ชุมชนร่างกฎหมายและให้ความเห็นทางกฎหมาย

<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
22 เมษายน 2551
 

เมื่อน้องมะ..มาทักทาย โดย คุณแม่น้องหยก





คงไม่ต้องแนะนำตัวผู้เขียนนะคะ เพราะหลายคนคงรู้จ้ก (ไม่รู้จักแม่ก็คงรู้จักลูก) แต่อาจจะมีคนสงสัยว่าน้องมะ..คือใคร เรามาแนะนำตัว"น้องมะ" กันดีกว่า



"น้องมะ" คือชื่อย่อของ "มะเร็ง" ที่ทำให้หลายๆ คนรู้สึกหวาดผวาได้ไม่มากก็น้อย (ทีมาของชื่อน้องมะ..มาจากพี่สาวใจดีคนหนึ่งที่เรียกไว้ได้อย่างน่ารักเลยยืมมาใช้บ้าง)

"น้องมะ" มีหลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งปอด และอีกมากมาย

แต่สำหรับผู้หญิงแล้ว น้องมะที่น่ากลัวและมักจะแวะมาทักทายหญิงไทยอย่างสม่ำเสมอ ก็คือ มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม โดยมะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับสอง และเป็นสาเหตุการตายมากเป็นอันดับสามรองจากมะเร็งตับและมะเร็งปอด

ด้วยประสบการณ์ตรงของผู้เขียนจากการแวะเวียนเข้ามาทักทายของน้องมะ (มะเร็งเต้านม) เลยคิดว่าประสบการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ อย่างน้อยก็เป็นการเตือนใจให้เฝ้าระวังและอย่าละเลยจนลืมใส่ใจในสุขภาพของเราเอง






บททดสอบ..บทที่ 1
เย็นวันหนึ่งในขณะอาบน้ำ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามือสัมผัสกับสิ่งผิดปกติบริเวณเต้านม ความรู้สึกในตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะเจอกับอะไรที่เลวร้ายหรือน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้ละเลยกับความผิดปกตินั้นตอนนอนก็เลยสำรวจเต้านมตัวเองแล้วก็ภาวนาว่าขออย่าให้สิ่งที่เจอเมื่อตอนอาบน้ำเป็นจริง..ขอให้การคลำเจอก้อนประหลาดนั้นเป็นประสาทสัมผัสที่ผิด
แต่แล้วสิ่งที่คาดหวังมันก็ไม่เป็นอย่างที่ต้องการ เพราะเมื่อพยายามทำใจเย็น..แล้วค่อยๆ คลำเต้านมก็รู้ได้ทันทีว่า มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเต้านมของเราจริงๆ มีเจ้าก้อนเล็กๆ อยู่ที่เต้านมข้างขวา ขนาดประมาณ 1 cm (แล้วจะมาบอกวิธีตรวจเต้านมด้วยตนเองให้ฟังวันหลังนะ) ความรู้สึกในตอนนั้นต่างจากตอนแรกโดยสิ้นเชิง รู้สึกว่าตัวร้อนวูบวาบไปหมด ความกังวลเริ่มเข้ามาแทนทันที แล้วเจ้าความคิดก็ไม่ยอมหยุดอยู่ตรงนั้น.. คิดต่อไปอีกว่าเจ้าก้อนเล็กๆ นี่มันจะเป็นก้อนเนื้อหรือเป็นซีสต์ ถ้าเป็นซีสต์ก็พอเบาใจได้ แต่ถ้าเป็นก้อนเนื้อแล้วมันจะเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย แต่ในบรรดาความคิดและความรู้สึกในตอนนั้น สิ่งที่อยู่เหนือความคิดใดๆ ก็คือ..ความคิดที่ว่า "ฉันจะเป็นอะไรไม่ได้นะ..ลูกยังเล็ก"







หลังจากวันที่คลำเจอก้อนเนื้อก็มองหาโรงพยาบาลที่จะไปตรวจ มี 2 โรงพยาบาลที่อยู่ในใจ คือ สถาบันมะเร็งกับโรงพยาบาลศิริราช เพราะคิดว่าผลการตรวจเบื้องต้นเป็นเหมือนการตัดสิน.ชี้ชะตาชีวิตเราส่วนหนึ่ง การตรวจและการแปลผลว่าเจ้าก้อนที่คลำเจอเป็นซีสต์หรือก้อนเนื้อ เป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย มันล้วนมีผลต่อชีวิตในอนาคตของเราทั้งนั้น





สถาบันมะเร็งเป็นหน่วยงานที่ทำงานในด้านการตรวจรักษาโรคมะเร็งโดยเฉพาะ มีแพทย์และบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่อยู่ไกลบ้าน ไกลที่ทำงาน (อยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) การเดินทางไม่สะดวก







โรงพยาบาลศิริราชเป็นโรงพยาบาลที่ผลิตแพทย์ที่มีคุณภาพเป็นจำนวนมาก มีชื่อเสียงในการตรวจและรักษาโรค และมีศูนย์ถันยรักษ์ซึ่งมีภารกิจเกี่ยวกับการตรวจมะเร็งเต้านมโดยเฉพาะ โรงพยาบาลอยู่ใกล้บ้าน (มากกว่าสถาบันมะเร็ง) และที่สำคัญอยู่ใกล้ที่ทำงานมาก








ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกไปตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าเราโชคร้าย..เจ้าก้อนเนื้อนั้นไม่ใช่ซีสต์ เราอาจจะต้องมีการรักษาอย่างต่อเนื่องการเลือกโรงพยาบาลที่การเดินทางสะดวก ใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงานน่าจะดีกว่า

เมื่อตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลแล้วก็รวบรวมกำลังใจทั้งหมดไปหาหมอ (ไม่ได้กลัวนะ..แต่ไปโรงพยาบาลแต่ละครั้งใช้เวลานานมาก..) แล้วก็จริงดังคาดไปหาหมอตอน 9 โมง ได้ตรวจประมาณบ่าย 2 เป็นการตรวจโดยนักศึกษาแพทย์ (ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการไปหาหมอในเวลาราชการ) โดยหมอจะซักถามประวัติส่วนตัวและประวัติคนในครอบครัวเกี่ยวกับการเป็นมะเร็ง แล้วหมอก็จะตรวจเต้านมทั้งสองข้าง ตรวจต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ และตรวจต่อมน้ำเหลืองบริเวณไหปลาร้า (โดยใช้มือคลำ) เพื่อจะดูว่าต่อมน้ำเหลืองโตหรือเปล่า (ต่อมน้ำเหลืองที่โตผิดปกติเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งของโรคมะเร็ง)

หลังจากที่หมอตรวจเต้านมแล้วหมอก็พบความผิดปกติที่เต้านมด้านขวา โดยหมอคลำเจอก้อนเนื้อขนาดประมาณ 1.5 cm เพื่อการตรวจที่ละเอียดว่าก้อนที่คลำเจอเป็นก้อนเนื้อหรือเป็นซีสต์ หมอจึงส่งไปตรวจที่ศูนย์ถันยรักษ์โดยการตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรม และตรวจอัลตร้าซาวด์ โดยเราจะต้องไปขอนัดวันเวลาตรวจกับศูนย์ถันยรักษ์เอง (ซึ่งคิวยาวมาก ได้ตรวจถัดไปอีกประมาณ 2 เดือน)




เครื่องแมมโมแกรมเป็นเครื่องขนาดใหญ่สูงประมาณเท่าตัวคน วิธีการตรวจคือ เราจะต้องเอาเต้านมวางไว้บนแท่นของเครื่องแล้วเจ้าหน้าที่ของศูนย์ (เป็นผู้หญิง) จะเอาเจ้าแท่นใหญ่ๆ ประมาณโต๊ะรีดผ้ากดทับบนเต้านมเรา (ถ้านึกภาพไม่ออกก็นึกถึงที่ทับกล้วยปิ้งละกัน เพราะละม้ายคล้ายกันมาก) หลายคนคงสงสัยว่าแล้วไม่เจ็บเหรอ.. จริงๆ แล้วมันรู้สึกตึงๆ บริเวณเต้านมกับบริเวณแผ่นหน้าอกมากกว่าความรู้สึกเจ็บ จากนั้นเครื่องก็จะถ่ายภาพเต้านมเก็บไว้ทั้งด้านบนและด้านข้าง โดยการตรวจเต้านมจะต้องตรวจทั้งสองข้าง ภาพที่ได้ก็จะเป็นภาพขาวดำ (คล้ายๆ ภาพอัลตร้าซาวด์เด็กในท้องคุณแม่นั่นแหละ) ภาพนั้นจะบอกสิ่งที่อยู่ในเต้านมของเราว่าเป็นซีสต์หรือก้อนเนื้อ (เราดูไม่ออกหรอกว่ามันคืออะไรแต่หมอเค้าดูรู้)






