ที่ใดมีธรรมะ...ที่นั่นจะพบกับทางออกของชีวิต ^_^
Group Blog
 
 
มกราคม 2560
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
27 มกราคม 2560
 
All Blogs
 
14. ทำอย่างไรให้เจ้ากรรมนายเวรเป็นมิตร



 

ผมมีโอกาสได้เห็นการประกอบพิธีตัดกรรมครั้งหนึ่งจากสื่อ

 

เมื่อหลายปีก่อน...ผู้เข้าร่วมพิธีในชุดนุ่งขาวห่มขาวเอาด้ายสายสิญจน์

 

พันรอบศีรษะตัวเองแล้วถือมีดไว้ในมือคนละเล่ม  พระอาจารย์เจ้าพิธี

 

นำกล่าวขอขมากรรม  เมื่อกล่าวจบทุกคนได้รับคำสั่งให้เตรียมเงื้อมีดขึ้น

 

แล้วเปล่งวาจาว่า  “นะโม  ตัสสะ”  จากนั้นเอามีดตัดฉับลงที่

 

สายสิญจน์ให้ขาด  เป็นอันว่าสามารถตัดกรรมได้สำเร็จ  นับจากนี้ไป

 

ผู้ร่วมพิธีทุกคนจะหลุดพ้นจากกรรมชั่วต่างๆ  นานาที่เคยกระทำ

 

และจะได้พบแต่โชคลาภที่ปรารถนา...

 

                ผมเห็นว่าเป็นอุทาหรณ์  จึงได้ยกเรื่องราวดังกล่าวมาเล่าให้

 

เห็นถึงความเลื่อมใสศรัทธาที่มีต่อพระอาจารย์ผู้เป็นที่พึ่งทางใจ

 

ด้วยการถวายทรัพย์สินเงินทองให้อย่างมากมายมหาศาล  บางราย

 

ถึงขั้นถวายที่ดินราคาแพง  จนทำให้ลูกหลานไม่พอใจถึงขั้นฟ้องร้อง

 

ขอที่ดินคืนกันวุ่นวาย  ท้ายที่สุดพระอาจารย์ชื่อดังรูปนั้นก็มีข่าว

 

ต้องอาบัติปาราชิกด้วยเรื่องความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสีกาคนหนึ่ง

 

เป็นเหตุให้พิธีตัดกรรมหมดศักดิ์สิทธิ์ลงไปทันที

 

                สำหรับผู้อ่านที่เปิดหนังสือของผมมาจนถึงหน้านี้  คงทราบดีว่า

 

พิธีแก้กรรมดังกล่าวมีความสมเหตุสมผลหรือไม่  โดยส่วนตัวผม

 

ไม่นิยมในพิธีและวิธีแก้กรรมเช่นนี้เลย  เพราะนอกจากไม่ช่วยอะไรแล้ว

 

ยังมีความเสี่ยงให้เสียเวลา  เสียทรัพย์สิน  และอาจเสียรู้ให้แก่

 

ผู้ประกอบพิธีที่จิตไม่บริสุทธิ์ได้ง่ายๆ  สุดท้ายก็จะสร้างกรรมสร้างเวร

 

กันต่อ  แทนที่จะตัดกรรมกลับกลายเป็นต่อกรรมไม่จบสิ้น

 

                ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า  การแก้กรรมตัดกรรมไม่เหมือน

 

กับการซื้อขายแลกเปลี่ยน  การขอขมาหรือขออโหสิกรรมเพื่อสิ้นสุด

 

ยุติการจองเวรซึ่งกันและกัน  ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งสิ้น

 

เจ้ากรรมนายเวรอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะทวงคืนจากเราเมื่อไหร่ก็ได้

 

หรืออาจเมตตายกหนี้ให้เราเมื่อไหร่ก็ได้เช่นกัน  การขอโทษหรือ

 

ขออภัยแก่เจ้ากรรมนายเวรจึงต้องทำด้วยเจตนาที่จริงใจ  มิใช่ทำเพื่อ

 

ให้พ้นตัวเท่านั้น  ผมขอแนะนำวิธีทำให้เจ้ากรรมนายเวรเป็นมิตร

 

