JyHorseman
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
30 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 

2010m07d24-29: YonRoi Isan Trip, Program

2010m07d24-29: YonRoi Isan Trip



อนุสาร อ.ส.ท. ได้จัดรายการ

"ย้อนรอยคาราวานอีสาน เล่าตำนาน 50 ปี อนุสาร อ.ส.ท.
บุรีรัมย์-สุรินทร์-อุบลราชธานี-มุกดาหาร-นครพนม-สกลนคร-ขอนแก่น"


โดย เดินทางระหว่างวันที่ 24-27 กรกฎาคม 2553 นี้

เนื่องจากเป็นรายการที่กำลังสนใจจะไป
และเป็นสมาชิกของอนุสาร อ.ส.ท. อยู่ด้วย
จึงสนใจที่จะไปเข้าร่วมในครั้งนี้

สำหรับรายการสถานที่ต่างๆที่จะไปในครั้งนี้

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2553
(กรุงเทพฯ-บุรีรัมย์-สุรินทร์)


05.30 น. ลงทะเบียน ณ ททท. สำนักงานใหญ่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่
06.00 น. ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยรถบัสปรับอากาศ "หนุ่มสาวทัวร์" บริการอาหารเช้า และเครื่องดื่ม รับฟังเรื่องราวและกำหนดการจากมัคคุเทศก์และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ
10.30 น. ชมปราสาทหินพนมรุ้ง ตั้งอยู่บนยอดเขา มีกำแพงล้อมรอบตามซุ้มประตู และกำแพง สร้างขึ้นตามศิลปะลพบุรีซึ่งได้รับอิทธิพลจากขอม สร้างเพื่อเป็นเทวาลัยในศาสนาพราหมณ์ ภาพสลักส่วนมากเป็นเรื่องรามเกียรติ์ นับเป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ จากนั้นชมปราสาทเมืองต่ำ ตั้งอยู่บนเนินริมทะเลเมืองต่ำ ตัวปราสาทก่อด้วยอิฐเก่า ผนังหินใน สระก่อด้วยศิลาซึ่งแกะสลักสวยงามมาก มีลักษณะเหมือนปราสาทหินพนมรุ้ง
13.00 น. อาหารกลางวัน ที่โรงแรมทองธารินทร์
13.45 น. หลังอาหารเดินทางสู่หมู่บ้านช้าง อยู่ที่บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จ.สุรินทร์
14.15 น. ถึงบ้านตากลาง จ.สุรินทร์ ชาวบ้านตากลางดั้งเดิม เรียกว่า ส่วย มีอาชีพในการคล้องช้าง ฝึกช้างและเลี้ยงช้าง ปัจจุบันมีพิพิธภัณฑ์ช้างจัดแสดงโครงกระดูกช้างที่สมบูรณ์ อวัยวะต่าง ๆ ของช้าง อุปกรณ์การคล้องช้าง การเลี้ยงช้างของชาวกุยหรือส่วยประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของช้างสุรินทร์
15.30 น. เดินทางสู่ จ.อุบลราชธานี
19.30 น. เข้าที่พัก โรงแรมทอแสง โขงเจียม นำสัมภาระเข้าที่พัก พักผ่อนตามอัธยาศัย
20.00 น. กิจกรรมต้อนรับตามประเพณีอีสาน
22.00 น. พักผ่อนตามอัธยาศัย

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2553
(อุบลราชธานี-แก่งสามพันโบก-มุกดาหาร)


06.00 น. รับอรุณยามเช้ากับบรรยากาศสบาย…สบาย ริมแม่น้ำโขง
07.00 น. บริการอาหารเช้า พร้อมเก็บสัมภาระ เช็คเอาท์
08.00 น. ออกเดินทางสู่ แก่งสามพันโบก
09.00 น. ชมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ล่าสุดของ จ.อุบลราชธานี เปลี่ยนการเดินทางเป็นเรือท่องเที่ยวท้องถิ่นที่ แก่งสามพันโบก ชมหินสี บึงสามพันโบก หาดหงส์
10.30 น. เปลี่ยนการเดินทางเป็นรถบัสคันเดิมสู่ จ.มุกดาหาร
12.30 น. อาหารกลางวัน ที่โรงแรมพลอยพาเลช
13.30 น. ชมหอแก้วมุกดาหาร ชมวิวทิวทัศน์ของเมืองลาว ไหว้พระประจำวันเกิด
14.30 น. เดินทางสู่อำเภอธาตุพนม
15.30 น. นมัสการพระธาตุพนม (พระธาตุ วันอาทิตย์) ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือมากที่สุดในภาคอีสานและยังเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีวอกด้วย ถือว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนครพนมและชาวพุทธทั่วไป ลักษณะของพระธาตุงดงามด้วยศิลปแบบทวาราวดี เด่นสง่าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง
16.30 น. เดินทางสู่ อำเภอเรณูนคร
17.00 น. นมัสการพระธาตุเรณูนคร (พระธาตุ วันจันทร์) ภายในเป็นโพรงบรรจุพระไตรปิฎก พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงินของมีค่าและเครื่องกกุธภัณฑ์ของพระยาและเจ้าเมืองในอดีต
17.30 น. ร่วมกิจกรรมต้อนรับจากชาวผู้ไท
19.30 น. เข้าสู่ที่พัก โรงแรมนครพนมริเวอร์วิว พักผ่อนตามอัธยาศัย