การทำอัลตร้าซาวด์ก็เป็นการอัลตร้าซาวด์แบบเดียวกับการอัลตร้าซาวด์เด็กในท้องคุณแม่ ต่างกันตรงที่มาทำที่เต้านมแทน โดยหมอจะเอาเจลใสๆ ทาบริเวณเต้านมแล้วก็จะใช้หัวตรวจกดและกลิ้งไปมาบริเวณเต้านมซึ่งจะมีภาพปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ ภาพที่ปรากฏจะบอกความแตกต่างระหว่างซีสต์และเนื้องอกได้อย่างค่อนข้างแม่นยำ ในกรณีที่เป็นซีสต์ภาพที่เห็นมักจะเป็นก้อนสีดำเนื่องจากคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์สามารถทะลุผ่านน้ำได้ดี แต่ในกรณีเป็นก้อนเนื้อภาพที่เห็นจะเป็นสีเทาออกขาวเนื่องจากคลื่นเสียงไม่สามารถวิ่งผ่านได้ (คุณหมอบอก)








(จากภาพ ที่เห็นเป็นจุดขาวๆ ในภาพที่ 2 นั่นแหละคือก้อนเนื้องอก)



จากการตรวจทั้งแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์ หมอที่ถันยรักษ์บอกว่า ไม่มีอะไรน่ากังวล เพราะเจ้าก้อนที่คลำเจอมันเป็นซีสต์ถุงน้ำ แถมภาพที่เห็นจากการตรวจมีตั้งหลายก้อน (แต่คลำรู้สึกได้แค่ก้อนเดียว) การตรวจที่ถันยรักษ์ตรวจโดยอาจารย์หมอเพราะไปตรวจคลีนิกพิเศษนอกเวลา (ถ้าตรวจในเวลาคิวจะนานกว่านี้) เสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด 2,500 บาท (ตรวจทั้งแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์ เบิกค่าตรวจได้เพราะหมอศัลย์ฯ สั่งให้ตรวจ ถ้าหมอไม่สั่งจะเบิกไม่ได้) จากนั้นจะต้องนำผลการตรวจดังกล่าวไปให้หมอศัลย์ฯ ซึ่งเป็นหมอเจ้าของไข้เราอ่านผลอีกครั้ง





ด้วยความที่การไปตรวจครั้งแรกรอนานมากและไม่ได้ตรวจกับอาจารย์หมอ ครั้งนี้ก็เลยคิดที่จะไปตรวจคลีนิกพิเศษนอกเวลาเพื่อที่เจ้าของไข้เราจะได้เป็นอาจารย์หมอ (เพื่อความอุ่นใจในการอ่านผลการตรวจ) และไม่เสียเวลาในการรอนาน ตอนนี้ก็ถึงเวลาสำคัญอีกครั้ง.. คือการเลือกอาจารย์หมอเจ้าของไข้ที่เราจะตรวจด้วย เนื่องจากทางปฏิบัติเมื่อหาอาจารย์คนไหนแล้วจะต้องตรวจกับคนนั้นตลอดไปและมักจะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนไปตรวจกับอาจารย์หมอคนอื่นในโรงพยาบาลเดียวกัน (แม้บางครั้งจะอยากเปลี่ยนก็ตาม)


จากการสอบถามในแวดวงคนใกล้ชิดได้ข้อมูลว่า อาจารย์หมอศัลยศาสตร์ด้านเต้านมในโรงพยาบาลศิริราชที่รู้จัก มี 2 ท่าน (จริงๆ แล้วอาจารย์หมอที่ศิริราชเก่งทุกท่าน แต่ในแวดวงคนใกล้ชิดรู้จักแค่ 2 ท่าน) คือ อาจารย์กฤษณ์ฯ (ขออภัยด้วยนะคะถ้าเขียนชื่อผิด) และอาจารย์พรชัยฯ ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกเป็นคนไข้ของอาจารย์พรชัยฯ (เนื่องจากคิวในการตรวจจะได้เร็วกว่าเล็กน้อย..ได้ตรวจก่อนประมาณ 2 สัปดาห์)



เมื่อได้อาจารย์หมอแล้วก็ต้องไปนัดคิวตรวจโดยจะต้องไปจองคิวล่วงหน้าที่คลีนิกพิเศษนอกเวลาเนื่องจากคนไข้เยอะมาก เลยได้คิวอีกประมาณ 2 สัปดาห์ถัดไป

วันที่ไปฟังผลตรวจก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร เพราะรู้ผลตรวจเบื้องต้นมาจากถันยรักษ์แล้ว วิธีการตรวจก็เหมือนกับการตรวจในครั้งแรกที่ไปหาหมอ คือ หมอจะตรวจเต้านม ตรวจต่อมน้ำเหลืองในแต่ละจุด (โดยใช้มือเช่นเดียวกัน) ประกอบกับการดูฟิล์มภาพที่ได้จากการทำแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์ แต่ที่แตกต่างกันก็คือ ดูหมอรู้สึกกังวลแล้วหมอก็บอกว่าตกลงว่าเป็นซีสต์ถุงน้ำ แล้วหมอก็ขอเจาะดูน้ำที่อยู่ในซีสต์นั้น

วิธีการเจาะ หมอจะใช้เข็มฉีดยาเจาะไปในเต้านมบริเวณที่คลำเจอ ปรากฏว่าเข็มฉีดยาดูดได้เลือดแทนน้ำ แล้วหมอก็สันนิษฐานว่า การที่เจาะแล้วไม่ได้น้ำน่าจะเกิดจากซีสต์ถุงน้ำนั้นเป็นซีสต์ที่เป็นถุงเล็กๆ เกาะกันเป็นกลุ่มคล้ายพวงองุ่นจึงเจาะไม่ได้น้ำ จากนั้นหมอก็นัดตรวจอีกครั้ง (follow up) ในอีก 6 เดือนข้างหน้า

เฮ้อ..ผ่านไปได้ด้วยดีสำหรับบททดสอบที่ 1





บททดสอบ..บทที่ 2

เมื่อผลการตรวจออกมาดี ก็ทำให้เบาใจได้ส่วนหนึ่ง แต่เราก็ไม่ควรละเลยใส่ใจสุขภาพของเรา แม้เจ้าก้อนที่มันขึ้นมาผิดปกติจะเป็นซีสต์ก็ตาม เพราะยังไงมันก็เป็นสิ่งแปลกปลอมที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา ในช่วงระยะเวลา 6 เดือน ก่อนถึงวันนัดจึงต้องพยายามตรวจเต้านมของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่ง...บททดสอบความเข้มแข็งก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากตรวจพบความผิดปกติ



วันหนึ่งในขณะที่ตรวจเต้านมของตัวเองกลับรู้สึกว่าเจ้าก้อนเนื้อที่หมอบอกว่าเป็นซีสต์ถุงน้ำมันมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมจนรับรู้ได้ แต่ด้วยความที่ขาดความเข้าใจเลยทำให้คิดน้อยเกินไป โดยคิดว่าเจ้าก้อนเนื้อที่มันโตขึ้นยังไงมันก็เป็นซีสต์ถุงน้ำและมันก็คงจะมีขนาดโตขึ้นได้ถ้าจำนวนน้ำในถุงมากขึ้น (คิดว่าเจ้าน้ำที่ประกอบกันเป็นซีสต์มันน่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้เองตามธรรมชาติ) ก็เลยนิ่งนอนใจ (ซึ่งในกรณีปกติทั่วไป ในกรณีที่เราพบสิ่งผิดปกติที่แตกต่างไปจากเดิมเราจะต้องรีบไปพบแพทย์ในทันที) ยิ่งใกล้ถึงวันนัดเมื่อคลำก้อนเนื้อกลับรู้สึกว่าเจ้าก้อนซีสต์ (ที่หมอบอก) มันโตขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถสัมผัสแล้วรับรู้ได้ทันทีว่ามีก้อนเนื้อที่ผิดปกติในเต้านมของเราแม้ขณะอยู่ในท่าปกติ (ท่าที่ใช้สำหรับตรวจเต้านมจะต้องยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ) แล้วมันก็แข็งผิดปกติ คลำทีไรก็เจอมันอยู่ที่เดิม แถมมีความรู้สึกว่าก้อนเนื้อมันยึดติดอยู่กับที่และไม่รู้สึกเจ็บ (ปกติถ้าเป็นซีสต์มันจะนิ่ม มีความยืดหยุ่น มักจะไม่รู้สึกว่ามันยึดติด และถ้าคลำแล้วรู้สึกเจ็บมักจะไม่ใช่ก้อนเนื้อ... คุณหมอบอกอีกเช่นกัน) แต่ตอนนั้นก็คิดว่าอีกสัปดาห์เดียวก็ถึงวันนัดแล้วจึงไม่ได้ไปพบหมอก่อนวันนัด