ตามแนวทางพุทธศาสนา  ดังนี้

 

 

แผ่เมตตาอย่างมีเมตตา

 

                เมื่อมีคนถามถึงวิธีแก้กรรมที่บริสุทธิ์  รวมทั้งการปฏิบัติเพื่อให้

 

เจ้ากรรมนายเวรเป็นมิตร  ผมนึกถึงบทสวดสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า

 

ที่ว่า

 

                “เมตตัมพุเสกวิธินา  ชิตวา  มุนินโท  พระจอมมุนีทรงชนะ

 

ด้วยวิธีการรดด้วยน้ำคือเมตตา”

 

                หมายความว่าพระพุทธเจ้าทรงเอาชนะมารด้วยการแผ่เมตตา

 

พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำอย่างมาก  คัมภีร์วิสุทธิมรรคได้บันทึกวิธี

 

ปฏิบัติเพื่อลดการจองเวรไว้ว่า

 

                “...เริ่มต้นให้ฝึกวางจิตเป็นกลางเท่าๆ  กันในคน  4  จำพวก

 

คือ  ในตัวเอง  ในคนที่ตัวเองรัก  ในคนที่ตัวเองรู้สึกกลาง  (ไม่รัก

 

ไม่เกลียด)  และในคนที่มีเวร  (โกรธแค้น)  ต่อกัน  จนเกิดความรู้สึกว่า

 

ตัวเองกับคนเหล่านั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...”

 

                วิธีฝึกจิตดังกล่าวเป็นการสร้างสมดุลแห่งจิตและเป็นพื้นฐาน

 

ในการสร้างเมตตา  ท่านให้สมมติว่า  ขณะที่เรากำลังแผ่เมตตาอยู่กับ

 

คนที่เรารักคน  คนที่เรารู้สึกกลางๆ  และคนที่มีเวรต่อกัน  บังเอิญ

 

มีโจรบุกเข้ามาโดยหมายจะจับตัวใครสักคนไปฆ่าเพื่อใช้เลือดทำ

 

พลีกรรมบูชาเทวดา*  หากตัวเราที่กำลังแผ่เมตตายังมีความคิด

 

อยากให้โจรจับคนนั้นไปแทนคนนี้ จับคนนี้ไปแทนคนนั้น หรือแม้แต่

 

อยากให้โจรจับตัวเราไปแทน  ท่านให้ถือว่าการแผ่เมตตายังไม่พ้นขีดคั่น

 

แห่งความเป็นเราเป็นเขา  ต่อเมื่อเราแผ่เมตตาจนเห็นคนเสมอกัน

 

ทุกคนที่อยู่รวมกัน    ที่นั้น  รวมทั้งตัวเราเอง  ไม่มีใครสักคนที่ควร

 

ให้โจรจับตัวไปทำพลีกรรม  เมื่อนั้นจึงถือว่าการแผ่เมตตาพ้นขีดคั่น

 

แห่งความเป็นเราเป็นเขาได้แล้ว...

 

                แม้การแผ่เมตตาจนเห็นทุกคนเสมอกันดังคำสอนในคัมภีร์

 

วิสุทธิมรรคจะไม่ง่ายนัก  เพราะต้องฝึกฝนจนได้สภาวธรรมขั้นสูง

 

แต่นับเป็นแนวทางสอนให้จิตรู้จักการอภัย  ไม่ถือโทษโกรธแค้นใน

 

กรรมใดที่ถูกกระทำ  จิตใจที่มีเมตตาจะช่วยให้พ้นจากเวรได้ด้วย

 

ตัวเอง  หากฝ่ายที่จองเวรเขายังวารเวรไม่ได้ก็ให้เป็นเรื่องของเขา

 

แต่คนที่วางได้แล้วย่อมพบความสุขทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า

 

                ที่สำคัญที่สุดคือ  การแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรจะได้ผล

 

ก็ต่อเมื่อผู้แผ่เมตตาต้องมีเมตตาในจิตใจเสียก่อน  วิธีปฏิบัติคือ...

