<<
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
7 ธันวาคม 2552
 

เจ็ดวันที่ญี่ปุ่น

เจ็ดวันที่ญี่ปุ่น

พักหนึ่งแล้วที่ผมกลับมาจากการฝึกอบรมที่ประเทศญี่ปุ่น

หลังจากตั้งหลักอยู่นาน ตอนนี้ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มลงมือเขียนประสบการณ์ที่ได้ไปเยือนมาตามที่ได้ให้สัญญาไว้กับเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่คอยดูแลผมตลอดระยะเวลาที่พักอยู่ที่นั่น

แต่เรื่องของเรื่องก็คือ...แล้วผมจะเขียนอะไรดี...คิดแล้วคิดอีก คิดไปคิดมา ก็ยังนึกไม่ออกว่าเรื่องแบบไหนที่จะเขียนส่งกลับไปให้เค้าอ่าน

ครั้งนี้เป็นการเดินทางไปทำงานล้วนๆ เสียด้วย จะเขียนเรื่องที่ว่าได้ไปเยือนที่ไหนมาบ้าง ก็คงจะสั้นนิดเดียวเพราะแทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลย

หรือว่าจะเขียนเรื่องอาหารที่ได้ไปชิมไปกินมาดี

แต่ก็นะ...ผมไม่ได้คิดจะเขียนเรื่องนี้แต่แรกแล้วเสียด้วย ก็เลยไม่ได้จดชื่ออาหารอะไรมาเลยซักอย่างเดียว

ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นว่าเขียนเรื่องทั่วๆ ไป ลองคิดลองเขียน ค้นข้อมูลไปก็แล้วกันครับ

...................................................

พูดถึงเรื่องอากาศกันก่อนเลยละกัน ผมเดินทางไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่แปดถึงสิบสี่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี่เองครับ

ก่อนไปได้ข่าวมาว่าอุณหภูมิที่ญี่ปุ่นขณะนั้นประมาณสิบองศาเซลเซียส ทำเอาผมต้องหยิบเสื้อกันหนาวติดกระเป๋าไปด้วยสองตัว ก็อุณหภูมิขนาดนั้นแถวบ้านเราแทบจะไม่มีให้ได้สัมผัสกันเลยนี่ครับ

แต่ผิดคาด สองวันแรกที่ไปอุณหภูมิอยู่ที่ยี่สิบเอ็ดองศาเซลเซียสกำลังสบายครับ แต่หลังจากฝนตกหนักในคืนวันที่สองจนถึงเช้าวันที่สามอุณหภูมิก็ลดต่ำลงเหลือเพียงสิบสี่องศาเซลเซียสเท่านั้น ผมว่าอากาศเย็นน่ะยังไม่เท่าไหร่ แต่ลมนี่สิครับ แรงมากจนทำให้ความเย็นดูเหมือนจะมากขึ้นทวีคูณเลยทีเดียว

พูดถึงฝนตก รู้สึกว่าที่ญี่ปุ่นจะไม่มีฝนตกหนักแบบในบ้านเราครับ แต่ของเค้าจะตกกันแบบปรอยๆ นานๆ คราวก่อนหน้านี้ที่ไปแปดวัน ผมเจอฝนตกแบบนี้ไปเจ็ดวัน เรียกว่าถ้าตกหนักแบบที่ไทยด้วยแล้วล่ะก็ได้น้ำท่วมเมืองกันแน่ๆ

เมืองที่ผมได้ไปเยือนในคราวนี้คือเมืองนารูโตะครับ หากนั่งลีมูซีนบัส (หน้าตาจะคล้ายๆ ไมโครบัสบ้านเรา) จากสนามบินคันไซไปยังปลายทางที่ไฮเวย์นารูโตะจะใช้เวลาประมาณเกือบสามชั่วโมง