เมื่อถึงวันนัดก็ไปพบหมอ โดยไม่ลืมที่จะบอกหมอถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น โดยขั้นตอนในการตรวจครั้งนี้ไม่แตกต่างจากการตรวจในครั้งแรก โดยเราจะต้องไปตรวจเต้านมกับศูนย์ถันยรักษ์ก่อน ซึ่งการตรวจครั้งนี้หมอศัลย์ฯ สั่งให้ตรวจด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์เพียงอย่างเดียวจึงไม่มีการตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรม (แต่ค่าใช้จ่ายแทบจะไม่แตกต่างกันเลย) และหมอที่ถันยรักษ์จะอ่านผลตรวจให้ในเบื้องต้น จากนั้นเราจะต้องนำผลตรวจที่ถันยรักษ์ไปให้หมอศัลย์ฯ อ่านและวินิจฉัยอีกครั้ง แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด นั่นก็คือ ความรู้สึกของเรา ในการตรวจครั้งนี้มีทั้งความรู้สึกกังวล ความรู้สึกกลัว และความสงสัย



ในขณะที่หมอตรวจด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ ในตอนแรกหมอไม่พบสิ่งผิดปกติตรวจเจอแต่ซีสต์ถุงน้ำ ซึ่งเราก็ไม่ลืมที่ย้ำกับหมอว่าเราพบความผิดปกติอย่างไรบ้าง หมอจึงใช้เวลาตรวจนานกว่าปกติจนการตรวจใกล้จะเสร็จสิ้น และแล้ว..สิ่งที่เราคิดมันก็เป็นจริง หมอพบก้อนเนื้อบริเวณใกล้ๆ กับซีสต์ถุงน้ำที่เจอเมื่อการตรวจครั้งแรกจำนวน 2 ก้อนในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน ก้อนแรกมีขนาด 2.5 cm และก้อนที่ 2 มีขนาด 1.5 cm เจ้าก้อนเนื้อที่เราเห็น (จากจอคอมพิวเตอร์) สามารถบอกได้ทันทีว่ามันไม่ใช่ซีสต์ถุงน้ำเพราะมันมีสีเทาไม่ใช่สีดำ แต่หมอบอกว่า ไม่มีอะไรต้องกังวลเพราะปกติถ้าเป็นเนื้อร้ายมันจะมีก้อนเดียว ในกรณีที่มี 2 ก้อนเช่นนี้ ไม่ใช่มะเร็งแน่นอน ตอนนั้นรู้สึกโล่งใจได้ส่วนหนึ่งและแอบดีใจอยู่ลึกๆ ว่ามันไม่น่าจะเป็นมะเร็ง






เมื่อถึงวันนัดตรวจกับหมอศัลย์ฯ หมอตรวจเหมือนเดิมโดยตรวจเต้านม ตรวจต่อมน้ำเหลืองบริเวณต่างๆ ประกอบกับการอ่านฟิล์มภาพจากการอัลตร้าซาวด์ แล้วหมอก็บอกว่าพบก้อนเนื้อ 2 ก้อน แต่มีก้อนหนึ่งที่มันโตเร็วมากผิดปกติควรจะผ่าตัดเพื่อเอาก้อนเนื้อดังกล่าวออกและตรวจชิ้นเนื้อว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย โดยหมอบอกว่าจะต้องนอนโรงพยาบาลประมาณ 3 วัน และหมอบอกว่าในการผ่าตัดจะต้องวางยาสลบเนื่องจากก้อนเนื้อที่ผ่ามีขนาดใหญ่ (การผ่าตัดมี 2 ประเภท คือ การผ่าตัดเล็ก ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่มีแผลผ่าตัดขนาดเล็กไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ผ่าตัดเสร็จแล้วกลับบ้านได้เลย ใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน มักใช้ยาชาในการผ่าตัด และการผ่าตัดใหญ่ เป็นการผ่าตัดที่มีแผลผ่าตัดขนาดใหญ่ ใช้เวลาในการผ่าตัดนาน มีทั้งกรณีใช้ยาชาและวางยาสลบ)



เมื่อถึงวันนัดผ่าตัด (จะต้อง Admit ก่อนหนึ่งวัน) เมื่อไปถึงโรงพยาบาล จะมีพยาบาลมาเช็คร่างกายโดยรวมของเรา จากนั้นหมอก็จะมาตรวจ (นักศึกษาแพทย์) โดยวิธีคลำเต้านมและต่อมน้ำเหลืองเหมือนเดิม และวิสัญญีแพทย์จะมาสอบถามประวัติของเราเกี่ยวกับการเคยได้รับยาสลบและบอกวิธีการวางยาสลบให้ฟังในเบื้องต้น (เพื่อให้ทำใจ) ในการผ่าตัดจะต้องงดน้ำและอาหารตั้งแต่ 2 ทุ่มของวันก่อนผ่าตัด โดยคืนนั้นก่อนนอนพยาบาลจะให้กินยานอนหลับเพื่อไม่ให้เครียด (การผ่าตัดครั้งนี้เป็นการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต แล้วก็เป็นธรรมดาที่เรามักจะกลัวในสิ่งที่ไม่รู้เสมอ จำได้ว่าตอนนั้นคิดไปต่างๆ นาๆ ว่าการผ่าตัดจะเป็นอย่างไร จะเจ็บมากไหม วางยาสลบแล้วจะเป็นยังไง ผ่าตัดเสร็จแล้วจะฟื้นหรือไม่ ถ้าไม่ได้กินยานอนหลับคงนอนไม่หลับเหมือนกัน)








วันรุ่งขึ้นตื่นมาก็อาบน้ำสระผม (เพราะผ่าตัดแล้วจะอาบน้ำไม่ได้อีกหลายวัน) แล้วพยาบาลก็จะให้กินยาคลายเครียด ประมาณ 8 โมงก็จะมีเจ้าหน้าที่จากตึกผ่าตัดมารับ เมื่อไปถึงห้องเตรียมก่อนผ่าตัด จะมีเจ้าหน้าที่มาวัดความดัน สอบถามชื่อ และให้น้ำเกลือ จากนั้นก็ให้นอนรอเพราะห้องผ่าตัดจะเปิดตอน 9 โมง ระหว่างรอก็จะหลับๆ ตื่นๆ เป็นระยะๆ (เป็นผลมาจากยาคลายเครียดที่กินเมื่อตอนเช้า) พอถึงเวลาพยาบาลก็จะเข็นเตียงเข้าไปในห้องผ่าตัด จำได้ว่าในห้องผ่าตัดแอร์เย็นมากๆ เย็นจนหนาว (เห็นเค้าบอกว่าเพื่อรักษาเครื่องมือผ่าตัดและเพื่อรักษาอุณหภูมิของเลือด) ประกอบกับชุดที่ใส่เป็นชุดโรงพยาบาลที่ใช้สำหรับการผ่าตัดโดยเฉพาะ ซึ่งผ้าไม่หนามาก (เป็นชุดยาวติดกันคล้ายๆ ชุดคลุมอาบน้ำ) เมื่อถึงห้องผ่าตัดเค้าก็จะให้เราขยับไปนอนบนเตียงผ่าตัด ซึ่งเป็นเตียงขนาดเล็กมาก (หรือเราอ้วนก็ไม่รู้) เป็นเตียงขนาดไม้กระดานแผ่นเดียว มีที่วางแขนให้กางออกทั้งสองข้าง (ลองนึกถึงภาพไม้กางเขน จะคล้ายๆ กัน) แล้วเค้าก็มัดตัวเราไว้กับเตียงผ่าตัดนั้น (เพื่อป้องกันไม่ให้ดิ้นโดยไม่รู้ตัวในขณะผ่าตัด เพราะมีดผ่าตัดคมมาก) จากนั้นวิสัญญีแพทย์ก็บอกว่าจะเริ่มให้ดมยา ให้หายใจลึกๆ ขณะยาเดิน แล้วเค้าก็เอาหน้ากากพ่นยามาครอบที่จมูก จำได้ว่า เราหายใจได้ 2 ปื้ด แล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย





เราไม่รู้ว่าเราสลบไปนานเท่าไหร่ มารู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงพยาบาลบ่นว่า “ทำไมความดันไม่ขึ้นสักที” และได้ยินเสียงป้าที่อยู่เตียงข้างๆ ร้องเป็นระยะๆ (คงเจ็บมาก) ตอนนั้นอยู่ในห้องพักฟื้นหลังการผ่าตัด ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น ยังไม่ฟื้นซะทีเดียว และรู้สึกตึงๆ บริเวณเต้านมข้างขวา (น่าจะยังชาอยู่) ในจมูกมีเครื่องช่วยหายใจใส่อยู่ หลังมือข้างซ้ายมีการให้น้ำเกลือ แขนข้างขวามีเครื่องวัดความดันแบบอัตโนมัติติดอยู่ แล้วมันก็ทำงานเป็นระยะๆ น่าจะทุกๆ 15 นาที รู้สึกปากแห้งไปหมด แต่โชคดีที่ไม่แพ้ยาสลบจึงไม่อาเจียร พอสติเริ่มมาก็จะได้ยินเสียงพยาบาลเรียกชื่อ พอพยาบาลเห็นว่าฟื้นและลืมตาได้แล้ว พยาบาลก็บอกให้หายใจเองแล้วเอาเครื่องช่วยหายใจออก จากนั้นพยาบาลจะเดินมาดูความดันเป็นระยะๆ มารู้ทีหลังว่าตอนออกจากห้องผ่าตัดความดันเราต่ำมาก เห็นพยาบาลบอกว่าอยู่ประมาณ 40 (ความดันตัวล่างนะ) กว่าจะได้กลับไปห้องพักใช้เวลานานมากเพราะต้องรอให้ความดันปกติ (ตอนเค้าให้กลับไปห้องพักความดันอยู่ที่ 70)







เค้าพาเรามาส่งที่ห้องตอน 2 ทุ่ม (เข้าห้องผ่าตัดตั้งแต่ 9 โมง กลับมาตอน 2 ทุ่ม ทำเอาญาติกังวลไปตามๆ กัน เพราะพยาบาลที่ห้องบอกว่าใช้เวลาในการผ่าตัดนานผิดปกติ) ตอนนั้นไม่รู้สึกหิวเลย ทั้งๆ ที่ไม่ได้กินอะไรเลย (หิวแต่น้ำมากกว่า) เริ่มมีความรู้สึกเจ็บบริเวณเต้านมข้างที่ผ่าตัดแต่เจ็บไม่มากพอทนไหว (ตอนแรกคิดว่าคงเจ็บมากจนทนไม่ได้) นอนอยู่โรงพยาบาล 3 วัน (รวมวัน Admit ก่อนผ่าตัดด้วย) แล้วก็ได้กลับบ้าน จากนั้นหมอก็นัดวันมาฟังผลชิ้นเนื้อ จำได้แม่นว่าวันฟังผลชิ้นเนื้อตรงกับวันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม (เพราะหลังวันจัดงานปีใหม่ของสำนักงานฯ หนึ่งวัน)

(บล๊อกเต็มแล้ว ที่เหลือคงต้องใช้วิธีโพส comment ต่อแล้วหล่ะ)





Create Date : 22 เมษายน 2551
Last Update : 30 เมษายน 2551 14:39:49 น. 38 comments
Counter : 3978 Pageviews.  
 
 
 
 
แวะมาให้กำลังใจคุณแม่น้องหยกค่ะ
สู้สู้ นะ!!

ยังไงก็ต้องหาย .. เราเชื่อแบบนี้จริงๆ นะ
 
 

โดย: jumwilly วันที่: 22 เมษายน 2551 เวลา:23:34:09 น.  

 
 
 
ขอบคุณมากจ้า เราก็คิดว่าเราต้องหายเหมือนกัน (กำลังใจเต็มเปี่ยม)
 
 

โดย: แม่น้องหยก (KMyoungelite ) วันที่: 23 เมษายน 2551 เวลา:18:05:24 น.  

 
 
 
รออ่านต่ออยู่นะค๊า
 
 

โดย: ฉัน IP: 210.246.148.28 วันที่: 24 เมษายน 2551 เวลา:11:47:26 น.  

 
 
 
ดีใจจังมีคนอ่านด้วย นึกว่าจะไม่มีใครอ่านซะแล้ว ขอบคุณนะคะ
 
 

โดย: แม่น้องหยก (KMyoungelite ) วันที่: 24 เมษายน 2551 เวลา:20:47:14 น.  

 
 
 
เห็นไอ้เครื่องนั้นบีบ...เหมือนบีบกล้วยทับ ก็หยองแล้วอ่ะ
 
 

โดย: มู๋น้อยด้อยวรยุทธ์ IP: 210.246.148.28 วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:12:09:55 น.  

 
 
 

 
 

โดย: แถมให้ IP: 210.246.148.28 วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:12:18:16 น.  

 
 
 
สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดคือพลังที่มองไม่เห็นซึ่งซ่อนตัวอยู่ในร่างกายเรา ถึงเวลาแล้วที่เราต้องนำพลังนั้นมาใช้และสู้ด้วยกำลังใจของเราเอง
เคยดูหนังเรื่องหนึ่ง ชื่อ step mom ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่เลี้ยงคนใหม่ แต่จริงๆ แล้ว หนังเรื่องนี้ไม่ได้กล่าวถึงตัวแม่เลี้ยงโดยตรง แต่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกๆ แม่ตัวจริงบอกกับแม่เลี้ยงว่า ความสุขของผู้หญิงที่เป็นแม่ คือ การได้เห็นลูกเติบโตและเอา
ตัวรอดได้ จนในที่สุดแม่ก็จะต้องอยู่ให้ได้แม้จะมีโรคร้าย เรื่องนี้ซึ้งมาก ... behide you
 
 

โดย: behide you (KMyoungelite ) วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:16:23:14 น.  

 
 
 
คุณแม่น้องหยกกำลังใจดีนะคะ ถ้าเป็นเราคงแย่แน่ๆ คงรู้สึกแย่และเศร้ามากๆ คุรแม่น้องหยกน่าจะเขียนเกี่ยวกับวิธีการดูแลสภาพจิตใจด้วยนะคะ เราว่ามันเป็นประเด็นใหญ่เลย อย่างไงก้อขอให้หายเร็วๆ นะคะ ว่าแต่ตอนนี้น้องมะมันเป็นงัยบ้าง ออกไปจากชีวิตหรือยังคะ
 
 

โดย: เด็กเก่า สคก. IP: 210.246.148.28 วันที่: 28 เมษายน 2551 เวลา:19:59:44 น.  

 
 
 
อ่านแล้วคิดถึงแม่ตัวเอง แต่แม่ไม่ยอมตัด สู้ๆต่อไปนะพี่
 
 

โดย: toon IP: 71.57.102.174 วันที่: 29 เมษายน 2551 เวลา:11:46:02 น.  

 
 
 
คือต้องสารภาพว่ามือใหม่หัดทำ blog ต้องขออภัยด้วยนะถ้าอ่านแล้วสับสน สำหรับเรื่องการดูแลสภาพจิตใจจะเขียนให้ในคราวต่อไปนะคะ (ตอนนี้อยู่ระหว่าง update ข้อมูลใส่มาเรื่อยๆ ค่ะ)
 
 

โดย: คุณแม่น้องหยก (KMyoungelite ) วันที่: 29 เมษายน 2551 เวลา:18:01:36 น.  