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2553
(พระธาตุพนม-พระธาตุเชิงชุม-พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์)


06.00 น. รับอรุณยามเช้า ใส่บาตรยามเช้า
07.00 น. อาหารเช้า พร้อมเก็บสัมภาระ เช็คเอาท์
08.00 น. ชมเมืองนครพนม เลาะริมโขงชมวัดนักบุญอันนา จวนผู้ว่าหลังเก่า บ้านโฮจิมินต์
10.00 น. ออกเดินทางสู่จังหวัดสกลนคร
11.30 น. สักการะวัดพระธาตุเชิงชุม เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน ยอดฉัตรทองคำเหนือองค์พระธาตุเชิงชุมทำด้วยทองคำบริสุทธิ์มีน้ำหนัก 247 บาท สร้างครอบรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าสี่พระองค์ ซึ่งหมายถึง พระกกุสันทะ พระโกนาคม พระกัสสะปะ และพระโคดม หรือพระศรีอารียเมตตรัย
12.30 น. อาหารกลางวันที่ โรงแรมเอ็มเจ
13.30 น. ออกเดินทางสู่ จังหวัดกาฬสินธุ์
15.30 น. ชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์สิรินธร ชมห้องจัดแสดงนิทรรศการการกำเนิดโลก หิน แร่ ซากดึกดำบรรพ์ และหุ่นจำลองไดโนเสาร์
16.30 น. เดินทางสู่ จังหวัดขอนแก่น
18.30 น. เข้าสู่ที่พัก โรงแรมขอนแก่นปริ้นเซส จ.ขอนแก่น
19.30 น. ร่วมรับประทานอาหารค่ำ พร้อมชมภาพแห่งความประทับใจ
21.30 น. พักผ่อนอิสระ

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2553
(หนองแวง-พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น)


06.00 น. ใส่บาตรรับอรุณยามเช้า
07.00 น. บริการอาหารเช้า พร้อมเก็บสัมภาระเช็คเอาท์
08.00 น. สักการะพระธาตุหนองแวง
08.45 น. ชมพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านของเมืองขอนแก่น ณ โฮงมูนมังเมือง
10.00 น. เดินทางสู่อำเภอพิมาย
12.30 น. อาหารกลางวันที่ร้านริมมูล อ.พิมาย
13.30 น. ชมปราสาทหินพิมาย
14.30 น. ออกเดินทางสู่อำเภอปากช่อง แวะซื้อของฝากจากเมืองโคราช
17.00 น. บริการอาหารเย็นร้านอาหารครัวน่านน้ำ
18.00 น. เดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ
20.30 น. ถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

*****************************************


ได้ลองต้นหาดูว่า แต่ละสถานที่เป็นอย่างไร พอได้ข้อมูลมาบ้าง คือ

ปราสาทหินพนมรุ้ง

ปราสาทเมืองต่ำ

หมู่บ้านช้าง

โขงเจียม: ???

แก่งสามพันโบก: ???

หอแก้วมุกดาหาร

ชมวิวเมืองทอง: ???

พระธาตุพนม

พระธาตุพนม

พระธาตุเรณูนคร

วัดนักบุญอันนา: ???

จวนผู้ว่า-บ้านโฮจิมินต์: ???

วัดพระธาตุเชิงชุม, สกลนคร

พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์สิรินทร: ???

พระธาตุหนองแวง: ???

พิพิธพัณฑ์ขอนแก่น: ???

ปราสาทหินพิมาย: ???

เวลานี้ ได้ยืนยันการเข้าร่วมแล้ว
กลับมาแล้วจะเล่าให้ฟัง นะ

JyHorseman




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2553
13 comments
Last Update : 12 เมษายน 2554 17:24:11 น.
Counter : 1700 Pageviews.

 

 

โดย: นนนี่มาแล้ว 30 มิถุนายน 2553 7:48:50 น.  

 

 

โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว 30 มิถุนายน 2553 8:43:41 น.  

 

ปราสาทหินพนมรุ้ง
บุรีรัมย์: เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม
Link: ปราสาทหินพนมรุ้ง: //www.Hamanan.com

ปราสาทหินพนมรุ้ง ตั้งอยู่บนภูเขาพนมรุ้ง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู และได้รับการดัดแปลงเป็นพุทธสถานในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีการก่อสร้างต่อเติมกันหลายสมัย ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 18 ปราสาทพนมรุ้งหันไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยอาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายขึ้นไปจากลาดเขาทางขึ้นจนถึงปรางค์ประธานบนยอด อันเป็นที่ประทับของพระศิวะ


 

โดย: JyHorseman (yoadjarust ) 5 กรกฎาคม 2553 14:50:02 น.  

