เล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวในต่างประเทศ
Hellbrunn Trick Fountain น้ำพุซ่อนกล



น่าแปลกที่ฉันเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความสดชื่นมาก ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกด้วยซ้ำ ปรกติถ้าอยู่กรุงเทพฯ ก่อนหกโมงเช้าอย่างนี้แซะขึ้นจากเตียงยากเหลือเกิน



.....หลังจากที่จัดการอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็มานั่งวางแผนว่าวันนี้จะไปเที่ยวไหนบ้าง ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะเก็บได้สักกี่ที่เพราะฝนตกตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งเช้าก็ยังไม่หยุด



หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จ ก็ตัดสินใจรีบออกไปเที่ยวดีกว่า ไม่รอให้ฝนหยุดตกล่ะ เพราะดูพยากรณ์อากาศล่วงหน้ามาจาก //thai.wunderground.com เขาทำนายไว้ว่าวันนี้ฝนจะตกทั้งวัน ถือว่าฉันโชคดีมากที่ตัดสินใจซื้อร่มญี่ปุ่นคันเล็กมาด้วยในนาทีสุดท้าย Smiley



ก่อนออกไปเที่ยว ตัดสินใจแวะเดินไปที่สถานีรถไฟ Salzburg Hauptbahnhof ก่อน เพื่อที่จะซื้อตั๋วเดินทางไป Hallstatt ในวันรุ่งขึ้น แล้วก็หาซื้อโปสการ์ดเขียนเล่าถึงสภาพเมืองนี้และความเป็นอยู่สั้นๆ ส่งให้ครอบครัวและคนใกล้ชิด



...ที่ทำการไปรษณีย์อยู่ใกล้ๆ กันนะคะ เดินออกจากสถานีเลี้ยวขวาไปไม่กี่สิบก้าวก็ถึงแล้ว โปสการ์ดที่นี่ใบละ 0.5 ยูโร ค่าแสตมป์ส่งกลับมาประเทศไทยดวงละ 1.4 ยูโร


จัดการเสร็จก็ลุยเที่ยวต่อล่ะนะ


 


Smiley Hellbrunn Trick Fountain น้ำพุซ่อนกล Smiley


เช้าวันนี้ตั้งใจจะไปเที่ยวปราสาทเฮลล์บรุนน์ และ Hellbrunn Trick Fountain ดูแผนที่ในมือแล้วก็นั่งรถเมล์สาย 25 จากหน้าสถานีรถไฟไปทั้งที่ฝนยังพรำอยู่


กลัวเหมือนกันว่าฝนตกแบบนี้ เขาจะไม่เปิดให้เข้าชมหรือเปิดเพียงแค่บางส่วน


แต่ปรากฏว่าผิดคาด เพราะเจอนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่เข้าแถวรอซื้อตั๋วอยู่ ดูจากวัยแล้วน่าจะเป็นนักเรียนในประเทศออสเตรียเองเสียมากกว่านักท่องเที่ยวบ้านนอกอย่างฉัน Smiley Smiley .......และอย่างที่เกริ่นไว้แล้วว่า Salzburg Card เข้าฟรีไม่ต้องเสียเงิน แม้แต่ audio guide ก็ไม่ต้องเสียเงินเช่าเพิ่มเลย แต่ฉันต้องนำ Salzburg Card ไปที่หน้าต่างขายบัตรเข้าชม เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการบันทึกรายการเสียก่อน



นักเรียนกลุ่มใหญ่กำลังรอซื้อตั๋วเข้าชม




สักพัก ไกด์ประจำที่นี่ก็เดินออกมานำเข้าชมและบรรยาย รอบนี้พอดีเป็นภาษาเยอรมัน ฉันขี้เกียจรอ ก็เลยตามขบวนเขาเข้าไปด้วย พอเข้าไปข้างใน ก็ได้เจอและรู้จักกับพี่ๆ ผู้หญิงคนไทย 3 คน ทำงานในวงการศึกษา ถามไถ่กันพอได้ความ แถมยังได้รับแนะนำจากพี่ๆ เหล่านี้เยอะพอควรว่าไปไหนจะต้องระวังอะไรบ้าง แล้วก็ถือโอกาสจับกลุ่มเดินกับพี่กลุ่มนี้อยู่พักใหญ่ค่ะ



พี่เขาคิดว่าฉันพูดภาษาเยอรมันได้ถึงมาเที่ยวคนเดียวแบบนี้ เพราะเวลาไกด์พูดอะไร ฉันก็หัวเราะตามไปด้วย Smiley