 
 
 

คำพิพากษา

เมื่อถึงวันนัดฟังผลการตรวจชิ้นเนื้อ ความรู้สึกของเราไม่ต่างจากจำเลยที่รอฟังคำพิพากษา เพราะมันเหมือนกับเป็นการชี้ชะตา เป็นการตัดสินระหว่างดำกับขาว สิ่งที่ดีและสิ่งที่ร้าย จะต่างกันก็ตรงที่คำพิพากษาของศาลยังสามารถอุทธรณ์และฎีกาต่อไปได้ แต่กรณีนี้เราไม่มีสิทธิ์ใดๆ เลยนอกจากการยอมรับ,,และยอมรับ มันเป็นเหมือนการชี้ชะตาชีวิต ชี้อนาคตของเราทั้งหมด ถ้าผลชิ้นเนื้อออกมาดีก็ถือว่าเป็นโชคดีของเรา แต่ถ้าผลชิ้นเนื้อออกมาเป็นเนื้อร้ายคงไม่ต่างกับการตกนรกทั้งเป็น เพราะขึ้นชื่อว่ามะเร็งไม่มีใครที่ไม่กลัว เพราะทุกคนรู้ดีว่ามะเร็งเป็นโรคที่รักษาไม่หาย คนที่เป็นต้องได้รับความทรมาณจากโรคนี้จนถึงวันที่เสียชีวิต ทั้งหมดมันเป็นความรู้สึกในวันนั้น

 
 

โดย: KMyoungelite วันที่: 30 เมษายน 2551 เวลา:14:54:39 น.  

 
 
 



เรานั่งรอหมอด้วยความกระวนกระวายใจ แม้ในใจพยายามคิดในทางที่ดีว่าเราคงไม่โชคร้าย แต่ความรู้สึกลึกๆ กลับโต้แย้งว่าถ้าไม่ใช่อย่างที่เราคิดแล้วเราจะรับได้แค่ไหน แล้วเสียงพยาบาลเรียกเข้าห้องตรวจก็หยุดความคิดของเราทั้งหมด หมอตรวจแผลที่ผ่าตัดและคลำต่อมน้ำเหลืองบริเวณต่างๆ ด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด แล้วหมอก็บอกว่า “ผลการตรวจชิ้นเนื้อมีปัญหา” คำพูดเท่านี้เรารู้ได้ทันทีว่าเราเป็นมะเร็ง ความรู้สึกตอนนั้นไม่แตกต่างกับคนที่กำลังจะจมน้ำ ได้ยินเสียงหมอเหมือนอยู่ไกลๆ ขนาดกลืนน้ำลายยังกลืนลำบาก รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเหมือนคนจะเป็นลม น้ำตาพาลจะไหล แต่พยายามอดทนไว้ เพราะคิดว่าหมอก็คงเครียดไม่ต่างไปจากเรา หรืออาจจะเครียดกว่าเราด้วยซ้ำเพราะไม่รู้ว่าคนไข้จะรับได้แค่ไหน

 
 

โดย: KMyoungelite วันที่: 30 เมษายน 2551 เวลา:15:36:52 น.  

 
 
 

หมอบอกว่าในเบื้องต้นเราเป็นมะเร็งระยะที่ 2 เนื่องจากก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่เกิน 2 cm และมีมากกว่าหนึ่งจุด และเนื่องจากผลการตรวจพบว่าก้อนเนื้อนั้นเป็นมะเร็งชนิดที่โตเร็วมากและอันตรายมาก จึงต้องรีบผ่าตัดเพื่อเอาเนื้อร้ายออกด้วยการตัดเต้านมออกทั้งหมด แต่การสันนิษฐานดังกล่าวอาจจะไม่ถูกต้องถ้าผ่าตัดแล้วพบว่ามะเร็งได้รุกลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่า มะเร็งจะอยู่ในระยะที่ 3

เมื่อหมอตรวจเสร็จเราต้องติดต่อกับพยาบาลเพื่อจองห้องสำหรับการผ่าตัดในครั้งที่ 2 ในตอนนั้นเราพยายามฝืนความรู้สึกตัวเองอย่างมากคิดว่าเวลาเพียงสั้นๆ ไม่กี่นาทีทำไมมันช่างยาวนานเช่นนี้ พอไปถึงรถความอดทนทั้งหมดมันก็หมดไป ร้องไห้อยู่ประมาณ 15 นาที ตอนนั้นรู้สึกเสียใจมาก แต่ไม่เคยนึกโกรธหรือโทษใครหรืออะไรเลย มันมีแต่ความรู้สึกเสียใจจริงๆ (ทั้งๆ ที่ทำใจเผื่อไว้บ้างแล้ว)

 
 

โดย: KMyoungelite วันที่: 30 เมษายน 2551 เวลา:15:39:53 น.  

 
 
 
แต่เจ๊ก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้นะ

 
 

โดย: คุณแม่จู้..จู้.. IP: 210.246.148.28 วันที่: 30 เมษายน 2551 เวลา:15:49:20 น.  

 
 
 

ต่อสู้กับจิตใจ

ในช่วงภาวะที่จิตใจอ่อนแอและสับสน การพูดคุยกับคนใกล้ชิดจะทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่มันไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นได้ทั้งหมด เพราะความคิดมันเกิดจากตัวเรา การเรียกพลังของความเข้มแข็งจึงอยู่ที่ตัวเราเป็นสำคัญ การเอาชนะความคิดของเราเองเป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด แต่ถ้าทำได้แล้วเราก็จะชนะทุกสิ่งและไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป

ความคิดของเราในตอนนั้นก็คงไม่แตกต่างจากคนทั่วไปที่เป็นมะเร็ง มีคำถามเกิดขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกมากมาย เฝ้าถามกับตัวเองว่าผลการตรวจนั้นมีโอกาสที่จะผิดพลาดหรือไม่ จะเป็นเหมือนอย่างในละครหรือเปล่าที่ตอนแรกหมอบอกว่าเป็นมะเร็งแต่สุดท้ายหมอก็บอกว่าผลการตรวจนั้นผิดพลาดความจริงแล้วเป็นผลตรวจของคนอื่น นึกไปถึงคนในครอบครัวว่าถ้าไม่มีเราแล้วเค้าจะเป็นอย่างไร นึกถึงความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นถ้าโรคมะเร็งที่เราเป็นรักษาไม่หายและต้องเสียชีวิตเพราะโรคนี้





แล้วเราก็พยายามหยุดคำถามทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยคิดว่าเราจะต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย ถ้าเรารักตัวเองและรักคนที่อยู่รอบข้างเรา แล้วก็คิดว่าถ้าเราเสียใจและเป็นทุกข์คนที่เรารักและรักเราจะเป็นทุกข์ไปกับเราด้วย เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไปเราก็ต้องสู้ เราไม่เคยคิดโทษโชคชะตาที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้ เรากลับคิดว่าการที่เราเป็นโรคนี้บางทีมันอาจเกิดจากการกระทำของเราเอง เราไม่รู้หรอกว่าเราเกิดมาแล้วกี่ชาติกี่ภพ และแต่ละชาติแต่ละภพเราทำอะไรไว้บ้าง การที่เราเป็นโรคนี้มันอาจจะเป็นการชดใช้กรรมที่เราอาจเคยทำไว้ในอดีตซึ่งการชดใช้ในชาตินี้มันคงดีกว่าชาติหน้า เพราะอย่างน้อยชาติหน้าก็จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดอีกว่าชาติที่แล้วไปทำอะไรไว้ ซึ่งชาติอดีตชาติหน้าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่เราพยายามคิดว่าถ้าอดีตและอนาคตไม่มีจริงแล้วทำไมคนเราถึงได้เกิดมาแตกต่างกัน และการที่มนุษย์เราเกิดมาก็เพื่อชดใช้กรรม ลองสังเกตดูก็ได้ว่า ไม่มีใครที่มีความสุขจริงๆ หรอก ทุกคนล้วนแต่มีความทุกข์ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าใครจะมีความทุกข์มากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น และความทุกข์ของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละเรื่อง ดังนั้น การทำใจให้ยอมรับและพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำให้ได้ และพยายามคิดว่าเรายังโชคดีที่หมอตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ในระยะต้นๆ ซึ่งยังมีความหวังว่าที่จะรักษาให้หายขาดได้ วันนั้นเรากลับบ้านโดยไม่เหลือความรู้สึกเสียใจอยู่เลย คงมีแต่ความรู้สึกที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อต่อสู้กับโรคร้ายนี้เท่านั้น





