คำแปลหนังสือ i-weekly no.482
เหยียนเฉิงซวี่ JERRY YANได้รับการโหวตเป็นดารา TOP 20 จากนิตยสาร movie star ของญี่ปุ่น เกาะกลุ่มเข้ามาพร้อมกับซุปเปอร์สตาร์ JOHNNY DEPP, BRAD PITT และท่านอื่นๆเข้ามาด้วยกันปีที่แล้วมีผลงานละครแค่เรื่องเดียวคือ (ไป๋เซ่อจวี้ถ่า) และงานพรีเซ็นเตอร์เท่านั้น ยอดรายได้สูงถึง3,200,000 เหรียญสิงคโปร์ เป็นดาราที่ทำรายได้สูงเป็นอันดับสี่ของใต้หวันการท่องเที่ยวใต้หวันได้ทุ่มทุน 3,750,000 เหรียญสิงคโปร์เพื่อสร้างละครไอดอล พยายามทาบทามให้เขามารับบทพระเอก แต่เขาปฏิเสธ (ต้องมีสาเหตุแน่นอนค่ะ)1/1เป็นวันเกิดครบรอบ 30 ปีของเขา แฟนๆของเขาที่ฮ่องกง ใต้หวันรวมทั้งแฟนคลับทั่วโลกได้ฉลองวันเกิดครบรอบ 30 ปีของเขาด้วยการอุปการะเด็กๆ จำนวน 120 คน แต่เจ้าตัวกลับทำตัวเป็นปริศนาไร้ร่องรอยพูดถึงเหยียนเฉิงซวี่ มักจะทำให้ฉันคิดถึงจิงเฉิงอู่ปี 2001 หลังจากที่เขากลายเป็นไอดอลจากละคร(หลิวซิงฮวาหยวน)แล้ว ผลงานแทบจะนับได้ พฤติการณ์ลึกลับ ทำตัวเงียบเชียบ แต่ทุกครั้งที่ปรากฎตัวก็ยังคงมาดซุปเปอร์สตาร์ไม่เปลี่ยนแปลง สามารถมองได้แต่ไกลแต่ไม่อาจเข้าถึงตัวพวกเราเคยไปมองโกลด้วยกันนั่นเป็นเรื่องราวของสามเดือนที่แล้ว ถึงแม้ว่าฐานะของฉันเป็นแค่นักข่าวที่จะสัมภาษณ์เขา เขาเป็นทูตที่ช่วยเหลือเด็กๆทั่วเอเชียของ World Vision แต่ความทรงจำระหว่างเดินทาง กลับกลายเป็นประเด็นที่ทำให้เราสามารถใกล้ชิดสนิทที่จะคุยเรื่องเดียวกันผมไม่เคยไปที่ๆไกลโพ้นและคงความเป็นธรรมชาติขนาดนี้ ได้เห็นรอยยิ้มและแววตาของเด็กๆ....ทำให้คิดถึงตัวเองก็เคยใช้ชีวิตที่เรียบๆง่ายๆแบบนี้มาก่อน เป็นชายหนุ่มตัวโตที่เรียบง่ายมาก ดังนั้นเห็นแล้วก็เลยรู้สึกสะกิดใจไม่น้อยเขาพูดเขาในสายตาของฉัน ถ้าเปรียบเทียบกับดาราอื่นๆมากมายแล้ว ความจริงนับว่าเรียบง่ายจริงๆ อย่างน้อยยังคงรักษาส่วนของ(เนื้อแท้)เอาไว้ เขารีบส่ายหัวปฏิเสธ ผมเหรอไม่ใสบริสุทธิ์แล้วล่ะ.....เมื่อก่อนนี้ผมยังยิ้มง่ายกว่านี้ ตอนนี้ไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้วล่ะ มีประสบการณ์และความกดดันสุมเข้ามามากขึ้น ตุ้ยอา...ตุ้ยอา จริงนะ....