ฉันก็บอกไปตามตรงว่าไม่รู้เรื่องภาษาเยอรมันเลยสักนิด อาศัยว่ามีสมุดบันทึกการเดินทางที่พกติดตัว ตัดแปะภาษาเยอรมันคำที่จำเป็นต้องใช้ไว้ด้วย ...จริงๆ แล้วฉันคิดว่า Body language ค่อนข้างเป็นเรื่องสำคัญกว่า แม้ว่าฉันจะไม่รู้ภาษาท้องถิ่นของเขาเลยก็ตาม แต่ก็พอจะสามารถเข้าใจเรื่องที่ผู้พูดสื่อออกมาได้



ไกด์ที่น่ารักและลูกเล่นเยอะ



ข้างในนี่น่าประทับใจจริงๆ ค่ะ มี Trick Fountain น้ำพุซ่อนไว้ตามจุดต่างๆ เยอะแยะไปหมด แทบจะเรียกได้ว่าซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง ดังนั้น นอกจากฉันจะเปียกฝนที่ตกพรำลงมาแล้ว ทุกคนยังได้ตัวเปียกเล็กๆ จากน้ำพุกลนี่โดยถ้วนหน้ากัน



จุดแรกของน้ำพุที่ได้ชม



สนุกสนานเฮฮากับน้ำพุกลที่แอบซ่อน



โรงละครเครื่องกลประกอบด้วยหุ่นกระบอก 113 ตัว เคลื่อนไหวด้วยพลังน้ำ


พอพ้นจากจุดสนุกสนานเหล่านี้มาแล้ว ไกด์ก็พาเราออกมาเพื่อเข้าสู่ส่วนที่อยู่ในอาคาร ช่วงนั้นเอง ไกด์จะบอกว่าให้พวกเราดูรูปที่นำมาโชว์บนโต๊ะ ปรากฏว่าฉันถูกถ่ายตั้งแต่ตอนเข้ามาแบบไม่รู้ตัว มีทั้งรูปเดี่ยวและรูปหมู่ ราคารูปละ 6 ยูโร ซึ่งถือว่าแพงมาก ฉันเจอไปสองรูป จะไม่ซื้อก็ได้นะ แต่ฉันซื้อด้วยความเต็มใจ เพราะเป็นอิริยาบถที่ไม่รู้ตัวและคงไม่มีใครมาถ่ายให้แบบนี้ด้วยล่ะ


....ต้องขอชมเลยค่ะว่าที่นี่มีวิธีการหาเงินเข้ากระเป๋าได้เนียนดี....



คนที่คลุมพลาสติกสีเหลืองกับสองคนขวามือด้านล่างคือพี่คนไทยที่เจอกัน


พอเสร็จสิ้นจากการชมในส่วนบนอาคารหรือตัวปราสาทแล้ว คนส่วนใหญ่ดูเหมือนจะกลับกัน แต่พี่คนไทยกลุ่มนี้บอกว่ายังมีตามรอย The Sound of Music อยู่อีก ฉันก็เลยเดินตามหากันจนเจอ



ด้วยความเมตตาของพี่คนไทยกลุ่มนี้ จึงมีโอกาสได้ถ่ายกับวิวสวยๆ บ้าง


สารภาพว่าฉันยังไม่เคยดู The Sound of Music หรือมนต์รักเพลงสวรรค์มาก่อนเลย จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนเดินทางให้บังเอิญว่าทางทรูนำมาฉายให้ชมพอดี จึงได้ดูตั้งแต่กลางเรื่องจนจบ



...อย่างไรก็ตาม พอจะรู้มาบ้างว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์ถึง 5 รางวัล โดยการสร้างจากหนังสือของมาเรีย ฟอน ทรัปป์ เวลาต่อมาก็เป็นละครเวทีในเยอรมนี



ความอมตะของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ถ่ายทอดทิวทัศน์ได้อย่างอลังการและผูกให้เป็นเรื่องรัก เชื่อมโยงกับเหตุการณ์บ้านเมืองและความขัดแย้งทางหลักจริยธรรมไว้ในเรื่องเดียวกัน ใช้เวลาถ่ายทำเพียงแค่ 11 อาทิตย์จากสถานที่จริงในซาลซ์บวร์กเกือบจะทั้งหมด ตั้งแต่นั้น ก็เลยทำให้ซาลซ์บวร์กเกิดความรุ่งเรืองด้านการท่องเที่ยวขึ้นมา



เรือนกระจกในเรื่อง The Sound of Music


พอเสร็จจากถ่ายรูปคู่กับเจ้าเรือนกระจกนี่กันแล้ว ฉันตั้งใจว่าจะขึ้นเขา Untersberg ไปดูหิมะ แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่า Cable Car ที่ขึ้นไปบนเขาจะเปิดทำการรึเปล่า ว่าจะลองเสี่ยงไปดูนะ ...มาทั้งทีแล้วนี่นา