 

ในกรณีที่เรารู้ชัดว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นใคร  ให้ตั้งจิตเป็นสมาธิ

 

นึกถึงบุคคลนั้นจนเห็นภาพของเขาชัดเจนแล้วแผ่เมตตาไปให้

 

                ผมสังเกตว่า  การแผ่เมตตาให้คนที่เรารักหรือรักเราอาจเกิดผล

 

ได้ง่าย  เพราะเขาสามารถรับพลังเมตตาจากเราได้โดยไม่มีอุปสรรค

 

แต่หากเป็นคนที่เกลียดโกรธเราอยู่  พอเราแผ่เมตตาไปสัมผัสกับ

 

จิตของเขา  เขาอาจรู้สึกกระวนกระวาย  เนื่องจากพลังจิตที่สงบเย็น

 

เข้าไปข่มพลังจิตที่ร้อนแรงด้วยความโกรธของเขา  หากพลังเมตตา

 

ของเราไม่แข็งแกร่งพอ  อาจทำให้ความโกรธของเขารุนแรงมากขึ้น

 

เพราะเขาอาจหวนคิดถึงสิ่งที่เราทำให้โกรธ  แต่ความโกรธของเขา

 

ให้ถือเป็นเรื่องของเขา  ตัวเราต้องไม่ท้อในการเจริญเมตตา 

 

พลังเมตตาที่เข้มแข็งและบริสุทธิ์จะมีอำนาจระงับความโกรธความเกลียดได้

 

ในที่สุด

 

                สำหรับในกรณีที่ไม่รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นใคร  ให้พยายาม

 

ทำจิตเป็นสมาธิแล้วแผ่เมตตาไปทีละทิศ  เริ่มจากทิศไหนก่อนก็ได้

 

ทำไปให้สม่ำเสมอ  เจ้ากรรมนายเวรที่เป็นคน  สัตว์  และโอปปาติกะ

 

ในแต่ละทิศจะได้รับพลังเมตตาของเราอย่างทั่วถึง

 

                การท้าทายหรือต่อกรกับเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นโอปปาติกะ

 

เช่น  ท่องคาถาขับไล่  ลบหลู่ดูหมิ่นด้วยการกระทำคึกคะนองต่างๆ

 

เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง  เพราะนอกจากไม่เป็นประโยชน์แล้ว

 

ยังเป็นการต่อกรรมให้ยืดยาว  ขอเพียงตั้งใจแผ่เมตตาอย่างมีเมตตา

 

คิดดี  พูดดี  ทำดีต่อกัน  เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้เจ้ากรรมนายเวร

 

เป็นมิตรกับเรามากขึ้น  เพราะจิตที่มีเมตตาเผื่อแผ่แก่สรรพสัตว์นั้น

 

มีอานุภาพยิ่งกว่าเวทมนตร์คาถาบทใด

 

                เคยมีกรณีตัวอย่าง...คนรู้จักกันกับผมย้ายไปทำงานต่างจังหวัด

 

เขาจึงต้องไปหาบ้านเช่าเป็นทาวน์เฮาส์  2  ชั้น  เขาพอใจมากเพราะ

 

อยู่ในที่ชุมชน  มีร้านค้าอยู่รายรอบและราคาไม่แพง  หลังจากย้าย

 

เข้าไปอยู่  คืนแรกๆ  ก็ไม่มีอะไร  แต่อาทิตย์ต่อมาเขาได้ยินเสียง

 

เปิดปิดประตูเป็นระยะๆ  เขานึกว่าหูฝาด  คืนต่อมาเสียงเปิดปิด

 

ประตูก็ดังถี่และแรงขึ้น

 

                “ถูกผีหลอกแน่”  เขาคิด  จากนั้นจึงลุกขึ้นสวดมนต์จนเสียงนั้น

 

หายไป  เขาจึงล้มตัวนอนและหลับลงได้

 

                รุ่งเช้า...เขาจึงไปหาซื้อหนังสือสวดมนต์มาเล่มหนึ่ง ในนั้น

 

มีบทสวดมนต์ไล่ผี  เขาท่องจนขึ้นใจ  ตกกลางคืนก่อนนอนหลังจาก

 

ไหว้พระสวดมนต์แล้วเขาก็สวดคาถาไล่ผีหลายรอบแล้วก็หลับไป

 

เขาหลับสนิทรวดเร็ว  มาตื่นเอาตอนตีสี่เพราะอยากเข้าห้องน้ำ

 

แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเท้าคนลอยอยู่ตรงหน้า  พร้อมกับ

 

เสียงที่ไม่พอใจดังขึ้นมาว่า

 

                “มึงอยากไล่กูดีนัก”

 

                ทั้งที่นอนแข็งทื่อกระดิกตัวไม่ได้  แต่เขาก็พอคุมสติได้และรู้ว่า

 

เป็นผลมาจากการที่เขาสวดมนต์ไล่ผีเมื่อคืน  เขาจึงขอขมาอยู่ในใจ

 

และแผ่เมตตา  ครู่หนึ่งภาพนั้นก็หายไป  เขาเริ่มกลับมาเป็นปกติ

 

แต่ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่  ถึงตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมทาวน์เฮาส์หลังนี้

 

ค่าเช่าถึงได้ถูกนัก

 

                “โดนแล้วหรอ”  ป้าร้านขายข้าวแกงถามขึ้นหลังจากที่เขาไปกิน

 

ข้าวแกงที่ร้านใกล้ๆ  แล้วถามถึงประวัติของบ้านหลังนี้

 

                ป้าเล่าว่า  เมื่อหลายปีก่อนมีผู้ชายมาผูกคอตายที่บ้านหลังนี้

 

จากนั้นก็มาปรากฏตัวให้คนที่เข้ามาอยู่ได้เห็นบ้าง  ได้ยินบ้าง

 

แต่ไม่น่ากลัวอะไร  มีแต่เขานี่แหละที่น่ากลัวเพราะโกรธที่ถูกขับไล่

 

                เป็นไปได้ว่า  เขากับโอปปาติกะไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อน

 

แต่เขาทำให้โอปปาติกะโกรธ  โอปปาติกะจึงปรากฏให้เห็นด้วยความ

 

โกรธแค้น  อย่างนี้ไม่น่ากลัวเท่าไร  เพราะสามารถแผ่เมตตาแล้ว

 

เปลี่ยนมาเป็นมิตรได้...พลังเมตตานี่สำคัญมาก

 

                การสอนให้คนเราแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อนมิได้มีเป้าหมาย

 

ให้ยึดมั่นตัวเอง  แต่สอนให้ใช้ความรักตัวเองเป็นฐานคิดว่า  เรารัก

 

ตัวเองอย่างไร  คนอื่นหรือสัตว์อื่นก็รักตัวเขาเองอย่างนั้น  รู้จัก

 

เอาใจเขามาใส่ใจเรา  ฐานคิดเช่นนี้ทำให้เมตตามีพลัง  คือสามารถ

 

อดทนต่อคนที่ทำไม่ดีแก่ตน  รู้จักให้อภัย  ไม่ถือโทษ  ผู้ที่แผ่เมตตา

 

ได้เช่นนี้ย่อมไม่ก่อเวรและไม่เกิดเวร

 

                พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า  การแผ่เมตตาต้องทำอย่างสม่ำเสมอ

 

กระทั่งมีความเมตตาเป็นคุณธรรมประจำใจ  จิตยึดเหนี่ยวเป็น

 

อารมณ์ได้  กำหนดนึกถึงความเมตตาเมื่อใด  ความเมตตาก็เกิดได้

 

เมื่อนั้น  ให้ความเมตตามีสภาวะเป็นยานพาหนะที่เจ้าของสามารถขับขี่

 

ได้ทุกเมื่อ  มีความมั่นคงและบริบูรณ์  ผู้ที่ทำเมตตาให้เกิดมีได้อย่างนี้

 

คือผู้มีฌานหรือสมาธิขั้นสูง  ย่อมได้อานิสงส์  11  ประการ  คือ

 

                1.  หลับเป็นสุข  เวลานอนหลับก็หลับลึก  หลับสนิท  เหมือน

 

เข้าฌาน  (สมาธิขั้นสูง)  เพราะไม่มีความพยาบาท  ความหวาดกลัว

 

มารบกวนให้สะดุ้ง

 

                2.  ตื่นเป็นสุข  เวลาตื่นก็ตื่นแบบสดชื่นเหมือนดอกบัวบาน

 

เพราะนอนเต็มอิ่ม  ไม่แสดงอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดหรือเซื่องซึม

 

                3.  ไม่ฝันร้าย  ไม่ฝันถึงเรื่องที่ทำให้หวาดกลัว  เช่น  ฝันว่า

 

ถูกทำร้ายหรือถูกจับตัว  พอสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วเหนื่อยหอบ  ส่วนมาก

 

ฝันถึงแต่เรื่องดีๆ  เช่น  ฝันว่าได้ทำความดี  ได้ไหว้พระสวดมนต์

 

บางครั้งความฝันอาจเปิดทางให้เทวดามาแสดงนิมิตที่ดีให้เห็น

 

                4.  เป็นที่รักของมวลมนุษย์  ใครเห็นก็เอ็นดู  อยากอยู่ใกล้

 

เพราะอยู่ด้วยแล้วสงบเย็น

 

                5.  เป็นที่รักของอมนุษย์  นอกจากมนุษย์แล้ว  ยังเป็นที่รัก

 

ของสัตว์โลกอื่นๆ  เช่น  สัตว์เดรัจฉาน  เปรต  อสุรกาย  ทำให้

 

อมนุษย์มีเมตตาจิต  ไม่ทำร้ายกัน

 

                6.  เทวดารักษา  เทวดาช่วยคุ้มครอง  ถึงคราวมีภัยก็เข้ามา

 

ช่วยเหลือให้แคล้วคลาด

 

                7.  ไฟ  ยาพิษ  หรือศัสตราทำร้ายไม่ได้  พลังของเมตตาที่มี

 

สมาธิขั้นสูงกำกับ  จะช่วยปกป้องร่างกายผู้มีเมตตาให้ปลอดภัยจาก

 

ยาพิษและไฟ  แม้แต่อาวุธก็เข้าไม่ถึงร่างกาย

 

                8.  จิตเป็นสมาธิเร็ว  เวลาทำสมาธิจะสงบตั้งมั่นได้เร็ว  เพราะ

 

นิวรณ์หรือกิเลสขัดขวางการเกิดของสมาธิต่างๆ  เช่น  ความผูกโกรธ

 

ความรัก  ความฟุ้งซ่านไม่มีมารบกวน

 

                9.  สีหน้าผ่องใส  ความผ่องใสของคนย่อมแสดงออกทางสีหน้า

 

และแววตา  จิตที่ผ่องใสย่อมทำให้เลือดลมเดินได้สะดวก

 

                10.  ไม่หลงตาย  ตายอย่างมีสติ  ตายอย่างสงบเหมือน

 

นอนหลับ  เพราะจิตสุดท้ายมีสติต่อเนื่องมั่นคง  อยู่กับขณะปัจจุบัน

 

คือการเจริญเมตตา

 

                11.  เกิดในพรหมโลก  ผู้ที่เจริญเมตตาจนได้บรรลุฌาน

 

ตายด้วยขณะจิตที่กำหนดองค์ฌานเป็นอารมณ์  จึงเกิดในพรหมโลก

 

ที่เหมาะสมแก่ฌาน  ไม่ไปเกิดในทุคติภูมิ  เช่น  สัตว์เดรัจฉาน

 

เปรต  อสุรกาย  และไม่ตกนรก

 

                หลายท่านอาจท้อใจว่า  การได้รับอานิสงส์แห่งเมตตาดังกล่าว

 

ต้องมีสมาธิขึ้นสูงประกอบ  แต่ตนเองทำสมาธิไม่ค่อยได้ผลนัก

 

ผมขอแนะนำให้ฝึกฝนและสั่งสมไปเรื่อยๆ  อย่าท้อ  เพราะจิตทุกขณะ

 

มีสมาธิธรรมชาติ  (ขณิกสมาธิหรือสมาธิที่เกิดชั่วขณะหนึ่ง)  และ

 

เมตตาธรรมชาติ  (เช่น  ความรักความปรารถนาดีระหว่างแม่ต่อลูก)

 

เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว  หากคุณธรรมทั้งสองได้รับการพัฒนา  ย่อมมีพลัง

 

และป้องกันภัยได้

 

                ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคมีเรื่องเล่าว่า...