เรื่องความเร็วในการขับรถนี่เท่าที่ทราบมาในภายหลัง ทางญี่ปุ่นจำกัดความเร็วไว้ที่ไม่เกินหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วเซ็นเซอร์ตรวจจับความเร็วนี่ก็ติดกันให้เกลื่อนไปหมดครับ

ตารางเวลาการเดินรถของที่นี่เรียกได้ว่ามากันตรงเวลาแบบเป๊ะๆ เลยทีเดียว ผิดกับที่ไทยมากๆ ถ้าเราอยากจะไปไหนเราสามารถคำนวณเวลากันได้เลยครับ

พูดถึงเมืองนารูโตะที่ได้ไปพักมาตั้งหนึ่งสัปดาห์บ้างดีกว่า ผมคิดว่าเมืองนี้เป็นเมืองขนาดเล็กนะครับ (หากไม่ใช่ก็ขออภัยด้วย) จากที่ลองๆ เดินเล่นดู ผมว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างจะเงียบทีเดียว รถรา คนเดินเท้ามีไม่มากครับ

แต่จะว่าไปก็น่าแปลกอยู่เหมือนกัน ถึงดูเหมือนว่าคนที่นี่จะมีไม่มากแต่ทำไมร้านอาหารถึงได้มากมายขนาดที่ผมคิดว่าแทบจะมีเปิดกันทุกร้อยเมตรเลยทีเดียว

อ้อ อีกอย่างที่ผมคิดว่ามีมากจริงๆ ก็คือตู้หยอดน้ำ มีแทบจะทุกเลี้ยวทุกแยกเลยครับ (ทำเอาผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเอามาตั้งกันเกลื่อนแบบนี้ตามท้องถนนที่ไทย มันจะมีกี่เครื่องที่เหลืออยู่ในสภาพดีๆ)

สำหรับการไปในครั้งนี้ หากไม่นับเรื่องที่ผมไปฝึกอบรมแล้วก็เห็นจะเป็นเรื่องอาหารล่ะครับที่เป็นเรื่องใหม่สำหรับผม เพราะครั้งนี้เป็นครั้งที่ผมได้ลองอาหารญี่ปุ่นหลากหลายรูปแบบจริงๆ

ว่าแล้วเดี๋ยวผมจะลองนึกๆ ดูว่าได้กินอะไรมาบ้าง เอาแต่แบบที่ผมคิดว่าเด็ดๆ สักสองสามอย่างก็แล้วกันนะครับ (แต่ชื่อนี่สิครับ มันจำไม่ได้เลย)

มื้อแรกที่ผมได้ลิ้มรสเป็นอาหารที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นบอกว่าเป็นของขึ้นชื่อในร้านที่เค้าพามา ผมก็เลยไม่รีรอที่จะสั่งมาชิม จะว่าไปหน้าตามันเหมือนกับก๋วยเตี๋ยวราดหน้าบ้านเรานี่เอง แต่จะต่างกันก็ตรงที่ของเค้ามีผักหลายชนิดกว่าอยู่ในนั้น อีกอย่างชามก็ใหญ่มากจนผมถึงกับกินไม่หมดทีเดียว

ถ้าจะให้บอกว่าใหญ่ขนาดไหน ก็เอาเป็นว่าผมขอเรียกภาชนะที่ใส่อาหารมาว่าอ่างก็แล้วกัน ตอนที่เค้ายกมาให้ผมยังคุยกับน้องที่ไปด้วยกันเลยว่าสงสัยจะเป็นของที่สั่งมากินรวมกันครับ (แต่จากอาหารมื้ออื่นๆ หลังจากนั้นทำให้ผมรู้ว่าอาหารที่นี่เค้าเยอะทุกอย่างครับ)

อาหารอย่างต่อมาที่ผมได้ลิ้มรสเป็นอาหารสไตล์อินเดียครับ เป็นโรตีทอดกรอบชิ้นใหญ่ที่เอาไว้ฉีกจิ้มกับแกงที่เค้าเรียกว่าเคอรี่ ถ้าเป็นบ้านเราเจ้าเคอรี่นี่ก็คงจะเป็นแกงกะหรี่มั้งครับ