จริงๆนะ ปกติคำพูดเหล่านี้จะติดตัวผมตลอดนั่นคือการทำร้าย (ตี่ตี๊พูดจาเข้าใจยากวุ้ย )ฉันขมวดคิ้มแสดงอาการไม่เข้าใจ(555นักข่าวยังไม่เข้าใจเลย) เขาเริ่มอธิบาย เช่นว่า เวลาที่ผมไม่ค่อยสบายไม่อยากยิ้ม นี่เป็นนิสัยส่วนตัวของผมนี่นา แต่ว่าถ้าหากต้องให้สัมภาษณ์ปุ๊บ นักข่าวนั่งอยู่ตรงหน้าคุณ ยังไงผมก็ต้องฝืนแกล้งทำเป็นยิ้ม ผมไม่ชอบแบบนี้เลย ไม่ใช่ว่าผมไม่ยินยอมที่จะยิ้มนะ แต่ทุกคนบอกว่าชอบที่จะเห็นผมยิ้ม ถ้าหากผมไม่ยิ้ม พวกเขาก็จะรู้สึกเองว่า อา..คุณไม่ยิ้มแล้ว คุณโกรธแล้วใช่มั้ย ตอนนี้คุณกำลังไม่พอใจ! ความจริงเปล่าเลย บางครั้งผมได้แต่นั่งนิ่งๆใช้ความคิดไปเรื่อยๆ แต่ว่าก็จะโดนคนอื่นเอาฉลากที่เป็นเครื่องหมาย...แปะใส่คุณทุกคนต่างก็หวังในตัวดาราที่แตกต่างกันออกไป ที่มองโกลระหว่างเดินทาง ผ่านเส้นทางที่เป็นภูเขาหิมะ คนที่ไปส่วนใหญ่แทบจะลงมาเล่นสงครามปาหิมะกันหมด ภาพวิวสวยงามที่ขาวโพลนปกคลุมไปทั่ว ช่วงเวลานั้นฉันแค่อยากนั่งฟัง MP3 ชื่นชมบรรยากาศอย่างเงียบๆ และเขาก็หลบอยู่ในรถฟังดนตรีเช่นเดียวกันและนั่งมองคนอื่นเล่น คนใกล้ตัวมักจะรู้สึกว่าเขาสะกดอารมณ์ตัวเองมากเกินไป ทำไมถึงไม่มาเล่นด้วยกันความอิสระของคนธรรมดาทั่วไป เหมือนกับว่าดาราไม่มีสิทธิ์ได้มัน เป็นเพราะได้รับความชื่นชมเคารพเลื่อมใสจากคนนับหมื่นๆ ก็จำเป็นต้องทำตัวให้สมกับที่ผู้คนคาดหวังเหยียนเฉิงซวี่ทำไมถึงคลุกเคล้ากับคนอื่นๆไม่ได้ เหยียนเฉิงวี่ทำไมถึงขาดความมั่นใจในตัวเองอย่างนั้น เหยียนเฉิงซวี่ทำไมเห็นกล้องปุ๊บก็จะรู้สึกเกรงขึ้นมาทันทีทุกคนก็หวังให้ดารามีความเชื่อมั่น ต้องยิ้มเป็น ต้องกลิ้งกลมลื่นไหล.....ถึงแม้ว่าพวกเราจะรู้อย่างชัดเจนว่า(นิสัยเดิมไม่มีเปลี่ยน)เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน นิสัยคนเราไม่มีทางที่จะเปลี่ยนอยู่แล้ว ถูกต้อง นิสัยผมก็เป็นประเภทที่ (ชอบเป็นตัวของตัวเอง) ดังนั้นผมบอกกับทุกคนตลอดมาว่าผมไม่เหมาะที่จะออกมาเท่าไหร่ โดยเฉพาะต้องออกมาพบคนเยอะๆ ผมยังมีปัญหาส่วนตัวอีกเยอะมั้งหาวิธีที่จะทำตัวอย่างเหมาะสมหรือยัง หาได้แล้ว ก็คือพยายามไม่ออกมาให้เห็น เขายิ้ม ตุ้ยอา วิธีที่ดีที่สุดก็คือขยันถ่ายหนังถ่ายละคร (ขยันมากเลยสามปีหนึ่งเรื่อง ) จากนั้นทำเรื่องที่ตัวเองคิดว่าสามารถทำได้ดี พยายามไม่ออกมาให้คนอื่นเห็น นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับผม เขายิ้มรู้สึกประชดตัวเอง ปกติผมเป็นคนเงียบมากจริงๆนะ เงียบจนพวกเขารู้สึกว่าผมได้สาบสูญไปแล้ว ผมจะมีโลกส่วนตัวมากและจะอยู่แต่ในโลกส่วนตัวนั้น เมื่อก่อนตอนที่เข้าวงการนี้ใหม่ๆ ผมคิดว่าการเป็นดาราก็เหมือนพนักงานตอกบัตรเช้าเย็น