<<
กรกฏาคม 2560
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
4 กรกฏาคม 2560
 

ใต้จันทร์เต็มดวง

ใต้จันทร์เต็มดวง

“วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง...”

เสียงเพลงคุ้นหูที่ได้ยินเป็นประจำทุกปีเมื่อถึงวันลอยกระทงดังแว่วลอยตามลมมาจากเครื่องขยายเสียงในบริเวณวัด มันช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความรื่นเริงและปลุกเร้าให้ความรู้สึกสนุกครื้นเครงเริ่มทำงานแตกต่างจากค่ำคืนปกติ

ดวงจันทร์นวลลูกกลมโตลอยเด่นค้างเติ่งอยู่กับฟ้าสีดำ มันโผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อนเพื่อเฝ้ามองบรรยากาศแห่งความสุขเบื้องล่าง เหล่าหนุ่มสาวที่จับกลุ่มกันเดินทางมาร่วมงานต่างก็ถือกระทงรูปทรงสวยงามไว้ในมือเพื่อนำมันไปลอยบูชาและขอขมาแก่พระแม่คงคาตามประเพณีที่มีมาแต่โบราณ

มันเป็นคืนที่ผืนน้ำดำมืดจะถูกแตะแต้มไปด้วยแสงเทียนจนสว่างไสว เป็นคืนที่จะเห็นเหล่าเด็กน้อยลอยคออยู่ในแม่น้ำลำคลองด้วยหน้าตาแช่มชื่น

ผมยืนอยู่ที่ริมตลิ่ง ปรายตามองลอดช่องรั้วเหล็กดัดเข้าในยังอาณาบริเวณวัด มันคราคร่ำไปด้วยผู้คนและแสงไฟไม่ต่างจากปีก่อน ผู้คนยังคงทยอยกันเดินทางมาไม่ขาดสาย

กระทงกระดาษสีสวย กระทงใบตอง กระทงขนมปัง ต่างคนต่างก็นำมันมาด้วยวิธีการตามแต่ที่ตนเองสะดวก บ้างก็ตัดต้นกล้วยเพื่อนำลำต้นและใบตองมาทำเองตอนเช้า คนที่ไม่ค่อยมีเวลาก็จะหาซื้อเอาจากหน้าวัดหรือระหว่างที่เดินทางมา

รอยยิ้มเกลื่อนไปทั่ว เสียงหัวเราะเฮฮาดังอยู่ทั่วไป ไม่ว่าใครต่างก็หน้าชื่นตาบานกันถ้วนทั่ว แต่อารมณ์ผมกลับเป็นตรงกันข้าม เสียงถอนหายใจหนักดังออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อหนึ่งปีที่แล้วผมก็เคยอยู่ตรงนั้น ผมและเธอยังจูงมือกันมาร่วมงานเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

ภาพยังติดตรึงอยู่ในใจราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เสียงใสเจื้อยแจ้วยังดังอยู่ในโสตประสาทอยู่ไม่เลือนหาย

“โห ทำไมคนเยอะจัง เนี่ย บอกแล้วว่าให้รีบออกมา เห็นมั้ย ออกสายคนเลยเยอะขนาดนี้ ต้องเดินเบียดกันยังกับปลากระป๋องแน่ะ”

ผมยิ้ม เธอบ่นไปอย่างนั้นเอง เพราะความจริงแล้วทั้งหน้าตาและน้ำเสียงที่แสดงออกเหมือนจะดีใจและตื่นเต้นที่ได้มาเที่ยวตอนคนเยอะๆ มากกว่า

“ไปลอยกระทงกันก่อนดีกว่า จะได้ไม่ต้องถือเดินไปไหนมาไหน เดี๋ยวพังหมด มาจุดธูปเทียนให้เรียบร้อยก่อน ตอนไปรอที่ท่าเรือจะได้ไม่ต้องรีบ”

เสียงเพลงที่บรรเลงโดยใช้เครื่องดนตรีไทยให้เหมาะกับงานเทศกาลแบบไทยๆ ส่งเสียงดังจนกระทั่งต้องตะโกนคุยกัน ผมล้วงไฟแช็คออกจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะจ่อเปลวไฟที่ธูปและเทียนบนกระทงของพวกเราทั้งสอง

“เอามือป้องไว้สิ ลมแรง เดี๋ยวเทียนก็ดับหรอก”

เธอแนะนำพลางเอามือป้องเทียนให้ดูเป็นตัวอย่าง ผมทำตามอย่างว่าง่าย เราค่อยๆ แทรกกายเบียดเสียดฝูงชนที่แน่นขนัดเพื่อเข้าไปให้ถึงท่าน้ำซึ่งเป็นจุดที่ทางวัดจัดให้ลอยกระทงกัน ไม่น่าเชื่อว่าแค่ออกมาสายหน่อยเดียวคนจะมากขนาดนี้

