาทางแก้ไขได้นะครับ"
เอโกะแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำว่า "แก้ไข" เพราะเธอกลุ้มใจเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว เธออยากแก้ปัญหาให้ได้จริงๆ ตามที่คุณยางุจิพูด
"ถ้ามันช่วยได้แน่ๆ ดิฉันก็ยินดีทำตามทุกอย่างเลยค่ะ ดิฉันตั้งใจจริงนะคะ แต่ว่าต้องทำยังไงบ้างเหรอคะ"
"ถ้าอย่างนั้นเรามาช่วยกันหาทางแก้เถอะครับ ในตอนนี้เท่าที่ผมรู้คือ คุณกำลังเกลียดใครบางคนไกล้ตัว"
"เอ๊ะ หมายความว่ายังไงคะ"
"ผมคงพูดข้ามไปหน่อย ความจริงผมควรอธิบายหลักการคร่าวๆ ให้คุณฟังก่อน แต่ว่าตอนนี้ผมมีเวลาไม่มาก เอาเป็นว่าขอพูดสรุปเลยแล้วกันนะครับ ที่ลูกชายคนสำคัญของคุณถูกเพื่อนแกล้งจนคุณต้องกังวลใจนั้น ก็เพราะคุณไม่เคยนึกขอบคุณ คนที่ควรจะขอบคุณเลย ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ คุณยังรู้สึกเกลียดชังคนเหล่านั้นตลอดมาด้วย"

"ลูกถูกเพื่อนแกล้งกับปัญหาส่วนตัวของดิฉันมันเกี่ยวข้องกันได้ยังไงคะ ฟังเหมือนเป็นความเชื่อทางศาสนามากกว่านะคะ"
"ไม่แปลกที่จะคิดอย่างนั้นครับ โรงเรียนมักสอนให้เราเชื่อเฉพาะสิ่งที่พิสูจน์ได้ แต่สิ่งที่ผมบอกไปเมื่อครู่ เป็นกฎในสาขาวิชาจิตวิทยาที่ได้รับการค้นพบมานานแล้ว จะนึกว่าเป็นเรื่องทำนองเดียวกันกับความเชื่อทางศาสนาที่มีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ก็ได้ครับ ไม่เป็นไร แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่นับถือศาสนาอะไรนะครับ"

"ช่วยอธิบายกฎนั้นให้ดิฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ"
"ได้ซิครับ กฎนั้นก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ "ผลลัพธ์" เมื่อมี "ผลลัพธ์" ก็ต้องมี "ต้นเหตุ" และต้นเหตุก็มีที่มาจากจิตใจของเราเอง หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต คือ กระจกส่องสะท้อนจิตใจของเราเอง ตัวอย่างเช่น เวลาส่องกระจกเราก็จะเห็นว่า "เอ๊ะ ผมยุ่งเชียว" หรือ "อะไรกันทำไมวันนี้หน้าตาถึงได้ซีดเซียวขนาดนี้" ถ้าไม่มีกระจก เราก็มองไม่เห็นสภาพของตัวเอง จริงไหมครับ ลองคิดว่าชีวิตของคุณคือกระจก การมีกระจกที่เรียกว่าชีวิตจะทำให้เรามองเห็นสภาพของตัวเอง และเกิดแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ชีวิตของคนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดครับ"

"สิ่งที่ดิฉันกังวลอยู่ตอนนี้สะท้อนให้เห็นอะไรเหรอคะ"
"ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือ "ลูกชายคนสำคัญของคุณกำลังเป็นทุกข์เพราะถูกเพื่อนแกล้ง" ต้นเหตุที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ คุณ "กำลังเกลียดคนที่ควรจะให้ความสำคัญ" คุณคิดแบบนั้นบ้างหรือเปล่าครับ อย่างเช่นว่า เกลียดคนที่คุณควรจะต้องสำนึกขอบคุณ หรือไม่ก็เกลียดคนไกล้ตัว คุณเกลียดสามีอยู่หรือเปล่าครับ ในเมื่อเขาอยู่ไกล้ชิตคุณมากที่สุด"
"ไม่นี่คะ ดิฉันนึกของคุณเขาเสียด้วยซ้ำ เขาขยันทำงานขับรถบรรทุกเพื่อให้เรามีอยู่มีกินอย่างทุกวันนี้"
"ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วครับ แล้วคุณให้ความสำคัญกับสามีคุณมากน้อยแค่ไหนครับ เคารพเขาไหม"
เอโกะสะดุ้งเมื่อได้ยินคำว่า "เคารพ" เพราะเธอรู้สึกดูแคลนสามีอยู่ตลอดเวลา
เอโกะมองว่าคนที่มองโลกในแง่ดีอย่างสามี คือ คนที่ "ไม่มีความคิด" และบางครั้งยังมองว่า "ไม่มีการศึกษา" อีกด้วย
เอโกะเรียนจบมหาวิทยาลับ แต่สามีจบชั้นมัธยมปลาย ไม่เพียงเท่านั้น สามีของเธอยังเป็นคนพูดจากระด้าง ชอบอ่านแต่นิตยสารรายสัปดาห์ ส่วนเอโกะชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจเธอจึงคิดอยู่เสมอว่า "ขออย่าให้ยูตะเป็นเหมือนสามีเลย"

