ชนะคนอื่นเป็นร้อย ยังไม่ยากเท่าชนะตนแค่คนเดียว...
ร่างกายของมนุษย์ตอน หู (ear)

การได้ยิน

     เราสามารถได้ยินเสียงที่แตกต่างกัน หลายพันเสียงตั้งแต่เสียงหวานของไวโอลิน จนถึงเสียงอึกทึกครึกโครม
ของรถจักรยานยนต์ เพราะเรามีอวัยวะรับเสียงที่สำคัญคือ “หู” ซึ่งเป็นอวัยวะรับสัมผัสที่ทำหน้าที่ทั้งการได้ยินและการทรงตัว
ส่วนของหูเกือบทั้งหมดจะซ่อนอยู่ภายในกะโหลกศีรษะโดยแบ่งเป็น 3 ส่วนดังนี้ หูชั้นนอก หูชั้นกลาง และหูชั้นใน ดังภาพ

                        

                                                ภาพที่3.18 ภาพจำลองแสดงหูและลักษณะภายในของหู
                                              ที่มา : สารานุกรมพื้นฐานของร่างกายมนุษย์ (2545) หน้า46

หูชั้นนอก

หูชั้นนอก ประกอบด้วยใบหู และรูหู
      โครงสร้างของใบหูเป็นกระดูกอ่อนจะทำหน้าที่รับและรวบรวมคลื่นเสียงให้ผ่านช่องหูชั้นนอกภายในรูหูจะมีต่อมสร้างไขมันมาเคลือบไว้
ทำให้ผนังรูหูไม่แห้งและป้องกันอันตรายไม่ให้แมลงและฝุ่นละอองเข้าสู่ภายใน ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราเมื่อมีจำนวนมากจะ
สะสมกลายเป็นขี้หูซึ่งจะหลุดออกมาเอง จึงไม่ควรแคะหูบ่อยๆ เพราะเป็นการกระตุ้นให้ต่อมสร้างขี้หูเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงเยื่อแก้วหูได้
ถ้าแคะหูลึกไปถึงเยื่อแก้วหูทำให้เยื่อแก้วหูขาดและอาจกลายเป็นคนหูหนวกได้ ส่วนเยื่อแก้วหู (eardrum หรือ tympanic membrane)
เป็นรอยต่อระหว่างหูชั้นนอกกับหูชั้นกลางลักษณะเป็นเยื่อบางๆ กั้นอยู่ สามารถสั่นได้เมื่อได้รับคลื่นเสียงเหมือนกับหนังหน้ากลองเมื่อ
ถูกตีและส่งแรงสั่นสะเทือนเข้าไปในหูชั้นกลาง

หูชั้นกลาง

      มีลักษณะเป็นโพรง ติดต่อกับโพรงจมูกและมีท่อติดต่อกับคอหอยเรียกว่า ท่อยูสเตเชียน (eustachian tube หรือ auditory tube)
ปกติท่อนี้จะปิด แต่ขณะเคี้ยวหรือกลืนอาหาร ท่อนี้จะขยับเปิดเพื่อปรับความดัน 2 ด้านของเยื่อแก้วหูให้เท่ากัน ความแตกต่างระหว่าง
ความดันอากาศภายนอกและภายในหูชั้นกลางอาจทำให้เยื่อแก้วหูถูกดันให้โป่งออกหรือถูกดันเข้า ทำให้การสั่นและการนำเสียงของ
เยื่อแก้วหูลดลง หากมีการอุดตันของท่อนี้จะทำให้หูอื้อหรือปวดหู ร่างกายจึงมีการปรับความดันในช่องหูชั้นกลางโดยผ่านแรงดันอากาศบาง
ส่วนไปทางท่อยูสเตเชียน ซึ่งถ้ามีเชื้อโรคในคอหรือจมูกจะมีผลให้เชื้อโรคเข้าสู่หูชั้นกลางทางท่อนี้และทำให้เกิดการอักเสบในหูได้ง่ายขึ้น