 

ปราสาทเมืองต่ำ
ปราสาทเมืองต่ำ ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างหลัก คือ ปรางค์อิฐ 5 องค์ สร้างอยู่บนฐานเดียวกันก่อด้วยศิลาแลงล้อมรอบด้วยกำแพงสองชั้น กำแพงชั้นในก่อด้วยหินทรายเป็นห้องแคบๆ ยาวต่อเนื่องกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมเรียกว่า ระเบียงคด กำแพงชั้นนอกเป็นกำแพงศิลาแลง กำแพงทั้งสองนั้นมีซุ้มประตูก่อด้วยหินทรายอยู่ในแนวตั้งตรงกันทั้ง 4 ด้าน สลักลวดลายงดงาม ตั้งแต่หน้าบัน ทับหลัง และเสาติดผนัง เป็นภาพเล่าเรื่องในศาสนาฮินดูและลายพรรณพฤกษา

ระหว่างกำแพงชั้นในและกำแพงชั้นนอก เป็นลานกว้างปูด้วยศิลาแลง มีสระน้ำขุดเป็นรูปหักมุมตามแนวกำแพงอยู่ทั้ง 4 มุม ขอบสระเป็นลำตัวนาคมีเศียรแผ่พังพานอยู่ที่มุมสระ นับเป็นปราสาทขอมที่สวยงามมากอีกแห่งหนึ่ง



Link: ปราสาทเมืองต่ำ: //www.Hamanan.com

 

โดย: yoadjarust 5 กรกฎาคม 2553 14:58:55 น.  

 

หมู่บ้านช้างจังหวัดสุรินทร์ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์
พิกัด GPS: 15. 15' 58.8"(N) 103. 29' 53.6"(E)
Source: หมู่บ้านช้างจังหวัดสุรินทร์: //www.HolidayThai.com

หมู่บ้านช้างจังหวัดสุรินทร์ พื้นที่หมู่บ้านเป็นที่นาและป่าละเมาะสลับกับป่าโปร่งเหมาะกับการเลี้ยงช้างชาวบ้านตากลางดั้งเดิมเป็นชาวส่วย หรือ กูย หรือ กวย มีความชำนาญในการคล้องช้างป่า ฝึกหัดช้างและเลี้ยงช้าง ส่วนมากต้องเดินทางไปคล้องช้างบริเวณชายแดนต่อเขตประเทศกัมพูชา ปัจจุบันสภาวะการเมืองระหว่างประเทศทำให้ชาวบ้านไม่สามรถไปคล้องช้างเช่นแต่ก่อนได้ แต่ชาวบ้านตากลางยังคงเลี้ยงช้างและฝึกช้างเพื่อไปร่วมแสดงในงานช้างของจังหวัดทุกปี

การเลี้ยงช้างของชาวบ้านตากลางไม่เหมือนการเลี้ยงช้างของชาวภาคเหนือที่เลี้ยงไว้ใช้งาน แต่ชาวบ้านตากลางเลี้ยงช้างไว้เป็นเพื่อน นอนร่วมชายคาเดียวกับตน ดังนั้นถ้าท่านได้ไปที่บ้านตากลาง นอกจากจะได้เห็นสภาพโรงช้างดังกล่าวแล้ว ยังได้สัมผัสการดำรงชีวิตของชาวส่วย พร้อมทั้งได้พบปะพูดคุยกับหมอช้างที่มีประสบการณ์ในการคล้องช้างมาแล้ว และยังสามารถเดินทางไปชมบริเวณที่แม่น้ำชีและแม่น้ำมูลไหลมาบรรจบกัน ซึ่งห่างออกไปเพียง 3 กิโลเมตร มีทัศนียภาพที่งดงามน่าพักผ่อนและชวนให้ศึกษาในเชิงธรรมชาติด้วย นอกจากนี้ทางจังหวัดยังได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์ช้างขึ้นภายในหมู่บ้านด้วย เพื่อรวบรวมประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับช้าง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการคล้องช้าง และให้ความรู้ในเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับช้าง

ชาวบ้านตากลางได้จัดให้มีการแสดงช้างสำหรับนักท่องเที่ยว มีบริการนั่งหลังช้างชมหมู่บ้าน และโฮมสเตย์สำหรับผู้ต้องการพักค้างแรมและเรียนรู้วิถีชีวิตคนกับช้าง ติดต่อสอบถามได้ที่ อบต. กระโพโทร. (081) 977-6304 หรือ (044) 512-924

ข้อมูลเพื่อการเดินทางไปหมู่บ้านช้างจังหวัดสุรินทร์
ตั้งอยู่หมู่ที่ 9 และ 13 บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม อยู่ห่างจากจังหวัดสุรินทร์ไปทางเหนือตามทางหลวงหมายเลข 214 (สุรินทร์-ร้อยเอ็ด) ก่อนถึงอำเภอท่าตูม มีทางแยกซ้ายบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 36 ไปตามทางราดยางอีกประมาณ 22 กิโลเมตร


Source: หมู่บ้านช้างจังหวัดสุรินทร์: //www.UnseenTourThailand.com

 

โดย: JyHorseman (yoadjarust ) 6 กรกฎาคม 2553 9:22:34 น.  