ส่วนพี่คนไทยกลุ่มนี้บอกว่าจะไปดูสวนสัตว์ที่อยู่แถวนั้นต่อ เพราะเมื่อวานท้องฟ้าอากาศดีจึงไปขึ้นเขามาแล้ว ฉันก็เลยขอแยกตัวออกมา ก่อนจากกันยังได้รับน้ำใจจากพี่ที่เป็นอาจารย์ลาดกระบังแบ่งแอปเปิ้ลให้มากินแก้หิวก่อนมื้อกลางวันด้วย



....น้ำใจคนไทยนี่ แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน ก็มีให้กันอย่างมากมายเลยนะคะ SmileySmiley




Smiley Smiley ไปสัมผัสหิมะที่เขา Untersberg Smiley Smiley


จาก Hellbrunn ฉันเดินออกมานั่งรถเมล์สาย 25 เหมือนเดิม คราวนี้นั่งไปจนสุดสายก็ถึง Untersberg Cable Car ขณะนั้นฝนยังตกพรำอยู่เล็กน้อย จะทำให้อากาศเปิดหรือปิด และมีผลกับการขึ้นเขาด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้สินะ



เดินเข้าไปถามพนักงานก็ได้รับคำตอบว่าเปิดให้บริการตามปรกติ แต่ต้องรอรอบถัดไปตอนบ่ายโมง ฉันดูนาฬิกาแล้วยังมีเวลาเหลืออีกตั้ง 20 นาที เลยแวะเข้าไปดูใน Cafeteria ใกล้ๆ ทางขึ้นเคเบิล เพื่อความรวดเร็วฉันเลยรองท้องด้วยการสั่งกาแฟลาเต้ ราคา 2.8 ยูโร และขนม pretzel หน้าตาแบบของ Aunti Anne's ชิ้นละ 0.9 ยูโร รสชาติออกเค็มไปหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรรองท้องเลย



พอได้เวลาเปิดให้ขึ้นข้างบน ฉันก็เข้าไปเป็นคนแรก ตามด้วยคู่คุณลุงคุณป้าที่พูดคุยซักถามแล้วว่าเป็นชาวเกาหลี ต่อด้วยกลุ่มสาวไทยล้วนๆ อีกเจ็ดคน ส่งเสียงสนุกสนาน จนคุณลุงเกาหลีแอบแซวกับฉันอยู่บ่อยครั้งว่าเป็นคนไทยด้วยกันไม่ใช่เหรอ Smiley



ทัศนียภาพที่มองจาก Untersberg Cable Car


ขึ้นไปบนเขาแล้วถือว่าโชคดีมากเลยค่ะ ขณะที่คนอื่นๆ กำลังไปเข้าห้องน้ำบ้าง หาทางลงไปด้านล่างบ้าง ฉันก็เจอประตูเปิดออกไปข้างนอกได้


หิมะกำลังตกลงมาพอดีเลย!!!


คุณลุงเกาหลีผู้ใจดีอาสาถ่ายรูปให้ฉันหลายรูปตอนที่หิมะตกใส่ตัว ...จากนั้นฉันก็ขอให้กลุ่มสาวไทยช่วยถ่ายให้อีกสองรูป .....แหม!! ดีใจและตื่นเต้นจังเลยนะที่ได้สัมผัสกับหิมะเป็นครั้งแรกในชีวิต



ยิ้มหน้าบานที่ได้เล่นกับความขาวโพลนของหิมะ


น่าแปลกที่อากาศบน Untersberg Mountain กลับไม่หนาวเท่าข้างล่าง ฉันเองก็ไม่ค่อยมีพื้นความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์สักเท่าไหร่ แต่เห็นอาจารย์พี่คนไทยที่เจอเมื่อเช้าบอกไว้ว่า ข้างบนเขารังสีมันจะสะท้อนก็เลยทำให้อุ่นกว่าข้างล่าง



ฉันอยู่บนเขาสัมผัสหิมะได้ประมาณ 15-20 นาที เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าได้เวลากลับลงข้างล่างแล้ว ปรากฏว่าสาวไทยคนหนึ่งทำแหวนตกหายกลางหิมะแล้วหาไม่เจอ



น้องๆ เค้าก็น่ารักนะ พอเข้ามาในกระเช้าแล้วก็ขอโทษคู่คุณลุงคุณป้าชาวเกาหลีที่ทำให้ต้องรอเพราะเพื่อนทำแหวนหาย ฉันว่าเป็นมารยาทที่น่ารักมากทีเดียว ....ตอนอยู่ในกระเช้า Cable Car ฉันได้คุยกับสาวๆ กลุ่มนี้ บอกเล่าว่าจะไปเที่ยวที่ Hallstatt, Cesky Krumlov และ Prague เหมือนกัน เราแอบแซวกันว่าคงจะได้เจอกันอีกหลายรอบแน่ๆ เลย