โครงสร้างของอวัยวะในหูชั้นกลางที่สำคัญมีดังนี้

     1.กระดูกภายในหูชั้นกลาง (auditory ossicles)  ประกอบด้วย กระดูกฆ้อน (malleus) กระดูกทั่ง (incus) กระดูกโกลน(stapes อ่านว่า สเตปีส)
กระดูกทั้ง 3 ชิ้นจะยึดติดกันเป็นระบบคานดีดคานงัด (lever system) เพื่อนำคลื่นเสียงที่มากระทบเข้าไปสู่หูชั้นใน
     2.กล้ามเนื้อของหูชั้นกลาง(middle ear muscles) มี 2 มัดคือ
          2.1 กล้ามเนื้อเทนเซอร์ทิมพาไน (tensor tympani muscle) เลี้ยงด้วยเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 มีหน้าที่ทำให้แก้วหูตึงโดยถูกดึงเข้าข้างใน
ซึ่งจะช่วยเพิ่มความถี่ให้กับเสียงสะท้อน (resonant frequency) ของระบบการนำเสียง ทำให้รับเสียงที่มีความถี่ต่ำได้ดีขึ้น
          2.2 กล้ามเนื้อสเตปีเดียส (stapedius muscle) เลี้ยงด้วยเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ยึดเกาะที่ด้านหลังของกระดูกโกลน (stapes ) มีหน้าที่
ดึงกระดูกโกลนมาทางด้านหลังเพื่อช่วยป้องกันหูชั้นในจากเสียงที่ดังมากๆจะเห็นได้ว่าการทำงานของกล้ามเนื้อทั้งสองมัดจะช่วยปรับและ
ป้องกันการกระเทือนต่อหูชั้นกลางและหูชั้นในที่มีสาเหตุจากเสียงที่ดังมากๆ โดยเฉพาะเสียงที่มากระทบเยื่อแก้วหูซึ่งมีความดังเกิน 85 เดซิเบล
      3.เส้นประสาทที่ผ่านหูชั้นกลางได้แก่ แขนงของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 (chordatympani nerve) แขนงของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 9
(glossopharyngeal nerve) และแขนงของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 (trigeminal nerve)

                                                        

                                                           ภาพที่3.19 ภาพลักษณะของกระดูกทั้ง 3 ชิ้นในหูชั้นกลาง

      เนื่องจากโครงสร้างของหูชั้นกลางที่ติดต่อกับหูชั้นนอกทางเยื่อแก้วหู และติดต่อกับคอทางท่อยูสเตเชี่ยน ติดต่อกับหูชั้นในทางหน้าต่างรูปไข่
(oval window) และหน้าต่างรูปกลม (round window) โดยทั้งช่องหน้าต่างรูปไข่และรูปกลมจะมีเยื่อบางๆ กั้นอยู่ (oval window membrane
และ round window membrane ) ช่วยให้หูชั้นกลางสามารถทำหน้าที่สำคัญ 2 อย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การขยายเสียง
(amplifying sound) และการป้องกันเสียงดัง (ear protection)

หูชั้นใน

      เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แลบบิรินท์ (labyrinth)ฝังอยู่ในกระดูกเทมโพราล (temporalbone) ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ

1.ส่วนที่ทำหน้าที่รับเสียง (cochlea portion) ประกอบด้วยท่อกลมขดซ้อนกันเป็นรูปก้นหอย 2 รอบครึ่ง สูงประมาณ 5 มิลลิเมตร กว้าง 9 มิลลิเมตร