แม้อากาศในช่วงต้นฤดูหนาวแบบนี้จะค่อนข้างสบายตัว แต่การที่ต้องมาอยู่ในฝูงชนแบบนี้ก็ทำเอาผมเริ่มเหงื่อซึมออกมา ผมหันไปมองเธอเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เธอก็ทำแบบเดียวกันกับผม แสงสีส้มจากเปลวเทียนยิ่งขับให้ผิวหน้านวลผ่องขึ้น เธอคลี่ยิ้มออกมา หัวใจผมเต้นแรงก่อนจะยิ้มตอบให้เธอ

“นี่ ถือดีๆ นะ ตั้งให้ตรงๆ เดี๋ยวธูปจะไปโดนคนอื่น”

ท้องน้ำที่ปกติจะสะท้อนเพียงความมืดและความเงียบเชียบออกมาในยามค่ำคืน ขณะนี้มันเต็มไปด้วยแสงสีส้มดวงน้อยๆ นับไม่ถ้วนราวกับเหล่าดวงดาวที่แตะแต้มอยู่บนผืนฟ้า เรือไฟที่ประดับด้วยหลอดนีออนหลากสีแล่นเอื่อยเฉื่อยผ่านมา ผมอดยิ้มตามออกมาไม่ได้เมื่อเห็นเธอกำลังหลงใหลไปกับความงดงามตรงหน้า

“ว้าย”

รู้สึกได้ถึงแรงดันจากด้านหลัง ผู้คนเบียดเสียดกันมากขึ้นไปอีก วัดแห่งนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งในย่านนี้ที่มีท่าน้ำ ดังนั้น ในเทศกาลนี้จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องแห่แหนกันมาที่นี่ แต่น่าแปลกใจที่ว่าปีนี้คนมากันมากจริงๆ

พวกเราปล่อยกระทงให้อยู่ในโอบกอดของพระแม่คงคา เธอพนมมือและหลับตาเพื่อตั้งจิตอธิษฐานอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่ได้ทำเพราะมัวแต่มองดวงหน้าของเธอจนลืมตัว เธอลืมตาขึ้นและหันมามองทางผม

“เอ๊ะ มองอะไร เอามือตีน้ำออกไปสิ กระทงจะได้ลอยไปไกลๆ ชีวิตจะได้ก้าวไกลรุ่งโรจน์ไง”

ดูเหมือนจะเขินอายที่รู้ว่าถูกลองมอง เลยแสร้งเฉไฉเปลี่ยนเรื่องไปแบบนั้น ผมใช้มือดันน้ำออกให้เป็นระลอกหวังให้กระทงลอยออกไปอย่างที่เธอต้องการ

“อ๊ะ มันลอยออกจากกันแล้ว ทำยังไงดี”

น้ำเสียงกระเง้ากระงอดดังก้องอยู่ในหู สองมือของเธอเกาะอยู่ที่ต้นแขนและเขย่าจนผมคลอนไปทั้งตัว มันเบียดกันเกินไปรึเปล่านะ ใช่ มันเบียดเสียดแออัดเกินไปจริงๆ ความรู้สึกบางอย่างบอกกับผมแบบนั้น ในใจนึกกังวลอะไรบางอย่างที่ผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร

“นี่ รู้รึเปล่า ถ้ากระทงของแฟนกันลอยไปด้วยกัน ทั้งคู่จะได้ครองรัก อยู่กินกันจนแก่เฒ่า มีความสุขตลอดไป”

ประโยคที่เธอพูดเมื่อตอนก่อนหัวค่ำผุดขึ้นมาในหัวสมอง สายตาจับจ้องกระทงที่พวกเราเพิ่งปล่อยมันออกไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน มันกำลังค่อยๆ เคลื่อนห่างออกจากกันเรื่อยๆ ด้านหลังดันเข้ามาแรงขึ้น อากาศร้อนอบอ้าวจนรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว เสียงจอแจจับใจความไม่ได้ดังทั่วไปหมด หัวใจเต้นรัวแรงแบบไม่ทราบสาเหตุ

“ไปกันเถอะ”

ผมคว้ามือเธอให้ลุกขึ้น พยายามเบียดเสียดฝูงชนที่กำลังทะลักเข้ามาเพื่อจับจองพื้นที่ริมน้ำ ดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจว่าผมกำลังทำอะไร แววตาคู่งามบอกอย่างนั้น ไม่เป็นไร ไว้ออกจากตรงนี้ไปก่อนผมค่อยอธิบายให้ฟังทีหลัง

ทว่าก่อนที่จะได้ทำอย่างนั้น สิ่งเลวร้ายก็เกิดขึ้น ลางสังหรณ์ของผมถูกต้อง ผู้คนตอนนี้มากเกินไปจริงๆ มากเกินกว่าที่ท่าน้ำเล็กๆ แบบนี้จะรับน้ำหนักได้ไหว มันเทเอียงก่อนจะจมลงใต้ผืนน้ำ ร่างของคนที่ยืนอยู่ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ผมใจหาย รวดเร็วจนจับต้นชนปลายไม่ถูก

ครืน ตูม ซ่า

“ว๊าย”

“กรี๊ด”