 

โขงเจียม, จังหวัดอุบลราชธานี
โรงแรมทอแสง, ตลาดยามเช้าที่อำเภอโขงเจียม


ทอแสงโขงเจียม รีสอร์ท
Source: www.Thai-Tour.com



ทอแสงโขงเจียม รีสอร์ท ตั้งอยุ่ริมแม่น้ำโขง อ.โขงเจียม ใกล้แม่น้ำสองสี คือ แม่น้ำมูลไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง โขงเจียมถือว่าเป็นอำเภอตะวันออกสุดของประเทศไทย ณ ที่ ทอแสงโขงเจียม จึงเป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ก่อนและสวยที่สุด ที่หนี่งในประเทศไทย

เวิ้งน้ำโขงที่ลัดเลาะไปตามแก่งต่างมีให้ชมได้ทุกฤดู ช่วงฤดูหนาวเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวมากที่สุด

ตลาดยามเช้าที่อำเภอโขงเจียม
Source: www.Thai-Tour.com



ตลาดยามเช้าที่อำเภอโขงเจียม มีพืชผลทางเกษตรที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาล แต่ปลาชนิดต่างๆ ดูเหมือนจะเป็นสัญญาลักษณ์ของตลาดแห่งนี้ เนื่องจากมีสองสายน้ำ ลำน้ำมูล และลำน้ำโขงไหลมาบรรจบกันที่อำเภอโขงเจียม ใกล้ตัวอำเภอ ถ.แคล้วประดิษฐ์ ริมทางหลวง 2134 บ้านด่านเก่า ต.โขงเจียม ก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำมูล จะเห็นตลาดอยู่ซ้ายมือ

ตลาดเริ่มคึกคื้น เวลา 04.00-09.00 น.ทุกวัน
ผลผลิตที่นำมาขายได้แก่ ปลาต่างๆ เช่น ปลาบึก ปลาตะเพียน ปลาสร้อย ปลาช่อน ปลาแขยง ปลาเทโพ ปลากดคัง ปลาม้า ปลาเนื้ออ่อน ตลอดจน กบ เขียด กิ้งก่า แย้ หนู ไข่มดแดง มาวางขายละลานตา

อาหารยามเช้า ปาท๋องโก๋ร้อน + น้ำเต้าหู้ กาแฟโบราณ ชา โอวันติน หรือหากไม่อิ่ม ต้องหาก๋วยเตี๋ยวญวนสักชาม

 

โดย: yoadjarust 7 กรกฎาคม 2553 14:58:04 น.  

 

โรงแรมทอแสง อุบล, อุบลราชธานี
Source: www.Thai-Tour.com



Tohsang Ubon Hotel, Ubon Ratchathani
โรงแรมทอแสง อุบล, อุบลราชธานี
251 Palochai Road, Ubon Ratchathani 34000

 

โดย: JyHorseman (yoadjarust ) 7 กรกฎาคม 2553 15:09:55 น.  

 

สามพันโบก แกรนด์แคนยอนเมืองสยาม
Source: www.ที่พักอุบลราชธานี.com
Source: www.YouTube.com: สามพันโบก

สามพันโบก เป็นแก่งหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขง ในอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เกิดจากแรงน้ำวนกัดเซาะ กลายเป็นแอ่งมากกว่า 3,000 แอ่ง และจะปรากฏให้เห็นในช่วงฤดูแล้งที่น้ำแห้งขอด แก่งหินดังกล่าวก็จะโผล่พ้นน้ำคล้ายภูเขากลางลำน้ำโขง จนชาวบ้านเรียกว่า แกรนแคนยอนน้ำโขง ซึ่งจะปรากฎการณ์นี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณเดือนตุลาคม - พฤษภาคม ซึ่งหลังจากนั้นจะมีน้ำหลากมาท่วมโบกเหล่านั้นจมหายไปอยู่ใต้แม่น้ำ คำว่า "โบก" เป็นคำในภาษาลาว มีความหมายว่า "แอ่ง"

ตรงทางเข้าของแกรนด์แคนยอนนี้ จะมีหินเป็นรูปหัวสุนัข ซึ่งมีตำนานเล่าขานกันต่างๆนาๆ บ้างก็ว่า

"แต่ก่อนมีเจ้าเมืองเป็นผู้เรืองอำนาจ ประทับใจความงามของสามพันโบก จึงได้ ส่งเสนามาศึกษาเพิ่มเติม เมื่อมาแล้วพบขุมทรัพย์เป็นทองคำ จึงให้สุนัขเฝ้าทางเข้าจนกว่าเจ้าเมืองจะออกมา เมื่อเจ้าเมืองได้เห็นสมบัติเกิดความ โลภกลัวเสนาจะได้ส่วนแบ่งจึงได้ออกไปทางอื่น สุนัขผู้ภักดีก็เฝ้ารออยู่ตรง นั้นจนตายในที่สุด"

บางตำนานก็ว่า "ลูกพญานาคในลำน้ำโขงเป็นผู้ขุดเพื่อให้ เกิดลำน้ำอีกสายหนึ่ง และได้มอบหมายให้สุนัขเป็นผู้เฝ้าทางเข้าระหว่างการขุดกระทั่งสุนัขได้ตายลงกลายเป็นหินรูปสุนัขในที่สุด

Souce: www.GuideUbon.com
แกรนด์แคนย่อยเมืองสยาม คือแก่งหินงามสามพันโบก
นายเรืองประทิน เขียวสด ครูโรงเรียนบ้านสองคอน ซึ่งเป็นในผู้ส่งเสริมการท่องเที่ยวในบริเวณดังกล่าว ระบุว่า สามพันโบก ถือว่าเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในลำน้ำโขงเท่าที่ทราบกันมา ซึ่งในบริเวณเดียวกัน มีสถานที่ที่ชาวบ้านเรียกว่า แกรนแคนยอนน้ำโขง อันเกิดจากการกัดเซาะของน้ำหลายพันปี เป็นร่องน้ำขนาดใหญ่ สูงประมาณ 3-7 เมตร กว้างประมาณ 20 เมตร