มีหลายหน้าหลายรสให้ได้ลอง แถมมีระดับความเผ็ดให้เลือกอีกต่างหาก ร้านที่ผมเคยได้ฟังมาจากเพื่อนๆ ที่ทำงานมีระดับความเผ็ดให้เลือกถึงเก้าระดับทีเดียว ส่วนร้านที่ผมไปมีให้เลือกเพียงสี่ระดับครับ

ด้วยเกรงว่าอาจจะเผ็ดมากเพราะเห็นว่าเป็นอาหารสไตล์อินเดีย ผมก็เลยเลือกระดับปานกลางไว้ก่อน แต่พอได้ลิ้มลองดูก็พบว่าข้าวแกงบ้านเราเผ็ดกว่ามาก

เรื่องรสชาตินั้นเคอรี่จัดว่าอร่อยทีเดียว แต่เนื่องจากปริมาณที่มากเหลือเกินผมก็กินไม่หมดอีกตามเคย หลังจากคุยไปกินไปก็ได้รับทราบว่าเคอรี่เป็นอาหารที่เป็นที่ชื่นชอบมากของญี่ปุ่นครับ

อ้อ เกือบลืม เคอรี่ไม่ได้เอาไว้จิ้มกินกับโรตีอย่างเดียวนะครับ แต่เพราะร้านนี้เป็นสไตล์อินเดียก็เลยเป็นแบบนี้ ส่วนร้านอื่นๆ ก็เป็นเคอรี่ราดข้าวกันปกติครับ (ร้านที่เป็นเคอรี่ราดข้าว สั่งได้ว่าจะเพิ่มข้าวอีกกี่กรัม ราคาต่อปริมาณกรัมมีเขียนไว้ในเมนูเลยครับ เค้าไม่ได้ตักกันแบบกะเอามั่วๆ)

อาหารอย่างต่อมาเป็นเมนูที่ผมเคยเห็นเคยอ่านในการ์ตูนครับเลยจำชื่อได้ มันชื่อโอโคโนมิยากิ เท่าที่ผมเคยอ่านมา เค้าจะเอาวัตถุดิบ เช่น ไข่ แป้ง ส่วนประกอบอื่นๆ มาให้เราผสมกันในชามก่อนจะราดลงไปบนแผ่นกระทะร้อนที่ติดอยู่กับพื้นโต๊ะ

แต่สำหรับที่นี่เค้าจะทำมาให้เสร็จเป็นแผ่นๆ แล้วเอามาวางไว้ให้เราบนกระทะร้อน เราก็แค่ปรุงนิดหน่อยแล้วก็กินเลยครับ ผมว่าสะดวกดี

สำหรับอาหารอย่างสุดท้ายที่ไม่เขียนถึงน่าจะไม่ได้เพราะผมกินทุกวันเลย อุด้งครับ เป็นอาหารที่ผมชอบเป็นพิเศษ มันเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวหนาๆ อ้วนๆ ที่ใส่อยู่ในน้ำซุป โรยหน้าด้วยผักนิดหน่อย

ผมชอบตรงเส้นอ้วนๆ หนาๆ ที่สุดจะเหนียวนุ่มกับซุปจืดๆ ที่มีกลิ่นหอมจางๆ นี่ล่ะครับ เป็นอาหารง่ายๆ ที่ผมติดใจมากทีเดียว

พักเรื่องอาหารไว้แค่นี้ดีกว่า ครั้งนี้ไปลองอาหารมาหลายอย่างจริงๆ ถ้าเขียนหมดก็อาจจะไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นครับ

