เมืองแกรนิต และเมืองธาตุเงิน (The Granite City, Silver City) เมืองแห่งดอกกุหลาบ (The City of Roses) มหานครน้ำมันแห่งยุโรป (The Oil Capital of Europe)
ท่าเรืออเบอร์ดีน
ท่าเรือ Northern Isles ระหว่าง Market Street ตัดกับ Guild Street
ย่านศูยน์การค้าบน Union Street สี่แยกUnion Street ตัดกับ Union Terrace
เมืองอะเบอร์ดีนนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยหินแกรนิตซึ่งทำให้ตัวเมืองดูเป็นสีเทาเงินระยิบระยับเมื่อถูกแสงแดด โดยมีถนนที่มีชื่อเสียงคือ Aberdeens Union Street และได้รับฉายาว่า Aberdeens Granite Mile เป็นที่ตั้งของร้านค้า ร้านอาหาร และบาร์กว่า 800 ร้าน และโรงแรม เช่น three shopping malls - the Bon Accord Centre, St Nicholas Centre, and the recently refurbished Trinity Centre all packed with well-known high street names.
บรรยากาศในเมืองอะเบอร์ดีนนั้นมักจะถูกกล่าวขานว่ามีสีเทาทะมึนของหินแกรนิต แต่ทว่าจุดเด่นอย่างหนึ่งที่ทำให้เมืองนี้กลายเป็นอีกเมืองหนึ่งที่น่าอยู่คือ สวนสาธารณะที่สวยงามมีสีสันตัดกับตึกรามบ้านช่องอย่างลงตัว โดยเมืองอะเบอร์ดีนได้ชนะเลิศการประกวดสวนดอกไม้หลายครั้งติดต่อกันมาโดยตลอดเป็นระยะเวลานานมากกว่าสิบปี ยกตัวอย่างเช่นรางวัล Best City ใน งาน Royal Horticultural Societys Britain in Bloom ของสหราชอาณาจักร รางวัลชนะเลิศในงาน Bloom Competition ของสก็อตแลนด์ และงาน International City in Bloom
ทางด้านอุตสาหกรรม นับตั้งแต่ได้มีการขุดพบแหล่งน้ำมันในทะเลเหนือ (North Sea) ในคริสตศตวรรษที่ 20 เมืองอะเบอร์ดีนได้กลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของยุโรป หรือที่เรียกกันว่า The Oil Capital of Europe ด้วยเหตุนี้ทำให้อุตสาหกรรมที่ทำรายได้หลักๆของเมืองในสามสิบปีมานี้ คือธุรกิจที่เกี่ยวกับน้ำมัน นอกจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันแล้ว ธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้เช่น ศุนย์อากาศยานเฮลิคอปเตอร์ของเมืองอะเบอร์ดีนนั้น เป็นศูนย์ที่มีเฮลิคอปเตอร์ขึ้นลงมากที่สุดในโลก
Aberdeen เป็นเมืองใหญ่เป็น อันดับ สาม ของ Scotland ตามประวัติเล่ากันว่า เป็นแผ่นดินที่เกิดจากการทับถม ระหว่างปากแม่น้ำ สองสาย คือ River Dee และ River Don โดยใช้เวลานานเป็นพัน ๆ ปี กว่าจะเป็นผืนแผ่นดินขึ้นมาได้
การตั้งถิ่นฐานครั้งแรกจะอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมืองในปัจจุบัน ซึ่งจะตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ Don ทางใต้ และเรียกกันว่า Aberdon ปัจจุบันรู้จักกันในนาม ของ Old Aberdeen หรือ Aulton ( Old Town )
King David ที่ หนึ่ง เป็นผู้สร้าง New Aberdeen ขึ้นในปี 1136 บริเวณริมฝั่งด้านเหนือของแม่น้ำ Dee และเรียกว่า Aberdee ดังนั้นจึงคาดกันว่า คำว่า Aberdeen น่าจะมาจากคำสองคำรวมกัน คือ Aberdee + Aberdon