แก่งหินสามพันโบก เป็นกลุ่มหินทรายแนวเทือกเขาภูพานตอนปลายที่ทอดตัวยาวริมฝั่งโขงไทยและลาว สายน้ำแคบและเป็นคุ้งน้ำ ณ เส้นรุ้งที่ N.15 องศา 47.472 ลิปดา และเส้นแวงที่ E.105 องศา 23.983 ลิปดา ริมฝั่งโขงบริเวณนี้เป็นกลุ่มหินที่เรียงตัวทอดยาว เป็นสันดอนขนาดใหญ่พื้นที่กว่า 30 ตารางกิโลเมตร ผาหินบริเวณโค้งด้านหน้ารับแรงน้ำที่ไหลจากตอนบน ก่อเกิดประติมากรรมธรรมชาติที่งดงาม

จุดเด่นที่น่าสนใจคือ โบก อันเกิดจากกระแสน้ำได้พัดพาก้อนกรวด หิน ทราย และเศษไม้ กัดเซาะขัดแผ่นหินทรายให้เกิดเป็นหลุมแอ่ง มีขนาดเล็กๆจนถึงขนาดใหญ่จำนวนมากมาย หินบางก้อนถูกกัดกร่อนคล้ายงานแกะสลักเป็นรูปสัตว์ รูปหัวใจ รูปมิกกี้เมาส์จากโบกจำนวนมากมาย จนสถานที่แห่งนี้ถูกขนานนามว่า สามพันโบก

แก่งสามพันโบก เป็นแก่งหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขงในช่วงฤดูน้ำหลาก ประมาณเดือนกรกฏาคม – เดือนตุลาคม และโผล่พ้นน้ำอวดความงามให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมได้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – มิถุนายน ทุกปี

เปิดตำนานสามพันโบก
จากประติมากรรมหินทรายที่มีรูปร่างดงามแปลกตา ก่อเกิดตำนานเรื่องเล่าตำนานพญานาคชุดแม่น้ำโขง ทุ่งหินเหลื่อม หินหัวสุนัข และปู่จกปู

ตำนานหินหัวสุนัข


ทางเข้าของแกรนด์แคนยอนแม่น้ำโขง มีหินสวยงามลักษณะคล้ายหัวสุนัข ซึ่งมีตำนานเล่าขานกันต่างๆ นานา

บ้างก็ว่า แต่ก่อนมีเจ้าเมืองเป็นผู้เรืองอำนาจประทับใจความงามของสามพันโบก จึงได้ส่งเสนามาศึกษาเพิ่มเติม เมื่อมาแล้วพบขุมทรัพย์เป็นทองคำ จึงให้สุนัข เฝ้าทางเข้าจนกว่าเจ้าเมืองจะออกมา เมื่อเจ้าเมืองได้เห็นสมบัติเกิดความโลภ กลัวเสนาจะได้ส่วนแบ่งจึงได้ออกไปทางอื่น สุนัขผู้ภักดีก็เฝ้ารออยู่ตรงนั้นจนตายในที่สุด

บางตำนานก็ว่าลูกพญานาคในลำน้ำโขงเป็นผู้ขุดเพื่อให้เกิดลำน้ำอีกสายหนึ่งและได้มอบหมายให้สุนัขเป็นผู้เฝ้าทางระหว่างการขุดจนกระทั่งสุนัขได้ตายลงกลายเป็นหินรูปสุนัขในที่สุด

ตำนานหาดหินสี หรือทุ่งหินเหลื่อม ทุ่งหินเหลื่อมอยู่ในพื้นที่บ้านคำจ้าว ตำบลเหล่างาม อำเภอโพธิ์ไทร เป็นกลุ่มหินสีที่มีลักษณะแปลกตา คือหินแต่ละก้อน จะมีผิวเรียบเป็นมันประกอบด้วยสีเหลือง เขียว ม่วง น้ำเงิน มีขนาดตั้งแต่ก้อนเล็กเท่ากำปั้นและก้อนใหญ่สุดมีขนาดใหญ่กว่า 3 เมตร กระจายเป็นกลุ่ม 3 กลุ่มใหญ่ หินแต่ละก้อนถ้านำมาเรียงต่อกันจะเชื่อมกันได้สนิทคล้ายจิ๊กซอว์หินสี จากตำนานชาวบ้านที่เล่าขานต่อกันว่ากลุ่มหินสีดังกล่าวคือทองคำพญานาค ซึ่งเกิดจากการขุดสร้างแม่น้ำโขงของพญานาคตัวพ่อและตัวแม่ ส่วนร่องน้ำเล็กที่คู่ขนานกับแม่น้ำโขงเป็นผลงานของลูกพญานาคที่ขุดเล่น จนเกือบทะลุกับแม่น้ำโขง ลูกพญานาคพบหินเหมือนทองคำ จึงขุดขึ้นกองไว้เป็นบริเวณกว้างประมาณ 2 ไร่