ในวันสุดท้ายก่อนที่ผมจะเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อนชาวญี่ปุ่นก็พาผมไป โอซูก้า มิวเซียมออฟอาร์ท (Otsuka Museum of Art) เห็นเค้าว่ากันว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมรูปวาดจากทั่วทุกมุมโลกมาไว้ที่นี่ ถ้าหากจะดูรูปต้นแบบเหล่านี้ให้หมดอาจต้องเดินทางกันนานทีเดียวครับ

แต่ทั้งหมดไม่ใช่รูปต้นแบบนะครับ เป็นรูปที่ก๊อปปี้รูปต้นแบบมาลงบนเซรามิกครับ เค้าว่ากันว่า (อีกแล้ว) รูปเหล่านี้สามารถเอามือลูบคลำได้ (แต่ผมก็คงจะไม่เสี่ยงทำ) แถมยังได้ข่าวมาว่าคนทำรูปพวกนี้ยังรับประกันว่ารูปจะมีอายุไปอีกอย่างน้อยหนึ่งพันปีครับ

เดินดูแล้วก็เพลินดี เป็นพิพิธภัณฑ์ภาพเขียนที่ใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ ผมว่าถ้าเป็นคนที่ชอบภาพเขียนและมีความรู้เรื่องพวกนี้ล่ะก็คงจะชอบที่นี่เอามากๆ ทีเดียวครับ

เกือบลืม ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีหุ่นอยู่ตัวหนึ่ง พอเราเอาหน้าเข้าไปจ้องมัน มันจะถ่ายรูปเราแล้วก็เอาไปเทียบกับรูปในพิพิธภัณฑ์ว่าเราหน้าเหมือนใครในรูปครับ ดูท่าว่าเจ้าหุ่นตัวนี้จะได้รับความนิยมน่าดูเหมือนกัน

อีกที่หนึ่งที่ได้ไปก็คือทะเลน้ำวนที่อยู่แถวๆ เดียวกันกับพิพิธภัณฑ์รูปวาด ที่นี่เค้าจะสร้างเป็นสะพานยาวเดินเข้าไปในตัวทะเล โดยถ้าบริเวณไหนมีน้ำวนเค้าก็จะใส่เป็นพื้นใสๆ ไว้เพื่อให้เรามองลงไปได้ (ผมไม่กล้าเหยียบตรงพื้นใสๆ เพราะกลัวมันจะพัง ซึ่งจริงๆ แล้วเค้าก็ทำไว้แข็งแรงครับ แต่ผมก็ไม่กล้าอยู่ดี)

น่าเสียดายตรงที่ทะเลน้ำวนไม่ได้หมุนวนตลอดเวลาครับ จะมีเพียงบางช่วงเท่านั้นในหนึ่งวันที่เราจะเห็นได้ชัดเจน (จากในแผ่นพับโฆษณาเค้าเขียนว่าน้ำวนมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงยี่สิบเมตรเชียวครับ) วันที่เราไปดูกันก็ปรากฏว่ามันไม่หมุนเลย

จะว่าน่าเสียดายก็น่าเสียดายครับ แต่ก็ยังถือว่าโชคดีอยู่ตรงที่ตอนขามาที่ผมอยู่บนรถผมตื่นมาแล้วมองไปเห็นน้ำกำลังวนอยู่พอดีเลย (ทั้งๆ ที่หลับมาตลอดสองชั่วโมงกว่า)

ทั้งสองสถานที่นี้ก็ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองนี้ครับ หากได้ไปแล้วมีเวลาก็น่าจะแวะไปชม

หลังจากแวะไปสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองแล้วก็ได้แวะไปร้านร้อยเยน (เป็นร้านที่ของส่วนใหญ่ราคาร้อยเยน แต่ก็มีหลายอย่างที่แพงกว่านั้นครับ ก็คงเหมือนกับร้านสิบบาทของไทย) หลังจากเดินหาซื้อของฝากอยู่พักหนึ่งก็ได้เวลาที่ผมต้องขึ้นรถกลับไปยังสนามบินคันไซเพื่อกลับเมืองไทยบ้านเราเสียที