      ภายในของท่อกลมแบ่งออกเป็น 3 ช่อง สองช่องใหญ่เรียกว่า สกาลา เวสติบูไล (scala vestibuli) และสกาลาทิมพาไน (scala tympani) ซึ่งจะขนาบ
ช่องเล็กตรงกลางเอาไว้โดยตลอดตั้งแต่ฐานจนถึงยอดของก้นหอย โดยบริเวณที่พบกันเรียกว่า เฮลิโคทรีม่า (helicotrema) ภายในสกาลาทั้งสองนี้
จะมีของเหลวบรรจุอยู่ เรียกว่า เพอริลิมฟ์ (perilymphatic fluid) สกาลา ทิมพาไน (scala tympani) จะติดต่อกับหูชั้นกลางทางหน้าต่างรูปกลม
(round window) และทางเปิดของสกาลา เวลติบูไล (scala vestibuli) จะติดต่อกับหูชั้นกลางทางหน้าต่างรูปไข่(oval window)
     ช่องตรงกลางที่ขนาบด้วย สกาลา เวสติบูไล (scala vestibuli) และสกาลา ทิมพาไน (scala tympani) เรียกว่า สกาลา มีเดีย (scala media) หรือ
ท่อคอเคลีย (cochlea duct) ผนังที่กั้นท่อคอเคลีย (cochlea duct) จากสกาลา เวสติบูไล (scala vestibuli) เรียกว่าเยื่อบุเวสติบูล่า (vestibular membrane)
หรือ เยื่อบุไรสเนอร์ (Reissner’smembrane) ส่วนผนังที่กั้นจากสกาลา ทิมพาไน (scala tympani) เรียกว่าเยื่อบุฐาน (basilar membrane) ผนังด้านใน
ของสกาลา มีเดีย (scala media) เป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงจำนวนมากเรียกว่าสไตรอา วาสคิวลาริส (stria vascularis) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตของเหลว
เรียกว่า เอ็นโดลิมฟ์ (endolymphatic fluid) ของเหลวที่ผลิตออกมาจะขังรวมอยู่ใน สกาลา มีเดีย (scala media)นอกจากนี้ภายในสกาลา มีเดีย
(scalamedia) ยังมีอวัยวะสำหรับรับเสียง เรียกว่า อวัยวะคอร์ติ (organ of Corti) ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญดังนี้
     1.เซลล์ขน (hair cells) เป็นตัวรับการกระตุ้นของเสียง ซึ่งมีอยู่สองแถว คือแถวนอก (outer hair cells) มีอยู่ราวๆ 12,000-20,000 เซลล์
ส่วนแถวใน (inner hair cells) มีอยู่ราว 3,600 เซลล์ นอกจากนี้ยังมีเซลล์ประกอบอยู่ข้างเคียงอีกเล็กน้อย ซึ่งไม่มีความสำคัญนัก
     2.แผ่นเยื่อบางๆมีลักษณะเป็นแผ่นวุ้น (gelatinous substance) เรียกว่า เยื่อบุเทคโทเรียล (tectorial membrane) ซึ่งจะขยับขึ้นลงในขณะที่มีเสียงกระตุ้นหู
และจะเป็นตัวกระตุ้นเซลล์ขนให้รู้สึกว่ามีเสียงมาสัมผัส
      3.เส้นประสาทรับความรู้สึกจากเซลล์ประสาทรวมตัวกันเป็นปมประสาทเรียกว่าปมประสาทสไปรัล (spiral ganglions) จากนั้นจะรวมเป็นเส้นประสาทใหญ่
เรียกว่าเส้นประสาทอะคูสติก (acoustic nerve) หรือเส้นประสาทคอเคลีย (cochlear nerve) ซึ่งจะรวมเป็นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 8 วิ่งเข้าสู่สมอง
ส่วนที่เกี่ยวกับการได้ยิน (auditory cortex)บริเวณพูด้านขมับ (temporal lobe)

                                          
                                        
                                                                                                                                                  (ก)


                                                                                   
                                                                                                                                               (ข)

                                                                                      ภาพที่ 3.20 แสดงโครงสร้างส่วนที่ทำหน้าที่รับเสียงของหูชั้นใน (ก)
                                                                                             แสดงลักษณะเซลล์ขนในอวัยวะคอร์ติ(organ of corti) (ข)

     กระแสประสาทจากเซลล์ขนจะถูกส่งเข้าสู่ใยประสาทของเส้นประสาทคอเคลีย (cochlear nerve) และเส้นประสาทสมองคู่ที่8 (auditory nerve)
เพื่อซิแนปส์กับเซลล์์ประสาทตัวที่ 2 ที่คอเคลียนิวคลีอาย (cochlear nuclei) ของสมองส่วนพอนด์และเมดัลลาจากนั้นจะซิแนปส์กับเซลล์ประสาทตัวที่ 3
ที่มีเดียลเจนนิคูเลทบอดี้ (medial geniculate body) และอินฟีเรียคอลลิคูลัส inferior colliculas)ในสมองส่วนกลาง แล้วส่งไปยังศูนย์การได้ยิน
(auditory cortex) ในสมองส่วนพูด้านขมับ (temporal lobe) (ภาพที่ 3.21) 

2.ส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว (vestibular portion)

     เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการทรงตัว อยู่ด้านหลังของหูชั้นใน จะรับรู้เกี่ยวกับการเอียง การหมุนของศีรษะตลอดจนการทรงตัว มีลักษณะเป็นหลอด
ครึ่งวงกลม 3 หลอดวางตั้งฉากกันเรียกว่า เซมิเซอร์คิวลาร์แคแนล (semicircular canal) ภายในหลอดมีของเหลว เอ็นโดลิ้มฟ์ (endolymphatic fluid)
บรรจุอยู่ที่โคนหลอดมีส่วนโป่งพองออกมาเรียกว่า แอมพูลา (ampulla) ซึ่งภายในมีเซลล์รับความรู้สึกที่มีขน (hair cell)
       นอกจากนี้ ส่วนที่ควบคุมการทรงตัว (vestibule) ในหูชั้นในยังประกอบด้วยอวัยวะที่สำคัญอีก 2 อย่างคือ แซกคูล (saccule)
และยูลตริเคิล (utricle) ซึ่งมีลักษณะดังนี้
     แซกคูล (saccule) - เป็นถุงกลมขนาดเล็กติดต่อกับท่อคอเคลีย (cochlea duct) ภายในมีของเหลวเอ็นโดลิ้มฟ์ (endolymphatic fluid)
และเซลล์ขนสำหรับรับความรู้สึก(macula sacculi) และอวัยวะรับความรู้สึกในการทรงตัวที่มีลักษณะคล้ายก้อนกรวดเล็กๆ เรียกว่าโอโตลิทช์ (otolith)
      ยูลตริเคิล (utricle) - เป็นถุงใหญ่กว่า แซกคูล (saccule) และต่อกับ แซกคูล (saccule) ด้วยท่อที่เรียกว่า ท่อแซกคูลโล-ยูลตริคูลาร์
(sacculo- utricular duct) ภายในมีเซลล์ขนสำหรับรับความรู้สึกเรียกว่าแมคคูลา- ยูลตริคูลไล (macula utriculi )มีของเหลวและ
โอโคลิทช์ (otolith) เช่นเดียวกับในแซกคูล (saccule)

                                                   

                           

                                               ภาพที่3.21 อวัยวะรับเสียงและควบคุมการทรงตัวในหูชั้นใน

ภายในหูชั้นในมีระบบของเหลว 2 ระบบ ได้แก่
     1.เพอริลิ้มฟ์ (perilymphatic fluid) เชื่อว่าเป็นของเหลวที่มาจากน้ำหล่อไขสันหลัง ( CSF : cerebrospinal fluid) จะอยู่รอบๆเยื่อบุชั้นใน
มีส่วนประกอบคล้ายของเหลวนอกเซลล์ (extracellular fluid) โดยมี Na+ สูง K+ ต่ำ (Na = 140 mEq/L K= 5.5-6.25mEq/L)
ปริมาณโปรตีนประมาณ 200 มก./ 100 มล.ซึ่งสูงกว่าในน้ำหล่อไขสันหลัง
     2.เอ็นโดลิ้มฟ์ (endolymphatic fluid) เชื่อว่าเป็นของเหลวที่มาจากเซลล์ซีเคททอรี่ (secretory cell) ของสเตรีย วาสคิวลาริส
(stria vascularis ) จะอยู่ภายในเยื่อบุหูชั้นในมี K+ สูง (140-160 mEq/L ) และ Na+ ต่ำ (12-16 mEq/L ) เหมือนของเหลวภายใน
เซลล์ ( intracellular fluid) และมีโปรตีนต่ำกว่าในเพอริลิ้มฟ์ (perilymphatic fluid)
     เมื่อของเหลวในหูชั้นในมีการไหล ก็จะกระตุ้นประสาทรับความ รู้สึก บอกให้รู้ตัวว่าขณะนี้ร่างกายอยู่ในตำแหน่งใด
ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการควบคุมการทรงตัวโดยเฉพาะ (ภาพที่3.22)

                             

                                                   


                                         ภาพที่3.22 ก. - ภาพส่วนประกอบอวัยวะที่ควบคุมการทรงตัว
                                                           ข. - แสดงส่วนประกอบของอวัยวะรับความรู้สึก (macula)
                                                           ค.ง.จ.ฉ.ช.-ภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะรับความรู้สึกเมื่อร่างกายเปลี่ยนท่าทรงตัวในลักษณะต่างๆ
                                                           ซ.-แสดงส่วนประกอบของเซลล์ขน

     จากภาพ 3.22 กระแสประสาท (impulse) จะถูกส่งเข้าเส้นประสาทเวสติบูล่า (vestibular nerve) ซึ่งจะไปรวมกับเส้นประสาทคอเคลีย (cochlear nerve)
เป็นเส้นประสาทสมองคู่ที่8 (auditory nerve) ไปยังเวสติบูล่า (vestibular nuclei) ในก้านสมอง จากนั้นจึงเข้าสู่สมองน้อย ซึ่งจะส่งกระแสประสาทไป
กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการตอบสนองที่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว

ที่มา : //www3.ipst.ac.th


Smileyขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมครับSmiley




Create Date : 07 กรกฎาคม 2555
Last Update : 7 กรกฎาคม 2555 10:02:26 น. 0 comments
Counter : 19553 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kitpooh22
Location :
ตรัง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?]




สวัสดีครับ
..............................
ขอบคุณที่มาเยี่ยมชม และมาเม้นให้ครับ



ขอบคุณครับ :-)
THX


วันเกิดบล็อก 25/5/2009
Google+
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
7 กรกฏาคม 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kitpooh22's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.