ทุ่งหินเหลื่อม ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาศึกษาอย่างเป็นทางการ จึงมีคำถามที่รอคำตอบมากมาย ว่าหินกลุ่มนี้มากจากไหน หรือเกิดขึ้นอย่างไร และคำตอบจากนักท่องเที่ยวทุกคนคือ ความมหัศจรรย์ของธรรมชาตินั่นเอง

ตำนานปู่จกปู หลุมโบกที่เกิดขึ้นมากมาย ก่อเกิดเรื่องเล่า ปู่พาหลานมาจับปาบริเวณถ้างต้อน (ต้อนเป็นเครื่องมือดักปลาของคนอีสาน) บังเอิญไม่สามารถจับปลาได้จึงใช้มือล้วงปูหินริมน้ำโขงจนเกิดโบกจำนวนมาก

สามพันโบกในอดีต เป็นแหล่งที่ชาวบ้านมาจับปลาในหน้าแล้งตามหลุมแอ่ง โบก และสระบุ่ง เนื่องจากลุ่มแอ่งจำนวนมากมายเหล่านี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดจำนวนมากที่ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงใช้สำหรับการดำรงชีพ

สามพันโบกเริ่มเป็นที่รู้จัก และปรากฏสู่สายตานักท่องเที่ยว เมื่อนายเรืองประทิน เขียวสด ครูโรงเรียนบ้านสองคอน ผู้บุกเบิกได้พบความงามของสามพันโบก จึงได้ชวน นายสมชาติ เบญจถาวรอนันท์ เว็บมาสเตอร์ไกด์อุบลดอทคอม นายชาย บุดดีวัน ผู้ใหญ่บ้านโป่งเป้าและ อบต.เหล่างาม จัดกิจกรรม แคมปิ้ง เพื่อการประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อเว็บไซต์ ชุดกิจกรรมนอนกลางโขงชมทะเลดาว เมื่อเดือน 15-16 ธันวาคม 2549 ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนชอบท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานอุบลราชธานี เขต 2 (ปัจจุบันเป็น ททท.สำนักงานอุบลราชธานี) ได้นำแหล่งท่องเที่ยวนี้ เข้าในกิจกรรมท่องเที่ยวแม่น้ำโขงรับตะวันใหม่ก่อนใครในสยามมาตลอด

สามพันโบกได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อโฆษณาของ ท.ท.ท. ชุด เที่ยวไทยครึกครื้นเศรษฐกิจไทยคึกคัก เริ่มออกฉายภาพ สถานที่ท่องเที่ยวซึงเป็นฉากจบของโฆษณาชุดนี้จึงกลายเป็นคำถามว่า ที่ไหนกัน เมืองไทยมีที่แห่งนี้ด้วยหรือ นับตั้งแต่นั้นมา แก่งสามพันโบก จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่กำลังเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวติดอันดับประดับประเทศ

 

โดย: JyHorseman (yoadjarust ) 7 กรกฎาคม 2553 16:06:10 น.  

 

หอแก้วมุกดาหาร
Source: หอแก้วมุกดาหาร: //www.HelloMukDaHan.com



หอแก้วมุกดาหาร สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชฉลองสิริราชสมบัติ
ครบ 50 ปี พ.ศ.2539 มีชื่อเต็มว่า
"หอแก้วมุกดาหารเฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก"
จัดสร้างขึ้นในสมัยที่ นายสาโรช คัชมาตย์ ดำรงตำแหน่ง
ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหารร่วมกับสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาจังหวัดมุกดาหาร หอการค้าจังหวัดมุกดาหาร และประชาชน

หอแก้วมุกดาหาร ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศใต้ ประมาณ 2 กิโลเมตร อยู่ริมถนนสายมุกดาหาร - ดอนตาล อยู่บนพื้นที่ 3 ไร่ 1 งาน 14 ตารางวา ได้มาจากการบริจาคของเอกชน คือ นายธีระชัย ฐานิตสรณ์ ซึ่งเป็นบุตรชาย นายล่ำเซ็ง แซ่ลิ้ม คหบดีแห่งเมืองมุกดาหาร

ลักษณะของหอแก้วมุกดาหาร เป็นหอคอยสูงใหญ่ที่ทันสมัยแห่งหนึ่ง โดยมีลักษณะคือ

1. ความสูงจากระดับพื้นดินถึงระดับหอชมวิว 50 เมตร และจากหอชมวิวถึงยอดลูกแก้วมุกดาหาร 15 เมตร รวมความสูงทั้งสิ้น 65.50 เมตร มีทั้งหมด 7 ชั้น

2. ส่วนบนสุดจะเป็นหอชมวิวและลูกแก้วมุดกาหาร โดยหอชมวิวมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 18 เมตร
สามารถมองเห็นทัศนียภาพและวิวทิวทัศน์รอบตัวเมืองมุกดาหาร และแขวงสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก

ส่วนลูกแก้วมุกดาหารมีลักษณะ กลมสีขาวหมอกมัว ตรงกับลักษณะแก้วมุกดาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในนพรัตน์ 9 ประการในตำนานของไทย

3. ภายในลูกแก้วมุกดาหาร เป็นที่ประดิษณ์ฐานพระพุทธรูปเนื้อเงินแท้บริสุทธิ์ผสมทองคำ ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 50 ซ.ม. (20 นิ้ว) และพระพุทธรูปประจำวันเกิดต่าง ๆ ทั้ง 7 วัน เพื่อให้ประชาชนกราบไหว้ สักการะบูชา

4. แกนหอคอย ตั้งแต่ชั้น 3-12 สูง 39.6 เมตร มีช่องลิฟท์และบันไดเวียนสำหรับอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการขึ้นชมวิว โดยมีชานพักเป็นช่วงๆ เส้นผ่าศูนย์กลางตัวแกนหอคอย 6 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางช่องลิฟิท์ 3 เมตร

5. ฐานหอแก้วมุกดาหาร มีลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น ทรง 9 เหลี่ยม เส้นผ่าศูนย์กลาง 40 เมตร มีทางขึ้น 3 ทาง

นิทรรศการในแต่ละชั้น มีดังนี้

ชั้นที่ 1
เป็นการจัดนิทรรศการภาพของชนเผ่าในเมืองมุกดาหารในอดีต 8 เผ่า เครื่องปั้นดินเผา ซึ่งแสดงถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวมุกดาหารในอดีต

ชั้นที่ 2
เป็นการจัดนิทรรศการภาพของชนเผ่าในเมืองมุกดาหารในอดีต 8 เผ่า ตลอดจนเป็นสถานที่เก็บรักษาประวัติศาสน์เมืองมุกดาหาร ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของแผ่นดิน

ชั้นที่ 3 - 5
เป็นแกนหอคอย มีบันไดทั้งสิ้น 321 ขั้น

ชั้นที่ 6
เป็นจุดชมวิว ชมทัศนียภาพที่สวยงามรอบตัวเมืองมุกดาหาร ชมความสวยงามของเทือกเขาอันสลับ
ซับซ้อนของเมืองมุกดาหาร ชมทัศนียภาพของลำน้ำโขงอันกว้างยาวไกล และมองเห็นแขวงสะหวันนะเขต
สาธารณะรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว ได้อย่างสวยงาม

ชั้นที่ 7
เป็นชั้นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเนื้อเงินแท้บริสุทธิ์ผสมทองคำ หน้าตักกว้าง 20นิ้ว มีชื่อว่า " พระพุทธนวมิ่งมงคลมุกดาหาร " เพื่อให้ประชาชนกราบไหว้สักการะบูชา

ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
หอแก้ว จังหวัดมุกดาหาร
โทร: 042-633-211
Ref.: ประวัติเมืองมุกดาหาร: //www.HelloMukDaHan.com


 

โดย: JyHorseman (yoadjarust ) 8 กรกฎาคม 2553 11:51:27 น.  

 

พระธาตุพนม
ไหว้พระธาตุพนม ชมวัตถุโบราณ มันแกวรสหวาน สำราญชายโขง จรรโรงวัฒนธรรม

Source:
- พระธาตุพนม: //www.ThatPhaNom.com
- วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร,นครพนม: //www.Thai-Tour.com



พระธาตุพนม หรือเรียกตามแผ่นทองจารึกซึ่งจารึกไว้ในสมัยเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กแห่งนครเวียงจันทน์มาบูรณะใน พ.ศ. ๒๒๓๖ - ๔๕ ว่า "ธาตุปะนม" เป็นพุทธเจดีย์ที่บรรจุพระอุรังคธาตุ ( กระดูกส่วนพระอุระ ) ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีรูปทรงสี่เหลี่ยม ประดับตกแต่งด้วยศิลปลวดลายอันวิจิตรประณีตทั้งองค์ มีความหมายทางพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง สูงจากระดับพื้นดิน ๕๓ เมตร ฉัตรทองคำสูง ๔ เมตร รวมเป็น ๕๗ เมตร ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ห่างจากแม่น้ำโขงอันเป็นเส้นกั้นแดนระหว่างประเทศลาวกับประเทศไทยประมาณ ๕๐๐ เมตร และห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๘๐๐ กิโลเมตร

ในตำนานพระธาตุพนมกล่าวไว้ว่า องค์พระธาตุพนมสร้างครั้งแรกในราว พ.ศ. ๘ ในสมัยอาณาจักรศรีโคตบูรกำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ โดยท้าวพญาทั้ง ๕ อันมีพญาศรีโคตบูร เป็นต้น และพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ อันมีพระมหากัสสปะเถระเป็นประมุข

ลักษณะการก่อสร้างในสมัยแรกนั้น ใช้ดินดิบก่อขึ้นเป็นรูปเตาสี่เหลี่ยม แล้วเผาให้สุกทีหลัง กว้างด้านละสองวาของพระมหากัสสปะ สูงสองวา ข้างในเป็นโพรง มีประตูเปิดทั้งสี่ด้าน เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าที่พระมหากัสสปะเถระนำมาจากประเทศอิเนเดีย ประดิษฐานไว้ข้างใน แล้วปิดประตูทั้งสี่ด้าน แต่ยังปิดไม่สนิททีเดียว ยังเปิดให้คนเข้าไปสักการะบูชาได้อยู่บางโอกาส ในตำนานพระธาตุพนมบอกว่า "ยังมิได้ฐานปนาให้สมบูรณ์" นี้ก็หมายความวว่า ยังมิได้ปิดประตูพระธาตุให้มิดชิดนั่นเอง พึ่งมาสถาปนาให้สมบูรณ์ในราว พ.ศ. ๕๐๐