ได้ยินแบบขาดๆ หายๆ เสียงกรีดร้องตื่นตระหนกดังระงมไปทั่วจากทุกทิศทุกทาง ผมพยายามเพ่งกวาดสายตาไปทั่วภายใต้ผืนน้ำดำทะมึน เธอป่ายมือเปะปะอย่างตื่นตระหนกอย่างคนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผมถีบเท้าพุ่งตัวออกไปหมายความร่างนั้นไว้ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจทำได้ เกลียวน้ำทรงพลังดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างให้จมดิ่งลึกลงไปอย่างรวดเร็ว

ฟองอากาศ ผู้คนเปะปะ แสงไฟเบื้องบนผิวน้ำ ตะกอนขุ่นมัวลอยฟุ้ง ร่างกายลอยคว้าง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป และเมื่อเหตุการณ์สงบลง เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย ผมก็มายืนอยู่ที่ริมตลิ่งแห่งนี้ แต่โดยปราศจากเธอ เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เสียงหัวเราะกลับกลายเป็นเสียงกรีดร้องและการพลัดพราก

หลังจากคืนวิปโยคคืนนั้นผมก็แวะเวียนมาที่แห่งนี้ทุกคืน คนอื่นๆ ที่ประสบเหตุเหมือนๆ กันต่างก็ทำแบบเดียวกันกับผม แม้รู้ว่าการสูญเสียนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง คนที่จากไปแล้วจะไม่มีวันกลับมา แต่ทุกคนก็ยินดีทำ แต่เพียงไม่นานผู้คนที่เคยมารวมตัวกันหนาแน่นก็เริ่มลดน้อยลง จนสุดท้ายก็เหลือเพียงผมคนเดียวที่ยืนอยู่ที่นี่

การทำใจกับเรื่องอะไรบางอย่างอาจไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับใครหลายๆ คน แต่มันก็อาจจะไม่ง่ายสำหรับใครบางคนเช่นกัน

ทว่าในคืนนี้ผมรับรู้ได้ว่าจะมีอะไรที่แตกต่างออกไป การรอคอยของผมกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว ลางสังหรณ์บอกผมแบบนั้น มันเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ผมเคยรู้สึกได้ถึงหายนะเมื่อหนึ่งปีก่อน หรือบางทีมันอาจจะชัดเจนกว่านั้นด้วยซ้ำ

ถึงแม้ว่าอากาศในปีนี้จะเย็นกว่าปีก่อนค่อนข้างมาก แต่มันก็ไม่ทำให้ความตั้งใจในวันนี้ของผมลดลงไปเลย ผมขยับเสื้อให้กระชับขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรับรู้ได้ว่าทางซ้ายมือของผมกำลังมีใครบางคนเคลื่อนตัวเขามา และเมื่อหันไปมองโลกที่เคยมืดหม่นก็พลันสว่างไสวขึ้น

ความปีติไหลล้นออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ รอยยิ้มที่หายไปนานแสนนานปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง ถึงแม้จะอยู่ไกลออกไปในความมืดแต่ผมก็จำเธอได้ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ผมจะได้พบเธออีกครั้ง การรอคอยอันแสนทรมานของผมกำลังจะจบลงแล้ว สองเท้ารีบก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว

“หนึ่งปีแล้วสินะที่เราต้องจากกัน”

ได้ยินเสียงของเธอลอยตามลมมา ผมใจหาย หยุดฝีก้าวแทบจะในทันที สายตาเพ่งพิศดวงหน้าที่โหยหา ใบหน้าและแววตาคุ้นเคยนั้นดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

“คุณรู้มั้ย ฉันคิดถึงคุณมากขนาดไหน ถ้าวันนั้นคุณไม่ช่วยฉันเอาไว้ คุณก็คงไม่ต้อง...”

เธอไม่อาจทนฝืนพูดจนจบประโยค ก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ก็พรั่งพรูออกมาเป็นสายธารแห่งความอาดูร

“ฉันคิดถึงคุณนะคะ ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ฉันปวดร้าวทรมานเหลือเกิน”

ผมอยากดึงเธอมากอดแนบอก อยากพูดคุย อยากยิ้ม อยากหัวเราะ ให้สมกับที่รอคอยอย่างเดียวดายเพื่อที่จะได้พบกันมานานแสนนาน แต่ในเวลานี้ผมกลับทำได้เพียงก้มหน้าและเก็บงำทุกสิ่งที่อยากจะบอกเธอเอาไว้กับตัวเองเท่านั้น

ผมทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว จนกว่าเธอจะรับรู้ด้วยตัวเองและยอมรับมันว่าเธอเองก็ไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้แล้วเช่นเดียวกันกับผม

อีกไม่นาน เพียงพ้นค่ำคืนนี้ไปผมและเธอก็จะต้องจากกันอีกครั้ง แม้ว่าคนอื่นๆ จะจากไปหมดแล้ว แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังจะรอเธอที่ตรงนี้ ไม่ว่าจะอีกนานขนาดไหนก็ตาม

จนกว่าจะมีวันที่ผมและเธอได้ร่วมกันอธิษฐานภายใต้จันทร์เต็มดวงอีกครั้ง




 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2560
0 comments
Last Update : 4 กรกฎาคม 2560 11:32:38 น.
Counter : 873 Pageviews.

 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

KTHc
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




[Add KTHc's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com