ในส่วนตัวทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ที่จริงบางเรื่องผมก็ตั้งใจขยันทำอย่างเต็มที่แล้วนะ คนอื่นจะเห็นหรือไม่ก็ช่าง ผมไม่อยากให้คนมารู้เรื่องหรือเข้าใจผมมากไป เพราะยิ่งรู้หรือเข้าใจผมมากเท่าไหร่ ก็จะรู้สึกถึงคนอย่างผมไร้สาระไม่น่าสนใจฉันคิดว่าเขาเป็นคนที่รู้สึกไม่มั่นคงและไม่ปลอดภัย เลยไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องของตัวเองมากก็ไม่ใช่หรอก เพียงแต่ถูกคนเข้าใจผิดบ่อยๆทำให้ผมหมดแรงแล้ว หลายครั้งทำให้ผมไม่อยากที่จะไป.....ตุ้ยอา เขาหัวเราะเบาๆ เขาชอบพูดคำว่า ตุ้ยอาในขณะที่ไม่รู้จะแสดงความรู้สึกยังไง พวกเราชินกับคำย่อของเขาแล้ว และชินกับคำพูดที่หยุดกลางคันของเขาด้วย เทียบกับคนที่พูดจารื่นไหลไม่ขาดปากแล้ว อาซวี่ที่ไม่ค่อยชอบพูด กลับทำให้ฉันอยากที่จะไปค้นหาความหมายความรู้สึกเบื้องหลังถ้อยคำที่เขาย่อไว้เหยียนเฉิงซวี่ คุณสมบัติประจำตัวสมเป็นดาราอย่างมาก แต่นิสัยกลับไม่เหมือนดาราเลย ด้วยนิสัยของเขาบางทีอาจไม่เหมาะที่จะเป็นคนของสาธารณะชนเท่าไหร่ แต่ด้วยคุณสมบัติที่ธรรมชาติให้มา ถูกกำหนดให้ต้องเดินเส้นทางดาวจรัสแสงนี้ นี่คือโชคชะตาที่เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้เขาที่ต่อหน้านักข่าว มักจะพูดน้อย เขามักจะรักษาความห่างของระยะไว้ตลอด เวลาอยู่หน้ากล้องดูแล้วขาดความเป็นธรรมชาติอย่างมาก บางครั้งเห็นถึงความเคอะเขินของเขาอย่างเด่นชัด เวลาออกงานแถลงข่าว จะเห็นเขาถ้าไม่ก้มหน้าก็จะหันข้างให้กล้อง ซึ่งคนอื่นๆจะพยายามหาทุกวิธีที่จะให้ตัวเองอยู่หน้ากล้อง แต่เขากลับเหมือนรู้ตัวว่าตัวเองหลบหน้ากล้องตอนไปเยี่ยมเด็กๆที่มองโกลนั้น เห็นนักข่าวเพื่อผลที่ได้ พยายามจับภาพที่ดูแล้วน่าเวทนาที่สุด แต่เขาทำใจรับไม่ได้ผมโกรธมากจริงๆตอนนั้น ผมไม่สามารถเข้าใจทำไมช่างภาพถึงพูดกับผมว่า: (คุณก็ถามคำถามบางอย่างเพื่อให้เค้าร้องไห้สิ เค้ากำลังจะร้องไห้อยู่แล้ว) ทำไมผมต้องทำให้เด็กร้องไห้ด้วยล่ะ ผมมาดูแลใส่ใจพวกเค้า ไม่ใช่มาดูพวกเค้าร้องไห้นี่ ในช่วงเวลานั้นผมมีอารมณ์ที่หลากหลายมาก อารมณ์ตรงนั้นมาจากที่ผมไม่สามารถทำความเข้าใจอย่างผู้ใหญ่ได้ว่าเพราะอะไร ผมรู้สึกว่าผมก็ยังเป็นเด็กคนนึง หลายๆครั้งผมก็ยังไร้เดียงสาไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อเวลาต่างคนต่างมีจุดยืนที่จะต้องทำ ผมไม่สามารถที่จะเข้าใจว่านั่นคืองานและหน้าที่ของพวกเขา