|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
3 เดือนแห่งความทรมาน
ห่างหายจากการเขียนบล๊อกไปนานด้วยความขี้เกียจ วันนี้ขอชดเชยซักหน่อยแล้วกัน ตั้งใจว่าจะเขียนบล๊อกไปตลอดเหมือนเป็น Diary บันทึกความทรงจำ (เพราะความทรงจำสั้นมาก) แต่ก็แพ้ความขี้่เกียจจนได้ ทิ้งไว้ซะนานเลย วันนี้มีเวลาต้องรีบเขียนซะหน่อย เดี๋ยวจะนานเนิ่นเกินไปซะอีก
ก่อนอื่นขอสารภาพเลยว่าเหตุผลแรกที่หยุดเขียนบล๊อกก็มาจากอาการแพ้ท้องที่ไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา...ก็คือแพ้ทางจิตใจไม่ใช่ร่างกาย
3 เดือนแห่งความทรมาน(ทางใจ) ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลจากความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย หรือฮอร์โมน หรืออะไรก็ตามแต่
และเพราะความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ทำให้จิตใจของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากที่เคยสดใส ร่าเริง หัวเราะ ยิ้ม กลับกลายเป็นความเคลียด ความวิตกกังวล ความหดหู่ ท้อแท้ คิดถึงบ้าน
แต่มันเป็นอาการที่ไม่ธรรมดาถึงขนาดบางครั้งนอนร้องให้อย่างไม่มีเหตุผล(แต่ไม่กล้าให้แฟนเห็นนะกลัวเขาตกใจ) ช่วงนี้อารมณ์เปลี่ยนง่ายมากๆ จากแค่ซึมๆ เปลี่ยนเป็นโกรธอย่างแรงได้ในชั่ววินาที บางครั้งก็โกรธคนอื่นที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองเลย
เห็นคนคุยกันเสียงดังบนรถไฟฟ้าก็รำคาญ บางคนนั่งหลับแล้วหัวเขามาไกล้ๆเรา เราก็เอานิ้วทิ่มแขนให้เขาตื่น(ใจร้ายไหม) บางคนแอบกินอาหารบนรถเราก็อยากจะด่า เห็นอะไรเป็นขัดหูขัดตาไปหมด เหมือนหมาบ้าเลย อยากมีเรื่องอยากทะเลาะกับเขาไปทั่ว
แต่อย่าพึ่งตกใจนะคะเพราะเราห้ามตัวเองได้ค่ะมันเป็นแค่ความคิดข้างในเท่านั้นเอง จริงๆแล้วเราก็นั่งเฉยๆ ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกับใครเขาหรอกนะคะ (นอกจากสามี อันนี้ไม่ต้องยั้ง )
คิดถึงบ้าน เราเกิดอาการคิดถึงบ้านมาก มากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เราไม่ใช่คนที่โตมาโดยอยู่กับครอบครัวตลอดเวลา
แต่เราออกไปใช้ชีวิตอยู่ที่หอพักตั้งแต่จบ ม.3 เพราะต้องไปเรียนไกลบ้าน จนกระทั่งเรียนจบมาทำงานก็ได้อยู่แต่หอพักมาตลอด เพราะฉะนั้นเราจะเคยชินกับการต้องอยู่ห่างบ้านอย่างนี้อยู่แล้ว
พอย้ายมาอยู่ต่างประเทศกับสามีก็มีความสุขดีไม่มีความทุกข์อะไร แต่พอตั้งท้องเท่านั้นแหละ เกิดอาการคิดถึงบ้านมากๆ คิดถึงพ่อกับแม่ที่สุด คิดถึงวิถีชีวิตแบบไทยๆ การกินอยู่อย่างไทยๆ อยากกินแต่อาหารที่ปรุงแบบไทย
จากที่เคยกินอาหารฝีมือแม่สามีแล้วบอกว่าอร่อยก็เปลี่ยนเป็นตินู่นตินี่ ไม่ยอมกินจนแม่สามีเลิกทำกับข้าวให้เราไปเลย (แต่เปลี่ยนเป็นหั่นหมูหั่นผัก เตรียมการทุกอย่างไว้ให้ แล้วพอเราเลิกงานมาก็ปรุงเอาเอง เราถึงจะกินได้)
แม่เรายังแปลกใจว่าทำไมเราถึงคิดถึงบ้านหนักขนาดนี้ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนสามีทนไม่ไหวเลยจองตั๋วเครื่องบินให้พ่อกับแม่มาหาเราที่สิงคโปร์ ทำให้อาการเราดีขึ้นมาก
เหม็น อีกเรื่องที่เปลี่ยนไปอย่างมากคือประสาทรับรู้กลิ่น เหม็นไปซะทุกอย่างเลยเริ่มตั้งแต่กลิ่นอาหารแบบที่คุณแม่ท่านอื่นๆ เขาเป็นกัน จากอาหารที่เคยชอบ เคยกินได้
กลายเป็นของเหม็นไม่น่าแตะต้อง ข้าวปลานี่กินแทบไม่ลงเพราะเหม็นไปหมด จะกินได้บ้างก็พวกเบเกอรี่ และผลไม้ ท้อง 3 เดือนน้ำหนักลดลงไป 3 กิโล (จาก 45 ลงมาเหลือแค่ 42) ร่างกายเหี่ยวแห้งเหมือนไม้เสียบไก่ หน้าตาก็ซีดเซียว แถมยังขี้หงุดหงิดอีก