เราเคยนึกย้อนไปถึงการตรวจในครั้งแรก (ในบททดสอบที่ 1) แล้วคิดว่าถ้าการตรวจในครั้งนั้นหมอตรวจเจอก้อนเนื้อตั้งแต่แรก (เรามั่นใจว่าก้อนเนื้อที่เราคลำเจอตั้งแต่การไปหาหมอครั้งแรก เป็นก้อนเนื้อก้อนเดียวกับที่หมอตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง) การเป็นมะเร็งของเราน่าจะอยู่ในระยะที่ 1 เท่านั้น เพราะตอนนั้นก้อนเนื้อไม่น่าจะมีขนาดเกิน 2 cm แต่ทั้งหมดทั้งมวลเราก็ไม่เคยโทษหมอ เพราะการตรวจร่างกายมนุษย์มันไม่ใช่การตรวจที่สามารถแปรผลได้อย่างแน่นอนดังเช่นการทำโจทย์ในวิชาคณิตศาสตร์ที่ให้คำตอบได้อย่างแน่นอนตายตัว ร่างกายมนุษย์มีความลึกลับและซับซ้อน ผลการตรวจจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างซึ่งความผิดพลาดจากการตรวจย่อมเกิดขึ้นได้ เมื่อหมอมีหน้าที่ในการรักษาผู้ป่วย จรรยาบรรณของความเป็นหมอย่อมทำให้หมอตั้งใจทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด และคงไม่มีหมอคนใดที่ต้องการให้ผลการตรวจออกมาผิดพลาด เรากลับคิดว่าส่วนหนึ่งมันเกิดจากความไม่รู้และความใจเย็นของเราที่เมื่อเห็นความผิดปกติแล้วไม่รีบมาพบหมอ

 
 

โดย: KMyoungelite วันที่: 30 เมษายน 2551 เวลา:15:57:14 น.  

 
 
 

หลังจากวันที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง เรากลับค้นพบสิ่งดีๆ ในความโชคร้าย เรารู้สึกว่าเรายังโชคดีกว่าอีกหลายๆ คน เพราะเรามีเพื่อนร่วมงานที่หาได้ยากในสังคมปัจจุบัน ทุกคนเป็นพี่ที่ดี เป็นน้องที่น่ารัก เป็นเพื่อนที่เอาใจใส่ เป็นผู้บังคับบัญชาที่เข้าใจ และเรามีครอบครัวที่อบอุ่น นอกจากนี้เรายังค้นพบว่ามีคนรอบข้างเราอีกจำนวนมากที่เราไม่เคยรู้สึกและไม่เคยรับรู้ถึงความหวังดีของเค้าในวันที่เรามีความสุข แต่เราได้เห็นความหวังดีเหล่านั้นในขณะที่เราต่อสู้กับโรคร้ายนี้ หลายๆ คนทำอะไรเพื่อเราโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เราว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันมีคุณค่ากับเรามากจนบางครั้งทำให้คิดว่า “การเป็นมะเร็งนี่ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะมันทำให้เรามองเห็นมิตรแท้”

 
 

โดย: KMyoungelite วันที่: 30 เมษายน 2551 เวลา:15:59:35 น.  

 
 
 
อ่านแล้วซึ้งอ่ะ
 
 

โดย: น้องๆ IP: 210.246.148.28 วันที่: 1 พฤษภาคม 2551 เวลา:12:49:49 น.  

 
 
 

มาเป็นกำลัง Smiley ให้ ยังไงก็ Smiley ต่อไปนะ แม้ว่าวันนี้ท้องฟ้าจะ Smiley แต่วันหน้าจะต้อง Smiley แน่นอน







Free TextEditor
 
 

โดย: มู๋น้อยด้อยวรยุทธ์ (KMyoungelite ) วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:1:02:05 น.  

 
 
 
เพิ่งรู้นะคะว่า คุณแม่น้องหยกร้องไห้ด้วย เห็นเข้มแข็งมากๆ จนบางครั้งเรารู้สึกว่า ทำไมเข้มแข็งจัง ถ้าน้องมะมาทักทายเรา..เราจะเข้มแข็งได้แบบนี้ไหม...
แต่สิ่งหนึ่งที่คุณแม่น้องหยกเห็นเหมือนเราคือ ทุกๆ คนที่ สคก. เป็นพี่เป็นน้อง...มีมิตรภาพที่ดีต่อกันและกันเสมอ...คงหาไม่ได้ที่อื่นอีกแย้ว
 
 

โดย: ปลาวาฬน้อย IP: 210.246.148.28 วันที่: 7 พฤษภาคม 2551 เวลา:19:03:32 น.  

 
 
 

ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

เมื่อผ่านพ้นวันฝันร้ายมาได้ เราก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านมทั้งหมดเท่าที่จะหาได้ ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุการเกิดโรค วิธีการรักษา และการดูแลตัวเอง ในสมัยก่อนการรักษาโรคมะเร็งเต้านมมักใช้วิธีการผ่าตัดแล้วตามด้วยการให้เคมีบำบัดและการฉายแสง แต่ในปัจจุบันมีทางเลือกใหม่ให้กับผู้ที่เป็นมะเร็ง คือการรักษาด้วยชีวจิต เราไม่ได้เชื่อในศาสตร์แขนงใดแขนงหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะเราคิดว่าศาสตร์ทุกแขนงมีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดีทั้งนั้นอยู่ที่เราจะเลือกปฏิบัติอย่างไรมากกว่า ซึ่งเราเลือกที่จะรักษาตามแนวทางของแพทย์แผนปัจจุบัน แต่เราก็ไม่ละเลยที่จะใส่ใจสุขภาพของเราด้วยการเลือกกินอาหารในแนวทางของชีวจิตเท่าที่จะสามารถทำได้

 
 

โดย: KMyoungelite วันที่: 16 พฤษภาคม 2551 เวลา:19:43:32 น.  

 
 
 

ในช่วงระยะเวลาที่รอการผ่าตัดในครั้งที่ 2 เราพยายามงดเนื้อสัตว์ งดอาหารที่ใช้น้ำมันในการประกอบอาหาร งดอาหารรสจัด และพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารปรุงแต่ง เราเปลี่ยนวิถีชีวิตในการกินที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยเราเลือกกินธัญพืชชนิดต่างๆ กินข้าวกล้อง กินอาหารรสจืดอย่างที่ไม่เคยกินมาก่อน กินผักและผลไม้ให้มากที่สุด แล้วตอนนั้นเราก็ได้พบสัจธรรมเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของเราในอดีต เรานึกเสียใจว่าทำไมในอดีตเราถึงได้ละเลยให้ความใส่ใจสุขภาพของตัวเองขนาดนี้ ทำไมเราถึงได้ทำร้ายตัวเองด้วยอาหารที่เรากินเข้าไป เพราะในอดีตเราเป็นคนที่ชอบกินอาหารรสจัดมาก ชอบกินอาหารที่ทอดด้วยน้ำมันและอาหารประเภทปิ้งย่าง ชอบกินอาหารประเภทหมักดอง ชอบกินอาหารที่หลายคนเรียกว่าอาหารขยะ สิ่งต่างๆ เหล่านี้แทบจะไม่มีประโยชน์กับร่างกายเราเลย การกินเข้าไปกลับเป็นการเพิ่มภาระให้กับร่างกายเราที่จะขับออกด้วยซ้ำไป และการกินอาหารเหล่านั้นไปนานๆ จนถึงวันหนึ่งที่ร่างกายเริ่มขับออกไม่ไหวมันก็จะเริ่มสะสมในร่างกายของเราจนวันหนึ่งมันก็แสดงอาการออกมา (ทั้งหมดนี้เกิดจากความคิดของเราเอง ซึ่งหมอแผนปัจจุบันไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะหมอบอกว่าการเป็นมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่มักเกิดจากกรรมพันธุ์)
 
 

โดย: KMyoungelite วันที่: 16 พฤษภาคม 2551 เวลา:19:45:35 น.  

 
 
 
เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้สู้นะคะ วันนี้ตัวเองเพิ่งให้หมอตรวจพบก้อนเนื้อที่บริเวณปีกมดลูกข้างขวา ต้องไปอัลตร้าซาวด์ดูว่าเป็นตับโต เนื้องอกในลำไส้ใหญ่ หรือซีสต์ช๊อคโกแลต แล้วจะมารายงานผลให้ทราบนะคะ

ปล. ปรับอาหารไม่ทานเนื้อสัตว์จะช่วยได้มากพอสมควรค่ะ
 
 

โดย: moo IP: 58.9.225.141 วันที่: 20 มิถุนายน 2551 เวลา:21:20:36 น.  