และรู้สึกว่านี่คือตำราที่ผมต้องพยายามเรียนรู้ในตอนนี้ตอนนั้นผมได้พูดคุยกับนักข่าวใต้หวัน มีคนโอดครวญว่าตามดาราบางคนไปที่ตี้ซันซื่อเจี้ยกั๊วเจีย(ประเทศที่เป็นโลกที่สาม)เพื่อสัมภาษณ์ มักจะถ่ายเห็นภาพที่พวกเขาขอบตาแดงสะเทือนใจจนน้ำตาไหล มีแต่เขาเท่านั้นที่ไม่เป็นอาซวี่เป็นดาราคนนึงเท่าที่ฉันเห็นมา แสดงเสแสร้งไม่เป็นจริงๆ อาจเป็นเพราะเคยชินจนติดเป็นนิสัย ดาราคนอื่นเวลาอยู่ต่อหน้ากล้องมักจะรู้ว่าควรจะแสดงยังไง ความรู้สึกที่แสดงออกมาอาจจะเป็นของจริง แต่เวลาอยู่ต่อหน้ากล้องมักจะเข้าถึงอารมณ์ได้ง่าย น้ำตาจะร่วงสักกี่หยดไม่ได้เป็นเรื่องยากเลยแม้แต่นิด.....แต่เขาอยู่ต่อหน้ากล้อง ความรู้สึกที่แท้จริงนั้นเขาไม่สามารถแสดงออกมาได้เลยจริงๆ ตุ้ยอา ผมโกรธตัวเองมาตลอด ซึ่งทั้งๆที่ภาพบางขณะน่าสะเทือนใจมาก แต่พอกล้องจับมาที่หน้าผมปุ๊บผมก็จะตึงขึ้นมาทันที แน่นอนว่าเป็นเพราะความไม่ปลอดภัยในช่วงแรกๆ ตอนที่ผมก้าวเข้ามาวงการนี้ใหม่ๆมีส่วนอย่างมาก อื้ม....ตุ้ยอา จะต้องหาวิธีพิชิตมันให้ได้บอกเขาให้รู้ว่าทุกคนคิดว่าคุณสะกดอารมณ์ตัวเองมากไป บ่อยครั้งที่แม้แต่จะเล่นก็ยังเล่นอย่างระมัดระวังตัวผมไม่ใช่ว่าเล่นอย่างระมัดระวังตัวนะ แต่ผมไม่รู้จะเล่นยังไงมากกว่า ตั้งแต่เล็กจนโตฐานะทางบ้านก็ไม่ดี ตั้งแต่เล็กก็รับจ้างทำงานอยู่ข้างนอกจนโต ครอบครัวที่มีแม่เพียงคนเดียว....ผมรู้สึกตัวเองขาดความรักไปส่วนหนึ่ง....กับคนในครอบครัว ผมก็แสดงความรักไม่ค่อยเป็น เช่นว่ากอดหรือพูดคำว่าฉันรักเธอไม่เป็น วิธีที่ผมแสดงออกก็คือขยันทำงานหาเงิน ให้มามาไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนั้นผมทำงาน และยังเรียนชั้นที่สอบเทียบอีกด้วย ผมอยากให้มามารู้ว่าฐานะเราจนส่วนจน แต่อย่างน้อยไม่ต้องเป็นห่วงว่าลูกคนนี้จะเสียคน ผมก็รู้สึกตัวเหมือนกันว่าด้านการสื่อรักยังขาดตกบกพร่องมาก เป็นจุดอ่อนผมปรับตัวเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยเป็น ดังนั้นตอนผมไปถึงมองโกล ผมรู้ตัวว่า ตายแล้วจบเห่แล้ว! ทุกคนต้องรู้สึกว่าผมไม่เป็นเอาเสียเลย ไม่เต็มใจ สะกดอารมณ์ตัวเองมากเกินไป การสะกดอารมณ์ของผมเป็นเพราะผมไม่เป็น ดังนั้นก็เลยยิ่งตื่นเต้นไม่รู้จะทำยังไงดี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สะกดอารมณ์หรือไม่ แต่อยู่ที่ผมเป็นหรือไม่ จะมีใครมาบอกผมหรือไม่ว่าควรทำยังไงมากกว่า