แม่..หนูเกลียดผู้ชาย อีกกลิ่นที่ทำให้เป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมากก็คือ "เหม็นกลิ่นผู้ชาย" เราจะรับรู้กลิ่นผู้ชายได้ไวมาก ขนาดมีคนเดินผ่านด้านหลังเรา เรายังรู้เลยว่ามนุษย์ตนนั้นเป็นผู้ชาย (จมูกดียังกับสุนัขตำรวจ)
ขนาดเขาไม่ได้เข้ามาไกล้ๆ เรา อยู่ห่างกันเป็นเมตรสองเมตร ยังได้กลิ่นเลย ทั้งกลิ่นธรรมชาติของผู้ชาย(ซึ่งปรกติก็ไม่เหม็น) และกลิ่นตัว(ซึ่งเป็นกลิ่นไม่พึงปราถนา) จะรู้สึกเหม็นมากกกก แต่มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเราต้องไปทำงานโดยรถไฟฟ้า
บางวันเหมือนถูกฟ้ากลั่นแกล้งพอเราเดินเข้าไปในรถช่วงเวลาเลิกงานซึ่งคนก็แน่นมากอยู่แล้ว แต่ความซวยมาเยือนเพราะผู้คนรอบข้างเป็นผู้ชายทั้งหมด พระเจ้า!!! จะถอยหลังกลับก็ถูกผู้โดยสารที่เดินตามหลัง(ซึ่งเป็นผู้ชายอีกแล้ว)ดันกลับเข้าไปในรถ อยากจะร้องให้เลยน้ำตาตกในจริงๆ ทรมานจริงๆ นี่มันนรกชัดๆ
เล่าให้แฟนฟังเขาก็ได้แต่หัวเราะเห็นเป็นเรื่องขำๆ จนเขาคิดขึ้นมาได้นั่นแหละว่าตัวเองก็เป็นผู้ชาย เลยถามเราว่าเราเหม็นเขาด้วยหรือเปล่า แรกๆ เราก็ไม่อยากบอกความจริงกลัวเขาเสียใจ แต่พอโดนถามบ่อยๆ เข้าก็เลยบอกความจริงว่าเราเหม็นเขาเหมือนกัน คำตอบนี้ให้เขาน้ำตาตกเลย
เขาเองก็คงเสียใจและก็คงจะกดดันมากเหมือนกันกับเราแต่เขาไม่เคยแสดงออก เพราะตั้งแต่เราท้องเราก็เปลี่ยนไปมาก ทั้งขี้หงุดหงิด โวยวาย โกรธง่าย เอาแต่ใจ และไม่อยากให้เขาเข้าไกล้ ไม่ให้มาวุ่นวาย แต่เขาก็พยายามใจเย็นๆ เอาอกเอาใจพยายามทำให้เรารู้ผ่อนคลาย เพราะเขารู้และเข้าใจว่ามันเป็นอาการปรกติของคนตั้งท้อง
แต่ในใจลึกๆ ก็คงกดดันมาอยู่เหมือนกันถึงได้ร้องให้ออกมา เรารู้สึกสงสารเขาจับใจ และนั่นก็เป็นอีกหนึ่งแรงที่ช่วยให้เราปรับตัวเองให้เย็นลงไปได้มาก
โรคซึมเศร้าจากการตั้งครรภ์ ความจริงเราก็พยายามปรับตัวอยู่ตลอดเวลาเพราะรู้ว่าความเคลียดไม่ดีต่อแม่และเด็กในท้อง พยายามไม่เคลียด ไม่คิดมาก พยายามผ่อนคลาย แต่มันก็ทำได้ยากมาก มันเหมือนอยู่ๆ ก็โดนหินก้อนใหญ่ๆตกลงมากดทับเราไว้ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย (พยายามคิดให้เป็นภาพการ์ตูนนะคะ)
ซึมเศร้าจนแทบจะนึกไม่ออกว่าความรู้สึกมีสุขจนทำให้คนเรายิ้มได้นี่เป็นยังไงนะ เราเคยอ่านเจอแต่คุณแม่ที่ซึมเศร้าช่วงหลังคลอดอันนั้นก็พอเข้าใจ แต่ของเรามันเป็นตั้งแต่ช่วยแรกของการตั้งครรภ์เลย
เราเป็นอีกคนที่ตั้งท้องปรกติ คือไม่ได้มีความกดดันเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ หรือว่ามีปัญหาทางครอบครัวใดๆ เลย เราเป็นเพศแม่ที่อยากมีลูกซึ่งก็ธรรมดา ไม่ได้ตั้งความหวังมากเกินไป ไม่ได้รอคอยแบบใจจดใจจ่อ ก่อนตั้งท้องเราก็ปรกติดีทุกอย่าง แต่อาการมันเกิดขึ้นเองในช่วงแรกของการตั้งครรภ์
เราเลยตั้งชื่อโรคให้ตัวเองว่า "โรคซึมเศร้าจากการตั้งครรภ์" และเราเชื่อเสมอว่าอาการแบบนี้มันจะหายไปเองได้เมื่อถึงเวลาอันสมควร
Create Date : 16 มิถุนายน 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 17 มิถุนายน 2552 12:32:08 น. |
Counter : 1024 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สามเดือนแรกมันทรมานจริงๆแหล่ะ พี่ทรมานถึงเดือนที่สี่เลย ขนาดไม่ได้แพ้อะไรมาก แต่พะอืดพะอมไปหมด (แต่กินได้จนทำน้ำหนักไปเยอะ)
พอคลอดลูกมาแล้ว สามเดือนแรกก็ทรมานอีก เฮ้อ
มาเป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆๆ