เล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวในต่างประเทศ
Melk มรดกโลกที่ไม่ควรพลาด


วันที่สามในเวียนนา วางโปรแกรมไว้ว่าจะไปสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งตั้งใจก่อนมาแล้วว่าจะต้องไปให้ได้ ซึ่งก็คือ วิหารเมลค์ (Melk Abbey) หลายๆ ข้อมูลจากคนไทยที่โพสต์ข้อความไว้ในอินเตอร์เน็ตบอกว่า ถ้ามีเวลาอย่างน้อยสักครึ่งวัน ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งไม่ควรพลาดในการไปเยือนเลย


พอจัดการอาหารเช้าเสร็จ ฉันจึงไม่ลืมหยิบแอปเปิ้ลใส่กระเป๋าเป้ ...



ก็มัวแต่ห่วงของกินอย่างนี้ล่ะ เลยลืมหยิบร่มคันเล็กใส่กระเป๋าไปด้วย แล้วก็โชคไม่ดีด้วยค่ะ เพราะพอออกจากโรงแรมเดินไปซื้อเบเกอรี่ไว้สำหรับมื้อกลางวันบนรถไฟ สายฝนก็เริ่มพรำๆ ลงมา ความที่ไม่อยากย้อนกลับไปหยิบร่มที่โรงแรม คิดว่ายังไงเสียก็ยังมีหมวกอยู่ใบคงจะพอกันฝนได้



ในการเดินทางไปวิหารเมลค์นั้น ฉันเลือกเดินทางโดยรถไฟ ต้องไปขึ้นที่สถานี Wien Westbahnhof ค่าตั๋วโดยสารรถไฟชั้นสองอยู่ที่ €28.2 เป็นรถไฟประเภท City Shuttle รถใหม่มากค่ะ เป็นรถไฟสองชั้น สังเกตว่าบนรถไฟของต่างประเทศจะมีแผ่นรองสำหรับวางถ้วยหรือขวดน้ำให้ แล้วก็ใช้เป็นแท่นรองสำหรับเขียนหนังสือได้ด้วยแทบจะทุกขบวนเลยนะคะ ฉันชอบมากเป็นพิเศษ เพราะการเดินทางโดยรถไฟแบบนี้ทำให้สามารถจดเรื่องราวต่างๆ ในสมุดบันทึกได้อย่างสม่ำเสมอ



รถไฟออกจากชานชาลาประมาณ 10.45 น. ระยะเวลาชั่วโมงเศษ ตอนที่นั่งนี้ก็เพลิดเพลินสายตาไปกับทิวทัศน์ที่งดงามสองข้างทาง อันที่จริง... ภาพชนบทในต่างประเทศก็คงจะไม่ห่างไกลจากชนบทในบ้านเรามากนัก จะต่างกันบ้างก็ตรงความชุ่มชื้น ความเป็นทุ่งโล่ง และสีสันที่ดูเหมือนชนบทในต่างประเทศจะมีมากกว่า



ฉันถึงเมลค์ประมาณเที่ยงวัน ฝนเริ่มเทลงมาค่ะ เส้นทางในแผนที่จากแผ่นกระดาษที่ฉันพิมพ์มาจากบ้าน โดนละอองฝนหยดใส่ ทำให้ตัวอักษรเริ่มจางและเลือนไป



ระหว่างตัวอาคารบ้านเรือนที่เมลค์นี่ ไม่ค่อยมีที่ให้ยืนหลบฝนได้เลยค่ะ รู้สึกตลกกับตัวเองที่ต้องคอยวิ่งหลบฝนยังไงก็ไม่รู้ Smiley



ทั้งเดินและวิ่งให้มั่วไปหมด เห็นสาวๆ ชาวเอเชียหลายคนที่มารถไฟขบวนเดียวกันก็ยังหาทางเข้าวิหารไม่เจอเหมือนกัน ตั้งแต่ลงจากรถไฟสามารถมองเห็นตัววิหารแต่ไกล พอเดินใกล้เข้ามาก็เห็นวิหารอยู่ข้างบน แต่ไม่เจอทางขึ้นสักที



 วิหารเมลค์ที่มองเห็นแต่ไกล


ฉันเดินเข้าไปที่ศูนย์นักท่องเที่ยว ปรากฏว่าติดพักเที่ยงไม่เจอใครอยู่ให้สอบถามเลย จึงตัดสินใจเดินหาเองต่อ แล้วก็เจอหญิงสาวคนหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเป็นคนท้องถิ่นรึเปล่า ฉันเดินเข้าไปถามทางขึ้นไปบนวิหาร เธอก็ชี้ให้ดู ฉันยังมองไม่เห็นหรอกนะคะ แต่อย่างน้อยก็ได้ทิศทางที่ชัดเจนขึ้นล่ะ



ในที่สุดก็เจอทางขึ้นจนได้ จุดเริ่มต้นเป็นเหมือนเนินขึ้นที่เล็กมากๆ เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอขั้นบันไดกว้างขึ้น หยุดพักหอบอยู่หลายรอบ เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกันนะคะกว่าจะขึ้นไปถึงได้เนี่ย




 ป้ายบอกความเป็นมรดกโลกแห่งเมืองวาเคา


บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะว่า พอเห็นป้ายแล้วดีใจขนาดไหนที่รู้ว่าเดินมาถึงปลายทางแล้วน่ะ


ที่นี่ต้องซื้อบัตรเข้าชมด้วยนะคะ ค่าตั๋วคนละ €7.5 โดยปกติแล้วช่วงเดือนเมษายนนี้จะมีรอบไกด์ภาษาอังกฤษพานำชมเพียงรอบเดียวคือ เวลา 14.55 น. ฉันดูเวลาแล้วไม่อยากรออีกตั้งสองชั่วโมงกว่า จึงบอกว่าจะเข้าชมด้วยตนเอง เจ้าหน้าที่ก็จะให้เข้าชมได้ทันทีไม่ต้องรอเวลาค่ะ



วิหารเมลค์หรือสำนักเบเนดิกแห่งเมลค์นี้ อยู่ในเขตวาเคา (Wachau) ซึ่งเป็นเขตแม่น้ำในรัฐโลว์เออร์ออสเตรีย (Lower Austria) วิหารนี้ถือเป็นสมบัติสุดล้ำค่าทางด้านสถาปัตยกรรมอีกชิ้นหนึ่งของออสเตรีย และเป็นขุมทรัพย์แห่งศิลปะบาโรกเลยค่ะ



ส่วนแรกที่เข้าชม เขาให้เข้าห้องที่มีวิดีทัศน์บอกเล่าที่มา คนเข้ามานั่งดูกันน้อยค่ะ ส่วนมากจะผ่านเลย บางคนก็มานั่งดูสักประเดี๋ยวเดียวก็ลุกออกไป



เสร็จจากห้องดูวิดีทัศน์แล้ว ก็ขึ้นไปยังส่วนที่เรียกว่า Imperial Chambers เป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมา มีทั้งหมด 11 ห้องด้วยกัน ซึ่งแต่ละห้องจะมีประโยคสำคัญๆ ที่ให้แง่คิดด้วย อย่างเช่น



ห้องที่ 1 “จงได้ยินและสดับตรับฟังด้วยหัวใจ” Hear - and listen with your heart



ห้องที่ 3 พูดถึงชีวิตมนุษย์ซึ่งมีทั้งขึ้นและลง



ห้องที่ 4 พูดถึงการมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ มีทั้งสุข เศร้า ประสบความสำเร็จและล้มเหลว รักและชัง เริ่มต้นและสิ้นสุด แต่สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี ฯลฯ



และสุดท้ายฉันก็ชอบห้องที่มีรูปปูนปั้นเป็นรูปมนุษย์ในลีลาท่าทางต่างๆ แล้วแต่จะปรุงแต่งกันไป สื่อความหมายดีนะคะ






ส่วนต่อไปที่เดินดูคือ Marble Hall จะเป็นห้องโถงหินอ่อนขนาดใหญ่สำหรับจัดงานเลี้ยง เพดานด้านบนของโถงนี้จะเป็นภาพวาดสี ซึ่งมีเรื่องราวชวนให้แหงนมองดู




 ภาพที่มองจากระเบียง



พ้นจากระเบียงเมื่อสักครู่ ก็จะตัดเข้าสู่ส่วนที่เป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ที่ทำด้วยไม้ และบนเพดานก็ยังประดับด้วยภาพเขียนสีขนาดใหญ่เช่นเดียวกับในห้องโถงหินอ่อน




ฉันหลงรักห้องสมุดที่นี่นะคะ อาจจะด้วยความเป็นคนชอบอ่านหนังสือจนอยากจะมีห้องสมุดของตัวเองบ้าง พอเจอห้องสมุดใหญ่ๆ ที่มีการจัดการและตกแต่งอย่างสวยงาม โดยเฉพาะส่วนที่ทำเป็นตัวเลข 8 นั้น เป็นไอเดียที่ดีและน่าจะนำไปสั่งทำไว้ประดับห้องบ้าง



ตลอดเวลาที่เข้าชมจะมีเจ้าหน้าที่เดินตามและคอยดูเราด้วยนะคะ ไม่ถึงกับเรียกว่าประกบหรอกค่ะ เขาคงจะแค่กลัวว่าคนเข้าชมไปหยิบจับสิ่งของให้เสียหายมากกว่า แล้วเขาก็ไม่ให้ส่งเสียงดังด้วยค่ะ แต่ที่นี่ไม่ห้ามถ่ายรูปนะคะ ขอเพียงอย่าเปิดไฟแฟลชเท่านั้นแหละ



พอออกจากห้องสมุดนี้ก็จะเป็นบันไดวนที่มีลวดลายสวยงาม และหลอกสายตาคนด้วยการติดกระจกไว้ด้านล่าง



ส่วนสุดท้ายก็เป็นตัวโบสถ์ที่ภายในตกแต่งได้อย่างสวยงามและอลังการมาก ดูศักดิ์สิทธิ์จังเลยค่ะ นี่ขนาดว่าฉันไม่ใช่คริสต์ศาสนิกชนก็ยังรู้สึกซึมซับกับสถานที่แห่งนี้มาก



 อีกมุมหนึ่งก่อนไปสู่ตัวโบสถ์


ที่เมลค์นี่ ..ถ้าเรามีเวลาให้อย่างเพียงพอก็เชื่อได้ว่าถ้าใครมาก็จะรู้สึกหลงรักไปเลยล่ะ


ขณะที่ฉันกำลังจะเดินออกไปยังด้านนอกนั้น ก็เห็นหญิงชรานั่งรถเข็นรออยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ คิดว่าคงต้องการเข้าห้องน้ำ ฉันจึงเดินเข้าไปจะช่วยเหลือ ปรากฏว่ามีชายหนุ่มเข้ามาจัดการให้ เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าที่อกเสื้อมีเครื่องหมายกาชาดอยู่ด้วย บอกกับฉันว่าเขาจะจัดการให้เอง



พอเดินออกไปด้านนอกก็เห็นมีรถบัสคันใหญ่จอดอยู่ คนที่ลงจากรถล้วนแต่เป็นคนชราทั้งสิ้น แล้วก็มีชายและหญิงกลุ่มหนึ่งใส่เสื้อสีแดงสด ที่หน้าอกและด้านหลังเสื้อมีสัญลักษณ์กาชาดติดอยู่เช่นกัน แล้วสีหน้าของคนใส่เสื้อคลุมสีแดงนี่ หน้าตายิ้มแย้มกันทุกคน ไม่รู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ประจำหรืออาสาสมัครนะคะ แต่ดีใจที่ได้เห็นอะไรแบบนี้ค่ะ





ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือเป็นสวัสดิการคนสูงอายุของต่างประเทศ .....แต่คิดว่าคนชราบ้านเขาโชคดีจัง ฉันอยากให้บ้านเรามีบริการสวัสดิการเช่นนี้บ้างค่ะ




หากใครมีโอกาสได้มาที่นี่แล้ว ฉันไม่แน่ใจว่าจะรู้สึก “โดนใจมาก” อย่างที่ฉันรู้สึกหรือไม่ แต่เชื่อว่าหากเปิดใจให้กว้างแล้ว ที่นี่จะมีอะไรให้คนที่มาได้เก็บเกี่ยวแง่คิดและมุมมองต่อสิ่งต่างๆ ในโลกกลับไปอย่างแน่นอนค่ะ



ออกจากที่สำนักเบเนดิกแห่งเมลค์แล้ว ก็ยังพอมีเวลาให้เดินเล่นได้อีกพักใหญ่ ...ฝนเริ่มพรำมาอีกแล้วค่ะ นึกเสียดายเหมือนกันว่ายังไม่ได้ไปเดินชมความโรแมนติกริมแม่น้ำดานูบเลยค่ะ เห็นเขาว่าเขตบริเวณนี้ เป็นเส้นทางโรแมนติกอีกเส้นทางหนึ่ง




หลังจากเดินถ่ายรูปวิหารเมลค์และเก็บตกภาพบ้านเมืองเล็กๆ นี้อยู่อีกพักหนึ่ง ก็ไปนั่งรอรถไฟเพื่อโดยสารกลับเวียนนา มีเวลาเดินเล่นในบริเวณเขตเมืองชั้นในและแถวถนนวงแหวน และก็จะได้ไปนั่งจิบกาแฟเวียนนาให้สมกับที่มาถึงออสเตรียแล้ว



พอถึงเวลาจริงฝนกลับเทลงมาหนักมา เย็นวันนี้จึงไม่ได้เห็นนักดนตรีมาเล่นเพลงโมสาร์ตที่บริเวณย่านกราเบนอย่างเช่นเมื่อเย็นวาน แล้วฉันก็อดนั่งจิบกาแฟริมถนนแบบที่เรามักจะเห็นในประเทศแถบยุโรป สุดท้ายต้องวิ่งหลบฝนเข้าไปเดินเล่นในร้านสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ แทน



...ฝนหนอฝน ไม่น่าตกแบบไม่รู้เวลาเช่นนี้เลยค่ะ...







Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:09:20 น. 0 comments
Counter : 4931 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แฮปปี้มีนา
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]









ทำงานในองค์กรภาครัฐ ใช้เวลาพักร้อนในแต่ละปีออกไปเปิดรับและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในโลกใบนี้ตามลำพัง ...การออกไปเผชิญโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไม่จำเป็นต้องเก่งภาษามากมายขอแค่มีใจที่พร้อมจะเปิดรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างเดินทาง ทั้งสุข สนุก ตื่นเต้น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น จะทำให้เรามีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่มีในหนังสือท่องเที่ยวเล่มไหนสอนไว้


New Comments
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
7 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แฮปปี้มีนา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.