ท้าวพญาทั้ง ๕ ผู้มาเป็นประมุขประธานในการก่อสร้างพระธาตุพนมในครั้งนั้น เป็นเจ้าผู้ครองนครในแคว้นต่าง ๆ คือ

๑. พญาจุลณีพรหมทัค
ครองแคว้นจุลมณี ก่อด้านตะวันออก

๒. พญาอินทปัตถนคร
ครองเมืองอินทปัตถนคร ก่อด้านตะวันตก

๓. พญาคำแดง
ครองเมืองหนองหานน้อย ก่อด้านตะวันตก

๔. พญานันทเสน
ครองเมืองศรีโคตบูร ก่อด้านเหนือ

๕. พญาสุวรรณภิงคาร
ครองเมืองหนองหานหลวง ก่อขึ้นรวมยอดเข้าเป็นรูปฝาละมี


 

โดย: JyHorseman (yoadjarust ) 8 กรกฎาคม 2553 17:29:20 น.  

 

เรณูนคร, นครพนม

พระธาตุพนมค่าล้ำ วัฒนธรรมหลากหลาย
เรณูผู้ไท เรือไฟโสภา งานตาฝั่งโขง

Source:
- เรณูนคร: //www.Thai-Tour.com
- ไหว้พระธาตุประจำวันเกิด จังหวัดนครพนม: //www.STOU.ac.th
- พระธาตุเรณู: //www.Culture.go.th



เรณูนคร อยู่ห่างจากพระธาตุพนม 15 กม. และห่างจากตัวจังหวัดนครพนมไปทางใต้ 51 กม. ตามทางหลวงหมายเลข 212 ถึงประมาณกม.ที่ 44 เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 2031 อีกประมาณ 7 กม. ทางลาดยางตลอด เรณูนครเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวผู้ไทย ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นไว้เป็นอย่างดี อาทิ ธรรมเนียมการต้อนรับด้วยการบายศรีสู่ขวัญ การเลี้ยงอาหารแบบพาแลง การชวนดูดอุ การฟ้อนรำผู้ไทย



นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึกต่างๆไว้บริการนักท่องเที่ยวและประชาชนจากจังหวัดใกล้เคียงอีกมากมาย โดยเฉพาะบริเวณวัดพระธาตุ เรณูนคร และตลาดอำเภอเรณูนคร การฟ้อนผู้ไทยนับเป็นการแสดงศิลปะและวัฒนธรรมแบบพื้นเมืองอย่างหนึ่งของชาวผู้ไทยที่ได้รับการถ่ายทอดกันมาเป็นเวลาช้านาน จากบรรพบุรุษของชาวเผ่าผู้ไทย ในสมัยก่อนเรียกการฟ้อนรำแบบนี้ว่า "ฟ้อนละครไทย" เป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความสามัคคีในหมู่คณะเดียวกัน โดยการจับกลุ่มเล่นฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนานในงานเทศกาลเดือนห้าและเดือนหก ซึ่งจะมีประเพณี บุญบ้องไฟและมีการเฉลิมฉลองเพื่อนมัสการองค์พระธาตุเรณู ในการฟ้อนรำสมัยก่อนนั้น เป็นการฟ้อนรำตามความถนัดและความสามารถ ความชำนาญของแต่ละบุคคล ไม่ได้เน้นความเป็นระเบียบหรือความพร้อมเพรียงกัน แต่เน้นลีลาท่าฟ้อนรำต่างๆ ที่แสดงออกมา ส่วนมากเป็นผู้ชายล้วนๆ จับกลุ่มฟ้อนรำกันเพื่ออวดสาวๆ ปัจจุบันเป็นการฟ้อนรำของหญิงชายคู่กัน โดยยึดการรำแบบดั้งเดิมเป็นหลัก นับเป็นศิลปะที่สวยงามละเอียดอ่อนหาดูได้ยากยิ่งในปัจจุบัน

 

โดย: JyHorseman (yoadjarust ) 8 กรกฎาคม 2553 18:13:48 น.  

 

อนุสาร อ.ส.ท.
ขอพาท่านเดินทางย้อนรอย..คาราวานอีสาน
เล่าตำนาน ๕๐ ปี อนุสาร อ.ส.ท.


Source:
www.OsoTho.com

www.Thai-Tour.com



อนุสาร อ.ส.ท. ขอนำท่านสัมผัสดินแดนแหล่งอารยธรรมโบราณนับพันปีที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนวัฒนธรรมพื้นบ้านวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ตามรอยทีมงานอนุสาร อ.ส.ท. ยุคบุกเบิก และสัมผัสความมีน้ำใจของชาวอีสานที่ยังเป็นเสน่ห์มัดใจนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาเยือนอีสานอย่างต่อเนื่อง

 

โดย: JyHorseman (yoadjarust ) 13 กรกฎาคม 2553 8:35:10 น.  

 

Wow, awesome blog layout! How long have you been blogging for? you make blogging look easy. The overall look of your website is excellent, let alone the content!
Cheap Louis Vuitton shoes //www.sakabrasives.com/aboutus.html

 

โดย: Cheap Louis Vuitton shoes IP: 94.23.252.21 2 สิงหาคม 2557 14:17:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


yoadjarust
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




:Users Online
Jy Horseman
New Comments
Friends' blogs
[Add yoadjarust's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.