 
 
 

ในช่วงเวลาที่เรากินอาหารตามแนวทางของชีวจิตนั้น มีบุคคลที่หวังดีได้พยายามตักเตือนเราเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของเรา ด้วยความเป็นห่วงว่าร่างกายของเราจะไม่แข็งแรงเพียงพอสำหรับการผ่าตัดในครั้งที่ 2 ซึ่งมีระยะห่างจากการผ่าตัดครั้งแรกแค่เพียงเดือนเดียว เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวเรางดกินเนื้อสัตว์ทุกประเภท แต่ในช่วงเวลานั้นเราคิดแต่เพียงว่าการกินเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นอาหารที่ให้โปรตีนจะมีผลทำให้มะเร็งรุกลามไปได้เร็วขึ้นเนื่องจากโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์มะเร็ง (ตามแนวความเชื่อของชีวจิต) ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าความคิดของเราถูกต้องหรือไม่ แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือในตอนนั้นเราได้รับรู้ถึงความน่ากลัวและความร้ายแรงของโรคมะเร็งที่เราเป็น เพราะในช่วงเวลาแค่เพียงเดือนเดียวเจ้ามะเร็งมันสามารถเพิ่มจำนวนขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เราคลำเจอก้อนเนื้อเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งก้อน ในบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่ได้ผ่าตัดไปแล้วในครั้งแรก ในตอนนั้นเราแปลกใจตัวเองที่เรากลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยและในสมองคิดแต่เพียงว่าเราต้องเอาชนะโรคร้ายนี้ให้ได้ไม่ว่ามันจะร้ายแรงสักเพียงใด


 
 

โดย: KMyoungelite วันที่: 2 ตุลาคม 2551 เวลา:12:48:36 น.  

 
 
 

การผ่าตัดครั้งที่ 2

เมื่อถึงวันนัดผ่าตัดครั้งที่ 2 เรา Admit ก่อนวันผ่าตัดหนึ่งวันเพื่อเตรียมร่างกาย ซึ่งขั้นตอนและกระบวนการในการเตรียมร่างกายแทบจะไม่แตกต่างจากการผ่าตัดในครั้งแรก อาจจะมีแตกต่างกันบ้างก็ตรงความรู้สึกของเราที่แม้จะผ่านการผ่าตัดในครั้งแรกมาแล้ว แต่ก็รู้สึกกังวลกับการผ่าตัดในครั้งนี้ เนื่องจากการผ่าตัดครั้งนี้จะเป็นการผ่าตัดเพื่อเอามะเร็งออก โดยในการผ่าตัดหมอจะต้องนำชิ้นเนื้อที่เป็นมะเร็งออกให้หมด จะเหลือชิ้นเนื้อของเต้านมไว้เฉพาะส่วนที่มะเร็งรุกลามไปไม่ถึงเท่านั้น และจะมีการทำศัลยกรรมเต้านมโดยการนำก้อนเนื้อจากอวัยวะส่วนอื่นมาเสริมเพื่อให้เต้านมได้รูปดังเดิม


 
 

โดย: KMyoungelite วันที่: 2 ตุลาคม 2551 เวลา:12:57:55 น.  

 
 
 

เมื่อถึงวันผ่าตัด น้ำหนักเราลดลงไปเกือบ 5 กิโล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาหารชีวจิตที่ไม่กินเนื้อสัตว์และอาหารที่ปรุงจากน้ำมันเลย หรือเป็นผลมาจากเจ้ามะเร็งที่อยู่ในตัว

 
 

โดย: KMyoungelite วันที่: 2 ตุลาคม 2551 เวลา:13:51:14 น.  

 
 
 
แม่น้องหยกทำบุญเยอะ ทำกิจกรรมเพื่อสังคม ทำทุกอย่างที่ดีๆๆ ช่วยทุกอย่างที่ทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อสังคม คนดี...ต้องอยู่เพื่อสังคมต่อไป
 
 

โดย: เด็กข้างโต๊ะ IP: 210.246.148.28 วันที่: 8 ตุลาคม 2551 เวลา:17:04:25 น.  

 
 
 
เป็นข้อมูลได้ดีมากเลยคะ
ขอบคุนนะคะที่มาเล่าประสบการณ์
หั้ยฟัง ตอนนี้เป็นเหมือนคุณแม่เลยคะ แม่ไปตรวจเจอก้อนเนื้อเหมือนกันครั้งแรกเจาะน้ำไปตรวจผลบอกว่าเป็นซีสต์ ต่อมาครั้งที่สองเจาะเนื้อเยื่อไปตรวจผลออกมาเป็นเนื้อร้ายมีเซลล์มะเร็ง90% ทีนี้ก้ต้องไปทำแมมโมแกรม ผลออกมาเป้นก้อนซีสต์พบถุงน้ำ 2 ถุงมะได้เป็นเนื้อร้าย กลัวจังเลยคะตอนนี้มะรู้ทำขั้นตอนไหนต่อไปดี คงต้องเอาผลชิ้นเนื้อไปตรวจอีกทีเพื่อให้ทราบแน่นอน จะเข้ามาอ่านใน Blog บ่อยๆนะคะ เพื่อเป้นข้อมูลยังไงจะมาเล่าผลให้ฟังนะคะ เป้นกำลังใจหั้ยคุณแม่น้องหยกนะคะ
 
 

โดย: pui IP: 58.9.214.169 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2551 เวลา:0:03:59 น.  

 
 
 
เข้มแข็งนะค่ะ
น้าสาวยังไม่ได้ไปตรวจเลยไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง
ภาวนาขอให้ไม่ใช่แต่เค้าไม่ยอมรับการเข้าพบหมอ
กลุ้มใจมาก
 
 

โดย: rat IP: 202.176.83.104 วันที่: 12 ธันวาคม 2551 เวลา:15:05:36 น.  

 
 
 
เป็นกำลังใจให้ค่ะ ตอนนี้ก็กำลังจะไปตรวจเหมือนกัน...
 
 

โดย: oa IP: 124.120.100.32 วันที่: 7 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:37:36 น.  

 
 
 

ห่างหายไปนาน (เนื่องจากต้องเคลียร์งานที่ค้างหลังจากไปต่อสู้กับเจ้าน้องมะมานาน) เล่าประสบการณ์ต่อ
เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่เจอสภาพเดียวกัน

การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี แม้จะรู้ขั้นตอนและวิธีการผ่าตัดจากการผ่าตัดในครั้งแรกแล้วก็ตาม
แต่ความกังวลก็ยังคงมีอยู่ไม่น้อย เพราะการผ่าตัดครั้งนี้เป็นการผ่าตัดที่ใหญ่กว่าการผ่าตัดในครั้งแรก ต้องมีการตัดก้อนเนื้อที่เป็นมะเร็งและต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณใต้รักแร้ออก และมีการทำศัลยกรรมเต้านมด้วยซึ่งน่าจะใช้เวลานาน (กลัวเสียเลือดเยอะ)
 
 

โดย: แม่น้องหยก (KMyoungelite ) วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:12:45:25 น.  

 
 
 

หมายเหตุ - การผ่าตัดมะเร็งเต้านมมักจะต้องมีการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองบริเวณใต้รักแร้
ออกด้วย ซึ่งจากการหาข้อมูลทำให้รู้ว่าการผ่าตัดดังกล่าวมีด้วยกัน 2 แนวทาง โดยแนวทางที่ 1 จะเป็นการ
ตัดต่อมน้ำเหลืองบริเวณใต้รักแร้บางส่วนมาตรวจในระหว่างการผ่าตัดว่ามะเร็งลุกลามไปถึงหรือไม่ หากมะเร็งลุกลามไปถึงจึงจะผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองนั้นออก แต่ในกรณีที่มะเร็งลุกลามไปไม่ถึงจะไม่มีการผ่าตัดเอา
ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใต้รักแร้นั้นออกเลย และแนวทางที่ 2 จะเป็นการผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับเต้านมออกโดยไม่มีการตรวจในเบื้องต้นเหมือนอย่างแนวทางที่ 1 โดยหมอจะนัดมาฟังผลการตรวจต่อมน้ำเหลืองนั้นในภายหลัง

 
 

โดย: แม่น้องหยก (KMyoungelite ) วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:12:49:17 น.  

