Love is All Around.
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
2 กรกฏาคม 2556
 
All Blogs
 

BMW M Division 40 Year Driving History at the Nürburgring

ฉลองครบรอบปีที่ 40 ของรถสปอร์ตเวอร์ชั่น M ค่ายใบพัด BMW Group จัดรถ M ลงวิ่งในสนาม Nürburgring ย้อนรำลึกอดีตอันยิ่งใหญ่ของสายพันธ์ุ M Car...

งาน เฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีของ BMW M Division นำรถรุ่นประวัติศาสตร์ทั้งหมดของบริษัทมาให้ทดลองขับในสนามแข่ง Nürburgring มากันครบครันตั้งแต่ 3.0 CSL / M3 E30 / M1 / M3 CLS พร้อมรถแข่งที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับทีมแข่งของ BMW แม้สภาพอากาศจะไม่เอื้ออำนวยและมีรถเกิดอุบัติเหตุถึงสองคัน ( M3 E36) น่าเสียดายที่รถทั้งสองคันถูกดูแลมาเป็นอย่างดีจาก BMW M Division งาน BMW M 40 Year Driving History จัดขึ้นสองวันโดยเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนและสมาชิกของ M-Club นำรถลงไปประลองความเร็วใน Nürburgring














ตัว อักษร M คือสัญลักษณ์แห่งพลังความเร็วและแรงของรถยนต์จากค่ายใบพัดฟ้าขาวจาก เยอรมนี เริ่มก่อตั้งขึ้นเป็นสำนักงานเล็กๆ ในปี 1972 โดย Jochen Neerpash และ Martin Braungart เพื่ิิิอสร้างรถแข่งให้กับทีมแข่งของ BMW Motorsport ซึ่งก่อนหน้านั้นบริษัท BMW ใช้การแข่งขันรถยนต์เป็นภาพลักษณ์ส่วนหนึ่งของการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีรูป แบบของความเร็วและสวยงามควบคู่กันมาโดยตลอดกว่า 60 ปี


หลัง จากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ประเทศเยอรมนีประสบกับสภาวะเศรษกิจตกต่ำเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นประเทศที่ แพ้สงคราม ซึ่งทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบและอะไหล่สำหรับการแข่งขัน รถยนต์เป็นอย่างมาก แต่ก็มีคนอย่าง Alex Vons Falkenhausen ที่ใช้ความสามารถที่มีอยู่คอยกอบกู้การแข่งขันรถยนต์ของ BMW ให้ดำรงอยู่ต่อไปด้วยการนำเอาอะไหล่และรถแข่งรุ่นเก่าๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากยุคสงครามโลกมาดัดแปลงแก้ไขให้ผ่านพ้นวิกฤติการณ์ ครั้งนั้นไปได้ด้วยดี


จาก ชัยชนะของทีมแข่งรถ BMW ที่มีความเหนือกว่ารถแข่งของทีมแข่งบางทีมในยุโรปทำให้เกิดการสร้างรถเพื่อ ใช้ในการแข่งขันขึ้นมามากมายหลายรุ่น และรถแข่งเหล่านั้นเริ่มกลายเป็นรถที่มีชื่อเสียงในด้านความแรง การควบคุมที่ง่ายดายและคล่องตัว รวมถึงรูปทรงที่สวยงาม พวกมันหลายคันมีชื่อเสียงเป็นที่น่าเกรงขามว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว และเอาชนะได้ยากเช่นรถรุ่น 2002, 3.0 CS และ 3.0 CSL Coupe (ที่มีแรงม้ามหาศาลตั้งแต่ 350-500 แรงม้าในยุค 1960-1970) รวมไปถึงยุคที่เทอร์โบเริ่มเข้ามามีบทบาทในการสร้างพลังให้กับเครื่องยนต์ ของรถแข่งเช่นรถ Series-3 รุ่น 320 รหัสตัวถัง e21 ที่นำมาทำเป็นรถแข่งและเมื่อผ่านการโมดิฟายแล้วทำให้มันมีแรงม้าถึง 800 ตัว ซึ่งสามารถคว้าชัยชนะในรายการ European Touring Car ในสนามเลอมองส์ได้อย่างง่ายดาย (1977) ยังมีรถแข่งที่ BMW ส่งเข้าแข่งขันในรุ่นที่สูงกว่าเช่น M1, Series 6-635 CSL โดยรถแข่งและทีมแข่งทั้งหมดของ BMW ได้รับการสนับสนุนและร่วมมือจากสำนักแต่งรถยนต์ชื่อดังของเยอรมนีและยุโรป เช่น Alpina, AC Schnitzer, Bigazzi, Prodrive