เขาพูดความรู้สึกออกมาพรืดเดียวหมดฉันมักจะคิดว่าคนที่เติบโตมาในสภาวะที่ไม่ดี จะเข้าถึงความรู้สึกกลุ่มชนชั้นที่ด้อยโอกาสมากกว่าก็อาจเป็นได้ ผมคิดอยู่เสมอว่าในขณะที่เราช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ในเวลาเดียวกันคุณสามารถรู้สึกได้ว่าตัวเองมีความสุขและโชคดีแค่ไหน เวลาพูดมันง่ายมากนะ ทุกคนก็จะพูดว่าต้องรู้ถนอมคุณค่า ต้องอยู่กับปัจจุบัน บอกให้ผมต้องจำไว้ต้องถนอมคุณค่าทุกวัน ต้องอยู่กับปัจจุบัน ยากจัง โดยเฉพาะอยู่ในแวดวงนี้ เพราะจะตามล่าบางสิ่งบางอย่างจนหลงทาง ผมจะคอยเตือนตัวเองอย่างระมัดระวัง อย่าเปลี่ยนไปเหมือนดาราบางคนเด็ดขาดและนี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมตอนที่ผมอยู่กับครอบครัว ซึ่งเป็นบ้านที่เล็กมาก มีคนมากมายมาที่บ้านผม ก็จะรู้สึกตกใจ หา! ทำไมตอนนี้คุณยังมีความเป็นอยู่ที่ไม่ดีอีก พวกเขาไม่เข้าใจหรอก แต่สำหรับผมแล้วไม่ว่าคนข้างนอกจะมองผมเป็นเหยียนเฉิงซวี่หรือเอฟ4 แต่พอผมกลับไปถึงบ้านที่เรียบง่ายที่ยิ่งกว่าเรียบง่ายหลังนั้น บ้านหลังนั้นอาจมีแค่โต๊ะและเก้าอี้เก่าๆ และทีวีเครื่องเล็กๆ....แต่ พอเวลาคนเรากลับไปถึงบรรยากาศที่เรียบง่ายนั้น คุณจะรู้ตัวว่าคุณคือใคร คุณจะไม่คิดว่าเพราะตัวเองเป็นเอฟ4 คุณก็จะถูกสภาพแวดล้อมครอบงำ นี่คือความเป็นอยู่ที่ผมชอบมาก แต่คนรอบข้างอาจไม่เข้าใจ สำหรับผมแล้ว ผมมีวิธีการของผม ผมอยากกลับไปสู่บรรยากาศที่เป็นแรกเริ่มนั้นฉันใช้เวลาในห้าวันดูละครไป๋ฯจนจบ แต่แรกคิดว่าเอาไว้เป็นข้อมูลเพื่อเตรียมการสัมภาษณ์ แต่จริงๆแล้วเป็นเพราะหยุดไม่ได้มากกว่า เนื้อเรื่องเข้มข้นมาก ฉันบอกกับเขาอ้อ เขาตอบรับด้วยรอยยิ้มที่เขินอาย ผมดูแค่นิดเดียวเอง ดังนั้นไม่ค่อยรู้เรื่อง ก่อนหน้านี้ช่วงเวลาหนึ่งอยู่ที่ญี่ปุ่นตลอด ตอนนั้นละครกำลังออนแอร์พอดี ดังนั้นก็ไม่มีโอกาสได้ดู และไม่กล้าดูด้วย เขาหัวเราะขึ้นมา ได้ยินคนเค้าพูดกันว่าตอนหลังๆจะสนุกกว่า พวกเราที่เล่นละคร ที่จริงไม่ค่อยดูผลงานของตัวเอง คนที่ดูละครอย่างฉันดูไปรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างมาก และคนที่แสดงไม่ต้องพูดก็รู้ว่าตอนแสดงน่าจะเจ็บปวดใช่มั้ยผมพยายามที่จะถ่ายทอดอารมณ์ความเจ็บปวดของซูอี้ฮว๋าที่ผมอยากเห็น ถ้าหากทำให้คนดูเข้าถึงความรู้สึกนั้น นั่นแสดงว่ายังโอเคนะ การแสดงพอใช้ได้ เขาหยุดพูดแป๊บนึง ยิ้มอย่างเขินๆ เล่นละครเรื่องนั้นทรมานมากจริงๆ มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย รอบตัวก็มีแต่รุ่นพี่ที่เก่งกาจ ผมรู้สึกกดดันมากเลย ต้องประชันกับเช่นอู๋เมิ่งต๊ะ ถ้าออกมาคุณเล่นได้ไม่ดีพอ คุณต้องโดนเขาเขมือบแน่ อาซวี่จะใช้วิธีที่ธรรมชาติแสดง เทียบกับอู๋เมิ่งต๊ะและใต้ลิเหยิ่นแล้วจะแตกต่างกันมาก ฉันคิดว่าอย่างนั้นความเป็นธรรมชาติ แปลได้สองอย่าง อย่างแรกก็คือคุณเล่นได้ธรรมชาติ อย่างที่สองก็คือคุณเล่นไม่เป็น เขาพูดเหน็บแนมตัวเองแล้วหัวเราะออกมา เห็นได้ชัดเลยที่เขาไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แต่ยังไงตอนนี้ผมยังอยากเล่นกับดาราอื่นๆอีกหลายคนมากที่เหมือนใต้ลิเหยิ่น ผมได้เรียนรู้ได้เห็นภาพที่คมชัดต่อการแสดงเพิ่มมากขึ้นจริงๆ และมุมมองด้วย (เฮ่อ! ซื่อมามาแปลจนเหงื่อตกปรัชญาเหลือเกิน)เขาบอกว่านับวันยิ่งมีความสุขกับการแสดงมากยิ่งขึ้นแล้ว เพราะสามารถเอาความรู้สึกที่แท้จริงใส่เข้าไปในบทบาท เป็นการระบายอีกวิธีหนึ่ง โดยเฉพาะเล่นบทที่แสดงซีนอารมณ์ จะมีความเจ็บปวดจริงของตัวเองที่ผ่านๆมา หรืออาจจะเป็นความรู้สึกบางอย่างตรงนี้กับความเจ็บปวดบางอย่างตรงนั้น ก็จะปลดปล่อยออกมาในช่วงเวลาแสดง แต่ว่าการแสดงลักษณะนี้รู้สึกทำร้ายตัวเองมากนะ พวกเขาต่างพูดว่าผมเล่นเรื่องนี้จบดูเหมือนแก่ลงไปห้าปี มีช่วงเวลาหนึ่งผมเศร้าโศกหดหู่จนไม่ไหวแล้ว ความเศร้าโศกอันนี้ไม่ได้แกล้งทำนะ มันตกอยู่ในอารมณ์นั้นออกมาไม่ได้ ทุกวันก็จะมีอาการแบบนั้น คนใกล้ตัวก็จะบอกว่า: (คุณไม่ต้องเศร้าโศกขนาดนี้ได้มั้ยล่ะ) ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว ค่อยๆสลัดเงาที่อยู่ในไป๋เซ่อจวี้ถ่าหลุดไปได้เขาที่เป็นแบบนี้รู้สึกทำให้ตัวเองลำบากจังเลย โอเคน่ะ เสร๊จสิ้นสมบูรณ์บทบาทหนึ่งดีใจมากเลยอ่ะ รู้สึกประสบความสำเร็จเล็กๆซูอี้ฮว๋าใน(ไป๋)ยึดมั่นต่ออุดมการณ์และความรักที่ค่อนข้างไร้เดียงสา เข้ากับสภาพความจริงที่โหดร้ายไม่ได้เลย กับเรื่องราวต่างๆก็ไม่สามารถเข้าใจได้ รู้สึกตลอดเลยว่าได้เห็นเหยียนเฉิงซวี่ในละครนั้นตรงส่วนนั้นเหมือนผมจริงๆ เหมือนจนหลายครั้งผมรู้สึกว่าผมไม่ได้แสดงบทตัวนั้น แต่แสดงเป็นนิสัยตัวเอง ผมไม่นับว่าแสดงดี เพราะว่าเต้าหมิงซื่อ ซูอี้ฮว๋าบทบาทสองตัวนี้มีเงาและนิสัยของผมอยู่ในนั้น ผมหวังว่าต่อไปจะมีโอกาสเลือกเล่นบทที่ห่างไกลนิสัยตัวเอง ต้องไปศึกษาชีวิตที่เราไม่เคยประสบมาอย่างละเอียด