มีเพื่อนชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งถามผมว่าคิดยังไงกับที่นี่ ซึ่งผมตอบเค้าไปว่าผมชอบเมืองนารูโตะมากกว่าเมืองใหญ่อื่นๆ เพราะที่นี่เงียบสงบ อากาศดี ดูเหมือนกับว่าชีวิตจะไม่ต้องเร่งรีบอะไรมากมาย ดูแล้วมีความสุขดีครับ

การเดินทางไปฝึกอบรมในครั้งนี้ของผมก็จบลงเพียงเท่านี้ ก่อนกลับผมได้ของที่ระลึกจากเพื่อนชาวญี่ปุ่นมาสามอย่าง อย่างแรกเป็นวาซาบิ (ใส่ในหลอดคล้ายหลอดยาสีฟัน) ซึ่งผมบอกกับเค้าว่าผมจะลองกินดูเมื่อกลับมาเมืองไทยแล้ว จะได้เอาไว้เทียบกับของที่ขายที่นี่

ตอนนี้ผมชิมแล้วครับ รู้สึกว่าจะเผ็ดน้อยกว่าที่ขายกันอยู่ในบ้านเรานะครับ (ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า)

อย่างที่สองเป็นหนังสือการ์ตูนสองเล่ม (เป็นเรื่องที่ดังมากในไทยเช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่น) เพราะเค้ารู้ว่าผมชอบอ่านการ์ตูน ซึ่งตอนนี้ผมเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีครับ

ส่วนอย่างสุดท้ายเป็นร่ม เนื่องจากว่าวันแรกๆ ผมบอกว่าผมอยากจะซื้อร่มกลับไปให้แฟน พอวันสุดท้ายเค้าถือร่มหนึ่งคันที่ใส่อยู่ในห่อของขวัญเอามาให้ครับ

เป็นของที่ระลึกสามอย่างที่ต้องบอกว่าผมชอบและประทับใจมากๆ ครับ

สำหรับการไปฝึกอบรมในครั้งนี้ นอกเหนือจากการที่ผมได้ความรู้ใหม่ๆ ได้แลกเปลี่ยนมุมมอง แลกเปลี่ยนประสบการณ์ทำงานแล้ว ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้รับกลับมา นั่นก็คือความประทับใจในไมตรีจิตของเพื่อนๆ ชาวญี่ปุ่นเหล่านั้นครับ

น่าเสียดายที่ความรู้ทางภาษาต่างประเทศอันอ่อนด้อยของผมทำให้ไม่สามารถสื่อสารกับเพื่อนๆ ต่างชาติได้อย่างที่ใจคิด

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม สิ่งต่างๆ ที่พวกเค้าได้ทำนั้นทำให้ผมรับทราบได้เป็นอย่างดีถึงไมตรีจิตของเขา และนั่นเองก็ทำให้ผมได้คิดว่าพรหมแดนไม่อาจแบ่งกั้นความปรารถนาดีที่เราจะส่งให้แก่กัน

ถึงแม้จะมีกำแพงในหลายๆ ด้าน ทั้งระยะทาง ขนบธรรมเนียมประเพณี หรือแม้แต่เรื่องภาษาเองก็ตาม แต่หากเรามีความตั้งใจจริงและแสดงออกมาด้วยความรู้สึกปรารถนาดีจริงๆ ผมก็เชื่อว่าผู้ได้รับจะต้องรู้สึกและรับรู้ได้

และเรื่องนี้คงจะจบลงไม่ได้หากผมยังไม่ได้กล่าวคำขอบคุณในความกรุณาและความอารีของเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่ช่วยดูแลและแนะนำในเรื่องต่างๆ ให้ผมเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่ต่างแดนครับ

...ขอบคุณครับ...


Create Date : 07 ธันวาคม 2552
Last Update : 7 ธันวาคม 2552 21:04:34 น. 0 comments
Counter : 793 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

KTHc
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




[Add KTHc's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com