Aberdeen เป็นเมืองที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะความสำคัญในการเป็นเมืองท่า ( port ) ขนาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางการประมง อู่ต่อเรือ และการขนส่งทางทะเล และหลังจากการขุดพบน้ำมันดิบในทะเลเหนือ ( North Sea ) ก็ยิ่งทำให้ Aberdeen เติบโตมากขึ้นเป็นที่ตั้ง ของ บริษัทน้ำมันใหญ่
นอกจากนี้ Aberdeen ยังเป็นที่รู้จักกันในนาม Granite City เนื่องจากอาคารสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่จะสร้างมาจาก หิน Granite หรือ อีกนัยหนึ่งก็อาจจะรู้จักกันในนาม City of Roses เพราะมีกุหลาบสายพันธ์ต่าง ๆ มากกว่า 12,000 สายพันธ์ ครอบคลุมพื้นที่ทุกตารางนิ้วของ Dunthie Parks Rose Hill
ถนนสายหลักของ Aberdeen มี 2 สาย คือ Union Street และ King Street สำหรับนักช้อปทั้งหลายคงพอใจที่จะเยื้องย่างอยู่บน Union Street เนื่องจากมีร้านค้ามากมายเรียงรายมากกว่า 800 ร้าน ส่วนผู้ชื่นชอบ ประวัติศาสตร์ และบรรยากาศเมืองเก่า ย่อมไฝ่ฝันที่จะไป เดินอยู่บน King Street เพื่อชื่นชมบ้านเมืองเก่าๆ ในย่าน Old Town Aberdeen University มหาวิทยาลัยเก่าแก่ ก็อยู่บนถนนเส้นนี้เช่นเดียวกัน
ธงชาติ Scotland พื้นสีน้ำเงิน มีกากบาททแยงมุมสีขาว เล่ากันว่ากากบาทขาวนี้ได้มาจากรูปทรงของไม้กางเขนที่ใช้ตรึง Saint Andrew นักบุญผู้ยิ่งใหญ่ของ Scotland :ซึ่งถูกลงโทษประหารด้วยการตรึงกางเขน โดยพวกโรมัน แต่รูปร่างกางเขนจะแตกต่างกับกางเขนที่ใช้ตรึง พระเยซู ( Christ ) โดยกางเขนจะเป็นรูปกากบาท ( X shape ) แทนกางเขนรูปร่างปกติ บางคนอาจจะรู้จัก Saint Andrew ในชื่อของสนามกอล์ฟ ที่มีชื่อเสียงมากของ Scotland หรือ อาจจะรู้จัก โบสถ์เซนต์แอนดรูว์ ( Saint Andrew Church ) ลมแรงพัดธงสะบัดพลิ้วตลอดเวลา เหมือนคอยกระตุ้นให้ระลึกถึง ความเป็นมา นี่เป็นสิ่งดีที่มองเห็นอีกอย่างของชาวสก๊อต แทบทุกบ้าน จะมีธงชาติปักไว้ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่แตกต่างกันไป แสดงความภาคภูมิใจในความเป็นชาติของตน ถึงแม้จะยังคงเป็น ส่วนหนึ่ง Great Britain แต่สก๊อตแลนด์ก็มี รัฐสภา ( parliament )เป็นของตัวเอง ไม่เหมือนบ้านเราปักธงเฉพาะวันสำคัญเท่านั้น ที่นี่เล่นเป็นการพนันที่ถูกกฎหมาย
Glasgow เป็นเมืองที่มีสีสีนที่สุดของสก๊อตแลนด์ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของ สก๊อตแลนด์ และใหญ่เป็นอันดับสามของ สหราชอาณาจักร ( United kingdom of Great Britain and Northern Ireland ) เป็นศูนย์กลางทางค้า และ อุตสาหกรรมของประเทศ ในปี 1990 ชาวเมือง Glasgow ก็ได้เฉลิมฉลองเมือง กันในฐานะที่ได้รับการยกย่องเป็น European City of Culture และในปี 1999 ก็ชนะรางวัล UK City of Architecture and Design คาดว่าบรรดาสถาปนิกทั้งหลายคงจะยินดีถ้าได้ไปเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมต่างๆ ในเมือง Glasgow เป็นแน่
ปูชอบที่นี่มากเลยพี่ เมืองเล็กๆแต่มีทุกอย่างพร้อม ขาดแต่ร้านหลุยส์ื(ล้อนะคะ เห็นคนที่นี่รวยๆทั้งนั้น รถแพงๆ ใหม่ๆ วิ่งทั่ว)
ชอบกุหลาบค่ะ คิดว่าดีกว่า เดวิด อัสติน
Cocker's James Cocker&sons
www.roses.uk.com
เสียดายไม่มีที่ปลูกมาก
เดี๋ยวปูแวะมาคุยใหม่นะคะ