ผมรู้สึกว่าอย่างนั้นสิถึงเรียกว่าการแสดงผู้ช่วยที่อยู่ข้างตัวเร่งรัดให้จบการสัมภาษณ์ เขากลับบอกว่า ไม่เป็นไรคุณถามสิ พวกเราถามถึงความคาดหวังในอนาคตบอกตามตรงนะ เมื่อก่อนมี แต่ผมรู้สึกว่ายิ่งนับวันยิ่งไม่มีแล้ว นับวันผมจะไม่คิดว่าอนาคตอยากจะทำอะไร มนุษย์เราทำไมต้องหาความยุ่งยากให้ตัวเองล่ะ เมื่อผมไม่คิดวางแผนอนาคตว่าจะต้องบรรลุเป้าหมายถึงขั้นไหน ผมเชื่อว่าผมจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น ยิ่งทำตัวเรียบง่าย ยิ่งไม่มีสิ่งที่ห่อหุ้ม เขาพูดจริงจังและซีเรียส (สิ่งห่อหุ้มในภาษาไทยไม่รู้แปลว่าหัวโขนรึเปล่า)มีรายงานไม่ขาดว่า อาซวี่ตั้งบริษัทเอง ฉันคิดว่าเขาจะกำหนดเส้นทางดารานี้ด้วยมือตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบผมไม่เคยคิดที่อยากเป็นเถ้าแก่เลย ไม่มีจริงๆ ผมแค่หวังว่าจะหาเจอคนที่มาช่วยเหยียนเฉิงซวี่ได้ ให้ผมได้แสดงความสามารถในอาณาจักรทางด้านการแสดงได้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องอื่นๆ เรื่องก็มีง่ายๆแค่นี้ ถึงตอนนี้ผมยังไม่เจอผู้ใหญ่ที่รู้สึกว่าสามารถนำพาผมได้เลย(ตี่ตี๊เอ๊ยทำไมน่าสงสารอย่างนี้นะ ) ผมหวังว่าจะเจอคนที่รู้จักผมจริงๆ คนที่เห็นผมเหยียนเฉิงซวี่ไม่ได้เป็นอย่างที่คนข้างนอกพูดกัน ผมหวังว่าความที่ค่อนข้างยึดมั่นของตัวเอง และส่วนของความจริงจังในเรื่องงานสามารถให้คนที่อยากมาช่วยผมได้เห็น เขาถึงจะอยากช่วยผมอย่างจริงใจ ให้ผมสามารถดียิ่งๆขึ้น คุยถึงเรื่องที่อยากพูด ความจริงอาซวี่ไม่ขี้เหนียวคำพูดเลยนะตอนนี้พลังที่จะผลักดันให้ผมดียิ่งๆขึ้น เดี๋ยวนี้ง่ายมากแล้ว ก็คือไปแต่ละประเทศก็สามารถชักชวนให้คนทำกุศลได้มากยิ่งขึ้น วันนี้ผมเป็นไอดอล รู้ว่าคนที่ชอบผมมาก ต่างก็ช่วยผมทำกุศลอย่างเหนียวแน่นอยู่ แบบนี้จริงๆแล้วดีมากเลยนะ สักวันหนึ่งผมแก่ตัวลง เพื่อนๆที่ชอบผมก็อายุมากขึ้นแล้ว(แก่กว่าตัวเองทั้งน้านจ้ะ) อย่างน้อยทุกคนจะจำช่วงเวลาที่สนับสนุนไอดอลตอนนั้นได้ ว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เพียงแค่ตามดารา เสียสตางค์ซื้อผลิตภัณฑ์ของไอดอล พวกเรายังได้ช่วยคนอีกมากมาย สำหรับพวกเราแล้ว จะเป็นความทรงจำที่สวยงามมากเลยการสัมภาษณ์จบลง ผู้ช่วยทั้งหลายยังคงนั่งอยู่กับที่ แต่เขากลับยืนขึ้นมา และเดินส่งฉันจนถึงหน้าประตู เห็นคุณ ผมค่อนข้างผ่อนคลาย เขาเผยรอยยิ้มและโบกมือให้ หวังว่าครั้งหน้าจะเจอกันอีก