ประวัติศาสตร์และการแข่งขันรถยนต์ของ BMW Motorsport Gmbh



1972-1973


ปีที่เริ่มก่อตั้ง BMW Motorsport Gmbh โดย Jochen Neerpash และ Martin Braungart ซึ่งมีฐานการผลิตทั้งรถยนต์และเครื่องยนต์ที่ใช้ในการแข่งขันอยู่ที่โรงงาน BMW ในเมืองมิวนิก รถแข่ง BMW March 732 ที่ขับโดย ฌอง ปิแยร์ จาริเยร์ เข้าเส้นชัยเป็นคันแรกในการแข่งขัน Formula Two ชิงแชมป์ยุโรป และปีเดียวกันนี้เองที่ โทอีน เฮอเซอร์มานส์ ควบรถ BMW 3.0 CSL 360 แรงม้าที่เป็นรถยนต์ที่มีรูปทรงสวยงามคว้าแชมป์ European Touring Car


1974-1975

ราชา แห่งสนามแข่งรถฮ็อกเกนไฮม์ในรายการ Formula Two ตัวจริงของยุโรปต้องยกให้กับ ฮานส์ โยอาคิม สตัค กับรถแข่ง Formula Two ของ BMW Motorsport Gmbh ส่วน Artcar คันแรกของ BMW ที่ออกแบบลวดลายบนตัวถังของรถ 3.0 CSL โดย อเล็กซานเดอร์ คัลเดอร์ ศิลปินชาวอเมริกันเข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์แบบมาราธอน 24 ชั่วโมงในสนามแข่งรถของรายการ Le Mans 24 Hours แต่ก็ต้องถอนตัวออกจากการแข่งขันกลางคัน เนื่องจากปัญหาของสายพานไทม์มิ่ง ยังดีที่ ณาคส์ ลาฟฟิท ควบรถ BMW Formula Two เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่สามในการแข่งขันรถภาคพื้นยุโรป


1976-1977

นัก ขับรถแข่งชาวฟินแลนด์ชื่อ ราอูโน อาลโทเนน รับหน้าที่เป็นนักขับทดสอบและครูสอนการขับรถเป็นคนแรกของแผนก BMW Motorsport Gmbh ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเริ่มต้นของบริษัท BMW ที่เปิดให้มีการสอนการขับรถในสถานะการณ์ต่างๆ เพื่อให้ผู้ขับขี่มีทักษะที่ดี ในการควบคุมรถยนต์ รถ Series 5 รุ่น 535i 218 แรงม้าเป็นรถยนต์ต้นแบบคันแรกของ BMW Motorsport ที่สามารถโมดิฟายแรงม้าให้เพิ่มขึ้นถึง 1,410 แรงม้าในการวิ่งทดสอบ ทีมแข่งขนาดเล็กที่มี เอดดี้ ซีเวอร์-มารค์ ซูเรอร์-อัลเฟรด วิลเกนฮ็อก สร้างความฮืออาด้วยรถ Series 3 -320 รหัส e21 ตามมาด้วยชัยชนะของ ดีทเทอร์ เควสเตอร์ ในรายการ European Touring Car ที่ Le Mans ส่วน Artcar 320 e21 ที่ออกแบบโดย รอย ลิคเทนสไตน์ได้เพียงอันดับที่ 9 รถ McLaren 320i Turbo ถูกสร้างขึ้นในปี 1977-1979 แรงม้าสูงสุดที่มันเคยทำได้คือ 650 แรงม้าแต่วิศวกรของ BMW คาดว่ามันสามารถโมดิฟายให้ไปถึง 800 แรงม้าได้อย่างสบายเพราะ BMW เคยสร้างเครื่องยนต์สี่สูบที่มีแรงม้าถึง 950 แรงม้ามาแล้ว


1978-1979


แผนกออก แบบและสร้างรถแข่งของ BMW Motorsport เผยรูปโฉมของรถรุ่นใหม่ล่าสุด BMW M1 ที่ร่วมมือกันพัฒนากับ Lamborghini โดย นำมาประยุกต์ใช้บนท้องถนนได้ ส่วน บรูโน จาโคเมลลิ นักขับจากทีมแข่ง Formula Two สามารถต่ายอันดับในการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์ยุโรป ทั้งๆ ที่เริ่มต้นเข้าทำการแข่งขันเป็นปีแรกโดยรถแข่ง BMW Formula Two BMW Motorsport ทำการเปิดตัวรถ M1Procar Series ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นรถแข่งที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดตลอดกาล พร้อมด้วยชัยชนะในอันดับที่หนึ่งของรถ BMW Formula Two ที่ขับโดย มารค์ ซูเรอร์


1981-1983

ตำแหน่ง ชนะเลิศในรายการ European Touring Car คือรถ BMW Series 6 รุ่น 632 CSL ขับโดย เฮลมุท เลนเนอร์ และอุมแบร์โต กราโน พร้อมทั้งการผลิตรถ BMW M1เพื่อส่งออกทำตลาดในยุโรปและอเมริกา เนลสัน ปิเก้ นักแข่งรถชาวบราซิเลียนกลายเป็นแชมป์โลกรถ Formula Two ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมจากพลังงานของเครื่องยนต์ 4 สูบโดยมันสมองอันกว้างไกลของ ปอล รอสก์ พ่อมดผู้เสกเป่ากำลังของเครื่องยนต์ในแผนก M-Motorsport ติดตามมาด้วยการคว้าแชมป์ของรายการ European Touring Car ประจำปีนั้นด้วยรถ M 635 CSI ที่ขับโดย ดีทเทอร์ เควสเตอร์


1984-1985


บริษัท BMW ทำการเปิดตัวรถ M5 ในรหัสรุ่น e28 ขึ้นเป็นคันแรกของโลกออกสู่ตลาดในยุโรปด้วยเครื่องยนต์ 286 แรงม้าที่สามารถเกาะท้ายรถสปอตร์เครื่องยนต์แรงสูงได้อย่างสบาย และด้วยรถรุ่นนี้นั่นเองที่ BMWได้พลิกโฉมหน้าของวงการยานยนต์ด้วยการสร้างตัวแทนแบบรถส่ีประตู แต่มีกำลังเทียบเท่ารถสปอตร์ชั้นดี นอกจากนั้น เครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูงตัวนี้ยังถูกใช้กับรถรุ่น M1, และ M 635 CSI อีกด้วย ความพยายามที่จะทำให้รถ Series 3 รหัสตัวถัง e30 มีเครื่องยนต์ที่แรงพอสำหรับการแข่งขันในกรุ๊ป A ทีมวิศวกรเครื่องยนต์ของ BMW จึงผลิตรถ Series 3 ให้กลายมาเป็นรถ M3 จนเป็นผลสำเร็จ เครื่องยนต์สี่สูบความจุ 2.3 ลิตรและมีแรงม้าถึง 200 ตัวเป็นที่น่าหวั่นเกรงของเหล่าบรรดาทีมแข่งรถชั้นนำทั่วโลกไม่ว่ามันจะอยู่ ในตำแหน่งใดของการสตาร์ตก็ตาม


1988-1991

รถ BMW M3 Evolution รหัสตัวถัง e30 ขึ้นมาเป็นผู้นำในการแข่งขัน European Touring Car และสำหรับผู้ที่มีรสนิยมในการขับรถยนต์แบบสปอร์ตสามารถเลือกซื้อรถ BMW M3 ที่มีรุ่นเปิดประทุนออกมาวางตลาดด้วย ส่วนพวกบ้าความแรงก็ยังคงมีรถ Series 5 รุ่น M5 e34 ที่มีกำลังถึง 356 แรงม้าเอาไว้ต่อกรกับบรรดาคู่แข่งตัวแรงจากทั้ง Mercedes Benz ที่มีแผนก AMG และ Porsche ที่มี RUF เป็นสำนักงานย่อยในการโมดิฟายรถยนต์รุ่นปกติของค่ายให้เป็นรถรุ่นพิเศษที่มี แรงม้ามากกว่าปกติ รถ BMW M3 e30 สามารถคว้าชัยชนะได้ถึง 16 รายการทั้งในเยอรมนีและทั่วภาคพื้นยุโรปซึ่งรวมไปถึงตำแหน่งชนะเลิศของ รายการใหญ่อย่าง European Hill Climb โดยมีภาพที่เห็นจนชินตาคือรถ M3 วิ่งนำหน้ากลุ่มของรถแข่งทั้งหมดอยู่เสมอๆ