 
 
 

การผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองทั้ง 2 แนวทางมีข้อดีข้อเสียต่างกัน โดยการผ่าตัดอย่างในแนวทาง
ที่ 1 จะดีตรงที่เราไม่ถูกตัดต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ออก

ซึ่งการตัดต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้จะทำให้มีผลข้างเคียงต่อการดำรงชีวิตประจำวันพอสมควร เพราะเมื่อต่อมน้ำเหลืองถูกตัดทิ้งไปจะทำให้น้ำเหลืองไหลกลับไม่สะดวกซึ่งจะทำให้แขนบวม ดังนั้น ผู้ที่ถูกตัดต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้จึงห้ามยกของหนังเกิน 5 ก.ก. หรือห้ามห้อยแขนลงในเวลานานๆ เพราะจะทำให้แขนบวม (โดยไม่ยุบเลย) ต้องระวังไม่ให้ถูกแมลงกัดต่อยหรือเป็นแผลบริเวณแขนข้างนั้นเพราะจะทำให้แผลหายช้าหรือเลือดไม่หยุดไหล และต้องทำกายบริหารโดยการยกแขนขึ้นสูงบ่อยๆ เพื่อให้แขนมีแรง (ถ้าไม่ทำแขนจะไม่มีแรงและจะไม่สามารถยกแขนขึ้นสูงได้อีกเลยเพราะกล้ามเนื้อบริเวณใต้รักแร้มันจะติดกัน) และอีกมากมาย

อ่านดูแล้วเหมือนการผ่าตัดในแนวทางที่ 1 น่าจะดีกว่าการผ่าตัดในแนวทางที่ 2 แต่ในความเป็นจริงเมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย ข้อ เสียของการผ่าตัดในแนวทางที่ 1 คือ มันอาจจะทำให้เราประมาทว่ามะเร็งมันลุกลามไปไม่ถึงต่อมน้ำเหลืองบริเวณใต้รักแร้เลยไม่ตัดออก แต่เคยมีบางคนที่หมอไม่ตัดต่อมน้ำเหลืองออกแล้วปรากฏว่ามะเร็งมันลุกลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองนั้นภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี ซึ่งทำให้ต้องมีการผ่าตัดใหม่ ต้องให้คีโมและฉายแสงใหม่ (เหมือนเป็นการเริ่มต้นการรักษาใหม่ประมาณนั้น)

 
 

โดย: แม่น้องหยก (KMyoungelite ) วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:13:03:34 น.  

 
 
 

ในการผ่าตัดของเราหมอเลือกใช้วิธีการในแนวทางที่ 2 ซึ่งเราก็เคารพการตัดสินใจของหมอ เพราะเราคิดว่าหมอคงเลือกแนวทางที่ดีที่สุดให้เราแล้ว หมอได้ผ่าตัดเอาก้อนเนื้อที่เป็นมะเร็งบริเวณเต้านมออกไปครึ่งหนึ่งและผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองบริเวณใต้รักแร้ออกไป 3 ต่อม และทำศัลยกรรมเต้านมในคราวเดียวกัน โดยการตัดก้อนเนื้อที่อยู่บริเวณหลังด้านขวามาทำศัลยกรรมบริเวณเต้านม

ซึ่งหมอในปัจจุบันนี้เก่งมาก เพราะจากการสอบถาม(หลังจากฟื้นจากการผ่าตัดแล้ว) เราถึงได้รู้ว่า การทำศัลยกรรมเต้านมโดยก้อนเนื้อด้านหลังนั้นหมอทำโดยการตัดก้อนเนื้อ(รวมทั้งเส้นประสาททั้งหลาย) แล้วค่อยๆ ดันก้อนเนื้อย้ายมาที่บริเวณเต้านมโดยไม่ได้มีการนำก้อนเนื้อนั้นออกมาภายนอกร่างกายเลย (ต้องขอบคุณอาจารย์ที่ทำผ่าตัดให้เรามาก เพราะอาจารย์มือเบามากแผลไม่ระบมเลย และผ่าตัดแผลได้สวยงามมาก ขอบคุณอาจารย์วิษณุฯ มากนะค่ะ)

 
 

โดย: แม่น้องหยก (KMyoungelite ) วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:13:08:37 น.  

 
 
 

การผ่าตัดในครั้งที่ 2 ใช้เวลายาวนานมาก เราเข้าห้องผ่าตัดไปประมาณบ่ายสาม ฟื้นอีกทีตอนประมาณ 2 ทุ่ม กลับถึงห้องพักเกือบๆ 3 ทุ่ม แต่ครั้งนี้สภาพร่างกายดีกว่าครั้งแรกไม่มีอาการของความดันต่ำเหมือนครั้งแรกเพียงแต่รู้สึกเพลียมากกว่าการผ่าตัดครั้งแรกเท่านั้น (อาจจะเป็นเพราะอดอาหารตั้งแต่มื้อเย็นของวันก่อนผ่าตัด และในวันที่ผ่าตัดไม่ได้กินอะไรเลยเนื่องจากต้องรอผ่าตัดในตอนเย็น เพราะห้องผ่าตัดไม่ว่าง)
 
 

โดย: แม่น้องหยก (KMyoungelite ) วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:14:35:43 น.  

 
 
 

เมื่อฟื้นจากการผ่าตัดสิ่งแรกที่รับรู้ได้ก็คืออาการเจ็บแล้วก็ตึงบริเวณหน้าอกและบริเวณหลัง แล้วก็มองเห็นสายน้ำเกลือที่แขนข้างซ้าย ส่วนบริเวณข้างลำตัวด้านขวาก็จะมีสายเหมือนสายน้ำเกลือต่อออกจากแผลบริเวณเต้านมไปที่ขวดแก้วขนาดประมาณขวดน้ำขวดเล็ก 2 ขวด ซึ่งมันเป็นขวดที่ใช้สำหรับระบายของเสีย (เลือดและน้ำเหลืองอย่างละขวด) ที่ค้างอยู่ที่แผลบริเวณที่ผ่าตัด หลังจากลืมตาญาติก็พยายามให้ทานอาหาร (เนื่องจากเห็นว่าอดข้าวมาทั้งวัน) แต่ด้วยฤทธิ์ยาสลบที่ยังค้างอยู่ทำให้รู้สึกแต่อยากจะนอนเท่านั้น
 
 

โดย: แม่น้องหยก (KMyoungelite ) วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:14:38:47 น.  

 
 
 

สติและเรี่ยวแรงกลับมาเต็มที่ในวันรุ่งขึ้น แต่นอกจากเรี่ยวแรงที่กลับมาแล้วยังมีความรู้สึกเจ็บปวดตามมาด้วย หมอสั่งยาระงับปวดให้เป็นระยะๆ แต่เนื่องจากมีไข้ต่ำๆ ในตอนกลางคืน หมอเลยต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเนื่องจากกลัวปอดติดเชื้อ และการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการทำให้ปอดแข็งแรง โดยการใช้เครื่องมือแพทย์ที่มีลักษณะคล้ายๆ ของเล่นเด็ก (ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร) โดยต้องสูดลมหายใจเข้าผ่านเจ้าเครื่องนี้ถ้าปอดแข็งแรงดีลูกบอลที่อยู่ในหลอด (มีทั้งหมดประมาณ 4 หลอด) จะต้องขึ้นสูงสุดทั้ง 4 หลอด โดยหมอจะมาถามความคืบหน้าของการออกกำลังกายปอดทุกวัน
 
 

โดย: KMyoungelite วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:11:27:40 น.  

 
 
 

เรานอนอยู่โรงพยาบาลประมาณ 7 วัน ก็ได้กลับบ้าน โดยก่อนกลับบ้านหมอได้เอาขวดระบายของเสียออก แต่หมอบอกว่าน้ำเหลืองอาจจะยังไหลอยู่และทำให้บริเวณแผลมีอาการบวมน้ำ แต่ไม่ต้องเป็นกังวลเพราะสามารถดูดน้ำเหลืองออกได้เมื่อมาพบหมอ และหมอก็นัดให้มาดูดน้ำเหลืองที่ยังค้างอยู่พร้อมกับฟังผลการตรวจต่อมน้ำเหลืองที่ตัดออกไปอีกประมาณ 1 สัปดาห์ โดยหมอได้สั่งให้หยุดพักฟื้นหลังการผ่าตัด 15 วัน และบอกว่าอาจต้องมีการให้คีโมและการฉายแสง แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งว่าไปถึงต่อมน้ำเหลืองหรือไม่
 
 

โดย: KMyoungelite วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:11:31:06 น.  

 
 
 

เรื่องการรักษาหลังการผ่าตัด (คีโมและฉายแสง) ไปอ่านต่อบล็อกใหม่ว่าด้วยการให้คีโมและฉายแสงจ้า
 
 

โดย: KMyoungelite วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:11:33:41 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

KMyoungelite
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]








[Add KMyoungelite's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com