 

                ขณะนายพรานคนหนึ่งออกตระเวนล่าสัตว์  เขาเห็นวัว

 

แม่ลูกอ่อนกำลังยืนให้ลูกกินนมนิ่งอยู่  นายพรานหมายจะฆ่าแม่วัว

 

จึงพุ่งหอกเข้าใส่อย่างเต็มกำลัง  แต่เขาต้องประหลาดใจกับความ

 

อัศจรรย์ที่เกิดขึ้น  หอกพุ่งเข้าใส่แม่วัวที่กำลังยืนนิ่งให้นมลูก  แต่พอ

 

สัมผัสถูกตัวแม่วัว  หอกกลับม้วนงอเหมือนใบตาลอ่อนในทันที...

 

                ผมได้แนวคิดจากเรื่องนี้ว่า  แม้แม่วัวไม่สามารถฝึกพัฒนาสมาธิ

 

ธรรมชาติให้ก้าวหน้าถึงขั้นฌานได้เหมือนมนุษย์  แต่ขณะนั้นเมตตา

 

ธรรมชาติกับสมาธิธรรมชาติของแม่วัวกำลังผสานกันเต็มที่  จึงมี

 

พลังต้านอาวุธที่พุ่งมาทำร้ายได้  เมตตากับสมาธิเมื่อผสานกันแล้วมี

 

อานุภาพมาก  แม้แต่กับสัตว์เดรัจฉานยังเกิดอานิสงส์ถึงเพียงนี้

 

หากมนุษย์เราหมั่นฝึกสมาธิ  สั่งสมเมตตาในจิตอย่างสม่ำเสมอ  อานิสงส์

 

แห่งเมตตาและสมาธิที่ผสานกัน  ย่อมช่วยลดทอนหรืออาจตัดรอน

 

การเบียดเบียนของเจ้ากรรมนายเวรได้ทางหนึ่ง

 

                *  การทำพลีกรรมเป็นพิธีบูชาเทพเจ้าในสังคมอินเดียโบราณ

 

 

จากหนังสือ “เปลี่ยนเจ้ากรรมนายเวรให้เป็นมิตร”

 

ดร.บรรจบ  บรรณรุจิ

 

สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ พิมพ์ครั้งที่ 1

 




Create Date : 27 มกราคม 2560
Last Update : 27 มกราคม 2560 18:11:46 น. 0 comments
Counter : 917 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นาคสีส้ม
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




วัตถุประสงค์ของ blog นี้ :

เนื่องจากส่วนตัวเป็นคนชอบได้หนังสือธรรมะมาจาก
ที่ต่างๆ และมักชอบซื้อมาอ่านเป็นประจำเสมอ
เลยทำให้หนังสือกองเต็มบ้านมากมาย
เวลาจะนำไปบริจาค ก็มักจะเสียดาย เพราะ
บางครั้ง บางที ก็หยิบเล่มเก่าๆมาอ่านอีกรอบ
เวลาใครมาขอรับบริจาคอะไรต่างๆ
มักจะหวงไว้ ไม่ค่อยส่งต่อหนังสือให้ใคร

จนมาคิดว่า ไม่ควรจะหวงไว้
เพราะเนื้อหาค่อนข้างมีประโยชน์
นำมาปรับใช้ในชีวิตได้เป็นอย่างดี
เลยอยากจะแบ่งปันความสุขให้คนอื่นๆ

เลยจัดทำ blog นี้ขึ้นมาค่ะ
ไว้เก็บรวบรวมเนื้อหาที่ได้อ่านแล้ว
มาเก็บไว้ที่นี่ ส่วนหนังสือก็จะนำไปบริจาค
ให้คนอื่น ได้ใช้ประโยชน์ต่อไปค่ะ

สำหรับเล่มไหนที่เพื่อนๆคิดว่าสนุก
ก็สามารถแนะนำได้นะคะ ^__^
Friends' blogs
[Add นาคสีส้ม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.