1992-1995

M Gmbh เริ่มต้นในทศวรรษที่สามด้วยการเปิดตัวรถ Series 3 รหัสตัวถัง e36 ที่มีกำลังถึง 286 แรงม้า หลังจากนั้นจึงทำการเปิดผ้าคลุมของรถสปอร์ตรุ่น Series 8 นั่นก็คือรถรุ่น 850 CSL อันสวยงามและมีเครื่องยนต์วี 12 ขนาดใหญ่ของ BMW เป็นตัวสร้างพลังงาน ต่อมาวิศวกรของสำนักแต่งรถ M-Motorsport เพิ่มความจุของรถ M5 รหัสตัวถัง e34 ให้มีปริมาตรความจุที่ 3.8 ลิตรและมีแรงม้าเพิ่มขึ้นตามมาถึง 430 แรงม้า ปี 1993 รถ M3 e36 รุ่นเปิดประทุนเริ่มต้นออกวางขาย และรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำที่ออกแบบโดย กอดอน เมอเรย์ ที่ใช้ชื่อรุ่นว่า McLaren F1 สามารถวิ่งทำความเร็วและทำลายสถิติโลกด้านความเร็วสูงสุดของรถยนต์โดยใช้ เครื่องยนต์ BMW V12 627 แรงม้าจนได้ชื่อว่าเป็นรถยนต์ประเภท GT ที่วิ่งได้เร็วที่สุดในโลกยนตรกรรม (ก่อนที่จะมาโดนรถบูกัตติ เวย์รอนแย่งตำแหน่งนี้ไปในปี 2005)


ใน ปี 1994 นี้นับได้ว่าเป็นครั้งแรกของ BMW ที่ทำการผลิตรถ M3 จากรุ่น Series 3 สี่ประตู 295 แรงม้าและส่งผลต่อเนื่องไปถึงการคว้าแชมป์ European Touring Car ของรถ M3 สี่ประตู รหัส e36 ที่ขับขีี่โดย โยอาคิม วิงเคลฮ็อก-สตีฟ โซเปอร์-และจอห์นนี่ เซคอตโต หลังจากนั้นในปี 1995 รถ McLaren F1ในทีมแข่งของ BMW ก็ได้ยืนแป้นในตำแหน่งสูงสุดของการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อย่างรายการ Le Mans 24 Hours ในช่วงกลางปีนี้เองที่รถ M3 ถูกปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ให้มีแรงม้าเพิ่มขึ้นถึง 321 ตัว


1996-1999

BMW เปิดตัวรถ M Roadster ขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากไม่ได้ผลิตรถยนต์ในสไตล์ Roadster มานานโดยใช้พื้นฐานของรถ Z3 หลังจากนั้นรถ M3 ได้รับการติดตั้งเกียร์เซมิออโตรุ่นล่าสุด SMG (Sequential M Gearbox) ทำให้มีอัตราการทดเกียร์ที่ว่องไวกว่าเดิมมาก ปี 1998 รถ M5 รุ่นใหม่ล่าสุด (e39) สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการรถยนต์ด้วยเครื่องยนต์ V8 ความจุ 5 ลิตรที่มีกำลังถึง 400 แรงม้าติดตามมาด้วยการปรากฏตัวของ M Coupe ที่ใช้แพลตฟอร์มเดียวกันกับ Z3 แต่มันไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จมากนัก มาถึงปี 1999 กับการคว้าตำแหน่งชนะเลิศของรถ V12 LMR จากการแข่งขันรถยนต์ในรายการ Le Mans 24 Hours ช่วงกลางปีนี้เอง BMW ทำการเปิดเผยโฉมของรถ Z8 สปอตร์สองที่นั่งติดตั้งเครื่องยนต์วี 8 400 แรงม้าของ M5 e39


2000-2004

บริษัท BMW เปิดตัวรถ M3 รุ่นใหม่ล่าสุด (e46) โดยติดตั้งเครื่องยนต์หกสูบ 343 แรงม้า เครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้ได้สร้างความประทับใจในประสิทธิภาพให้กับบรรดาแฟนๆ ของรถในตระกูล M นักทดสอบและนิตยสารรถยนต์ทั่วโลกจนได้รับรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่ง ปี 2000 ผ่านมาอีกหนึ่งปี BMW M3 Cabriolet e46 ได้แสดงถึงการผสมกันระหว่างรถสปอตร์แรงม้าสูงกับรถเปิดประทุนที่ทำได้อย่าง หมดจดไร้ที่ติ ปี 2002 รถต้นแบบรุ่น M3 CSL ผ่านการทดสอบในสนามและแสดงให้เห็นถึงรถสมรรถณะสูงจะสามารถเพิ่มความคล่องตัว ได้ด้วยการลดทอนน้ำหนักลง


2005-2007

BMW ทำการปรับโฉมของรถ M5 อีกครั้งจากรหัสโมเดล e60 เครื่องยนต์วี 10 ความจุ 4,999 ซีซี 500 แรงม้า รถ M5รุ่นใหม่นี้มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยติดตั้งอยู่ในแทบทุกจุดของตัวรถ ช่วงกลางปีมีปรากฏการณ์ใหม่กับวงการรถยนต์ขึ้นอีกครั้งในการกลับมาของรถ Series 6 รุ่น M6 ที่ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับ M5 e60 ต่อมารถ M3 CS (e46) กลายเป็นรถที่ทำการปรับปรุงจนถึงที่สุดเพื่อเพิ่มสมรรถณะให้สูงขึ้นและออก วางขายด้วยกำลังถึง 338 แรงม้ากับเครื่องยนต์หกสูบ 3,246 ซีซี 24 วาล์ว มาถึงปี 2006 BMW เปิดผ้าคลุมรถ Z4 M Roadste และ Z4 M Coupe โดยนำเครื่องยนต์ตัวแรงของรถ M3 e46 มาติดตั้งลงในรถ Z4 M ทุกรุ่น กลางปี 2007 รถM3 e90 ทำการทดสอบกับเครื่องยนต์ตัวใหม่ 414 แรงม้า V8 ปริมาตรความจุ 3,999 ซีซี จนสำเร็จและเริ่มลงมือผลิตออกขาย นับได้ว่าเป็นการกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งสำหรับรถ M3 ในแบบสี่ประตูหลังจากที่รุ่น M3 e36 ซีดานสี่ประตูเคยสร้างชื่อเสียงไว้


2008-NOW

เสียง ตอบรับในรุ่น M3 e92 จากสื่อมวลชน นักข่าวและนักทดสอบรถยนต์ออกมาในทางที่ดีมากทำให้อนาคตของเครื่องยนต์วี 8 รุ่นใหม่ล่าสุดที่นำมาวางลงใน M3 สองประตูสดใสยิ่งขึ้น และสุดท้าย รถในรหัส X5 M Series และ X6 M Series ถูกต่อว่าอย่างหนักจากแฟนพันธุ์แท้เมื่อ BMW นำเอารถ SUV มาทำเป็นรถ M Car ตามด้วยการเปิดตัว M5 รหัส F10 ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงกับเครื่อง V8 Bi Turbo ต่อมาในปี 2012 BMW Group แนะนำรถสปอร์ตสมรรถนะซุปเปอร์คาร์ในรุ่น M6 ทั้งแบบหลังคาแข็ง เปิดประทุน ตามด้วย M6 Grand coupe สี่ประตู ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ 570 แรงม้า


หนึ่ง ในเหล่าบรรดา M Roadcar ชั้นเยี่ยมของโลกยนตรกรรมคงไม่มีใครที่จะไม่กล่าวถึง BMW M Series ในแทบทุกโมเดลที่พวกมันเคยออกมาวาดลวดลายและเพิ่มสีสันบนถนน รถในอนุกรม M ทุกรุ่นทุกคันมีความเชื่อมโยงกันในประวัติศาสตร์อันยาวนานของ BMW ในแง่มุมของการผสมกันระหว่างพลังของการขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์ ความเที่ยงตรงของกลไกต่างๆ นับหมื่นชิ้นที่ทำงานร่วมกันและสอดประสานกันเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของการยึดเกาะถนนและอัตราเร่ง อารมณ์ของการขับและรูปแบบที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย รถ BMW M ทุกคันในปัจจุบันทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ขับและตัวรถโดยถ่ายโอนความ เป็นไดนามิกผ่านการควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถคอนโทรลโดยตัวผู้ ขับเอง การทำความเร็วอาศัยการสื่อสารกันระหว่างกลไกภายในตัวรถกับฝีมือของคนขับ ความมุ่งมั่นในการที่จะเอาชนะ ศักยภาพของตัวรถที่สามารถถ่ายทอดมาสู่ผู้ขับขี่ จากสัมผัสที่ดีและมีความสมดุล สานต่อตำนานของรถแรงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการยนตรกรรม.

อาคม รวมสุวรรณ
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom


//www.roddb.com/images/banners/RodDB_88x31.gif




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2556
0 comments
Last Update : 2 กรกฎาคม 2556 9:38:22 น.
Counter : 1024 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


poprockcool
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




พื้นที่โฆษณาพิเศษ
Friends' blogs
[Add poprockcool's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.