แล้วเอโกะก็เล่าให้คุณยางุจิฟังว่าเธอคิดอย่างไร
"คุณคิดว่าคุณค่าของคนขึ้นอยู่กับการศึกษา ความรู้ หรือไม่ก็ความคิด หรือเปล่าครับ"
"ไม่ค่ะ ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ดิฉันคิดว่าทุกคนต่างก็มีจุดเด่นและความสามารถเฉพาะตัว"
"ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงดูถูกสามีว่า "ไม่มีความรู้" ละครับ"
"เอ่อ...ดิฉันมีความขัดแย้งในตัวเองใช่ไหมคะนี่"
"แล้วความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับสามีเป็นยังไงบ้างครับ"
"ดิฉันมักจะไม่พอใจพฤติกรรมกับคำพูดของเขาอยู่บ่อยๆ ค่ะ บางทีก็ถึงขั้นทะเลาะกัน"
"แล้วเรื่องของยูตะละครับ สามีคุณว่ายังไงบ้าง"
"ดิฉันบ่นกับเขาเรื่องที่ยูตะถูกเพื่อนแกล้งอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ก็ไม่เคยรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำจากเขาเลย เราไม่เคยปรึกษากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวสักที คงเป็นเพราะดิฉันไม่ยอมรับสามีน่ะค่ะ"
"อย่างนี้นี่เอง แต่ดูเหมือนจะมีสาเหตุอื่นด้วยนะครับ ผมว่าเราควรแก้ปัญหานั้นก่อนแล้วค่อยกลับมาดูเรื่องนี้กันอีกทีดีกว่าครับ"

"สาเหตุอื่นเหรอคะ"
"เราต้องหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้คุณไม่ยอมรับในตัวสามีครับ ผมขอถามหน่อยครับ คุณสำนักบุญคุณของพ่อบ้างหรือเปล่า"
"เอ๊ะ พ่อหรือคะ ก็ต้องสำนึกคะ........"
"ลึกๆ แล้วคุณรู้สึกว่าท่านทำสิ่งที่คุณ ให้อภัยไม่ได้บ้างไหมครับ"
เอโกะรู้สึกว่ามีบางอย่างสะกิดใจเธอเมื่อได้ยินคำว่า "ให้อภัยไม่ได้"
เธอเริ่มคิดว่าตัวเองอาจไม่เคยให้อภัยพ่อเลย เธอรู้สึกสำนึกบุญคุณพ่อในฐานะที่ท่านเป็นพ่อ แต่เธอไม่ได้รักพ่อ
ทุกๆ ปีนับแต่แต่งงานออกไป เอโกะจะกลับบ้านช่วงเทศกาลเซ่นไหว้บรรพบุรุษและวันปีใหม่ แต่เธอก็แทบไม่คุยกับพ่อ แค่ทักทายตามมารยาทเท่านั้น เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต เธอรู้สึกว่าพ่อเป็นคนอื่นมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว
"ดิฉันคงไม่เคยให้อภัยพ่อเลยน่ะค่ะ และก็คงจะทำไม่ได้ด้วย"
"เหรอครับ ดูเหมือนยากที่คุณจะให้อภัยท่าน แต่จะลองพยายามดูได้ไหมครับ"
"ต้นเหตุของความทุกข์นี้เกี่ยวข้องกับพ่อและสามีของฉันจริงๆ หรือคะ"
"คุณต้องลองก่อนถึงจะรู้ครับ
"เข้าใจแล้วค่ะ บอกมาได้เลยค่ะว่าดิฉันต้องทำอะไรบ้าง"





 

Create Date : 19 ธันวาคม 2551
5 comments
Last Update : 20 ธันวาคม 2551 12:56:17 น.
Counter : 993 Pageviews.

 

อยากอ่านต่ออ่าค่า ลงแล้วบอกด้วยนะค๊า

 

โดย: Nufufine 19 ธันวาคม 2551 21:59:39 น.  

 

แวะมาเยี่ยมจ้า

 

โดย: คุณนายเหรียญบาท 20 ธันวาคม 2551 12:20:42 น.  

 

น่าติดตามมากๆค่ะ เพราะส่วนตัวเชื่อเรื่องประมาณที่นักจิตวิทยาอธิบายมาค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับความรู้ดีๆ

 

โดย: I+am+With+You IP: 222.123.223.23 16 มกราคม 2552 21:50:41 น.  

 

เคยอ่านแร้ว
น้ำตาซึมเลยตอนที่แม่คุยกะพ่ออะ

 

โดย: devil_emiii IP: 210.1.3.18 22 มกราคม 2552 15:56:52 น.  

 

อยากรู้ว่าหนังสือเล่มนี้ พิมพ์ที่สำนักพิมพ์ไหน

 

โดย: รีศา IP: 202.29.33.202 10 ตุลาคม 2557 13:30:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Ratitu
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฝากคอมเม้นท์ไว้ เพื่อเป็นกำลังใจให้เจ้าของบ้านด้วยนะคะ
Friends' blogs
[Add Ratitu's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.