เราทั้งหมดมารอรถเมล์สาย 25 เพื่อกลับเข้าไปในเมืองเหมือนกัน แต่คู่เกาหลีสูงอายุกับสาวไทยกลุ่มนี้จะไปเที่ยว Hellbrunn ต่อ พอถึงป้ายที่ต้องลงก็บอกลากัน ส่วนฉันตั้งใจจะไปเดินที่ปราสาทและสวนมิราเบลล์ ซึ่งจัดเป็นสวนสาธารณะที่สวยที่สุดในซาลซ์บวร์ก




สวนมิราเบลล์ที่เป็นส่วนหนึ่งของ The Sound of Music




หลังจากนั้น ฉันตัดสินใจไปเดินหาซื้อเสื้อหนาวใหม่อีกสักตัวแถวสถานีรถไฟ เพราะพรุ่งนี้จะต้องไป Hallstatt คำนวณจากสภาพดินฟ้าอากาศแล้ว อากาศน่าจะหนาวกว่าที่ซาลซ์บวร์กมากโขอยู่ เนื่องจาก Hallstatt อยู่ติดทะเลสาบและอยู่ในหุบเขา



...โชคดีอีกแล้วที่ฉันได้เสื้อถูกใจจากห้าง C&A ในราคาลดเหลือ 19.9 ยูโร จาก 59.9 ยูโร ซึ่งคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณพันบาท ถือว่าน่าจะคุ้มค่าคุ้มราคา



แล้วก็อดที่จะนึกถึงน้องสาวไม่ได้ เพราะเธอท้วงว่าฉันเอาเสื้อหนาวมาน้อย ตอนที่จัดกระเป๋าฉันก็พยายามจะทำให้เบาและน้อยที่สุดเนื่องจากจะไม่มีคนมาคอยช่วยแบกกระเป๋าให้ แล้วก่อนมาก็คิดว่าอุณหภูมิที่พยากรณ์ไว้ประมาณสิบกว่าองศา ติดเสื้อหนาวมาสองตัวก็น่าจะเพียงพอ แต่ปรากฏว่าเนื้อผ้าไม่อุ่นพอที่สู้อากาศที่หนาวขนาดนี้ได้ จนต้องหาซื้อใหม่นี่แหละ



ความไม่พร้อมในเรื่องเสื้อหนาวทำให้ต้องเสียเงินซื้อใหม่


เสร็จจากเลือกซื้อเสื้อหนาวราวห้าโมง คิดว่าจะหามื้อเย็นกินให้เรียบร้อยก่อนเข้าที่พักดีกว่า พอเดินผ่านร้านพิซซ่าแถวสถานีรถไฟ ดูหน้าตาและราคาแล้วน่าสนใจดี เลยเข้าไปสั่งชุดลาซานญ่า&โค้ก ราคา 5.9 ยูโร มาลองดู แพงพอสมควรเลยนะ



....ระหว่างที่รอก็นั่งสำรวจภายในร้านไปด้วย เลยรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด จากการที่คิดว่าเจ้าของร้านเป็นฝรั่ง แต่ที่จริงแล้วเจ้าของร้านเป็นชาวอาหรับ ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาส่วนใหญ่จึงเป็นคนอาหรับเกือบทั้งหมด




บรรยากาศร้านพิซซ่าที่เจ้าของเป็นชาวอาหรับ


น่าแปลกใจที่ทางร้านทำรสชาติอาหารได้ดีทีเดียว เสียเพียงแต่ว่าลาซานญ่าที่ฉันสั่งมา ไส้เป็นเนื้อบด ความที่ปรกติชีวิตประจำวันงดเนื้อวัวมากว่าสิบปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้เขี่ยหรือเลือกเนื้อทิ้งหรอกนะ เสียดายเงินน่ะ Smiley นี่ถ้าอยู่เมืองไทยก็คงจะสั่งอย่างอื่นมาแทน แต่เมื่อมาต่างแดนอย่างนี้ค่าของเงินที่แตกต่างกันทำให้ไม่สนใจว่าจะเป็นเนื้ออะไร คิดเสียว่าเนื้อหรือหมู เดี๋ยวมันก็ลงไปกองอยู่ในกระเพาะอาหารเหมือนกันแหละน่า SmileySmiley


 








Create Date : 27 มกราคม 2554
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2554 22:39:04 น. 0 comments
Counter : 2029 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แฮปปี้มีนา
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]









ทำงานในองค์กรภาครัฐ ใช้เวลาพักร้อนในแต่ละปีออกไปเปิดรับและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในโลกใบนี้ตามลำพัง ...การออกไปเผชิญโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไม่จำเป็นต้องเก่งภาษามากมายขอแค่มีใจที่พร้อมจะเปิดรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างเดินทาง ทั้งสุข สนุก ตื่นเต้น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น จะทำให้เรามีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่มีในหนังสือท่องเที่ยวเล่มไหนสอนไว้


New Comments
Group Blog
 
 
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
27 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แฮปปี้มีนา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.