Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2549
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
7 มิถุนายน 2549
 
All Blogs
 
ฆาตกรรมบำบัด [Homicide Therapy]

ชี้แจง


เรื่องสั้นนี้ไม่ได้มีความมุ่งหมายที่จะชี้นำให้กระทำตาม หรือสนับสนุน หรือเห็นด้วยกับการกระทำอาชญากรรมร้ายแรงแต่อย่างใด เพียงแต่เสนอในอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมของฆาตกรต่อเนื่องและเหตุที่ทำให้จิตผิดปกติ

ฆาตกรรมบำบัด [Homicide Therapy]


ผม…เชวานน์โดร มอนด์เตรเดส นั่งอยู่ต่อหน้าจิตแพทย์หนุ่มต่างเชื้อชาติที่มีอายุน้อยกว่าผม เราพบกันหลายครั้งจนกว่าการศึกษาตัวผมจะจบสิ้น ครั้งแรกที่พบกันผมยอมรับว่าภาษาอังกฤษของเขาเข้าขั้นทีเดียว มันใช่แน่ที่เขามีความรู้เป็นเลิศ อืม เขามีมันสมองที่ชาญฉลาดถึงได้เป็นแพทย์นี่นะ แต่เรื่องของเรื่องก็คือผมเป็นผู้ชายหน้าตาดีที่ถูกจองจำอยู่ในโรงพยาบาลสำหรับอาชญากรที่ป่วยทางจิตและมีอายุครบสี่สิบห้าปีก่อนวันแรกพบเพียงวันเดียว เป็นวันเกิดที่ไม่มีการฉลอง ไม่มีคนอวยพร ไม่มีอะไรแม้สักอย่าง แต่คนที่ต้องการศึกษาตัวผม ชายหนุ่มผู้มีอายุยี่สิบเจ็ดปีที่มีความสนใจในตัวอาชญากรจิตป่วยถึงขนาดลงทุนบินข้ามประเทศเพื่อศึกษาฆาตกรต่อเนื่องโดยเฉพาะ เขากลับพูดว่าสุขสันต์วันเกิดย้อนหลัง ผมรู้สึกดีและประทับใจที่เขามีแก่ใจที่จะใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆของฆาตกรอันตรายที่เป็นเพียงแหล่งข้อมูลและกรณีศึกษา ความประทับใจทำให้ผมยอมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับทุกข้อคำถามของเขาและเต็มใจบอกเล่าทุกเรื่องราวของตัวผมให้เขาได้รับรู้ แต่ก็อดถ่วงเวลาเมื่อครั้งแรกพบไม่ได้ ผมรู้ว่าเราถูกจำกัดเรื่องเวลา ได้พบกันก็เพียงอาทิตย์ละครั้ง และไม่กี่ชั่วโมง ผมเลยถามเขาว่า

"ช่วยบอกฉันอีกที ว่าหมอชื่ออะไร"

"ภีมาภัทร์ครับ"

"หมอมาจากไหนนะ"

"ประเทศไทยครับ"

"ที่นั่นไม่มีกรณีศึกษาหรือไง หมอถึงต้องถ่อมาถึงนี่" ผมจงใจกวนประสาท

"ที่อเมริกาเป็นของจริงที่ผมสนใจและมีหลายกรณีให้ศึกษา" เขายิ้มน้อยๆ

"แล้วหมอไม่กลัวฆาตกรต่อเนื่องเหรอ หมายถึง… ถึงจะมีลูกกรงกั้นก็เถอะ หมอไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ"

"อ่า กลัวครับ" เขายอมรับ

ผมเปิดรอยยิ้มกว้างด้วยความพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน และดวงตาคู่สีฟ้าของผมก็ควรเปล่งประกายอย่างคนที่มีความรู้สึกทั่วไป

"หมออ่านข้อมูลของฉันมาบ้างไหม ในแฟ้มคดีน่ะ"

"ครับ คุณมอนด์เตรเดส ผมอ่านและพยายามทำความเข้าใจแรงจูงใจในการก่อคดีของคุณ ปัญหาทางจิตของคุณ"

"งั้นก็ไม่ยากที่หมอจะเข้าใจเพราะหมอได้อ่านพื้นเพของฉันแล้ว"

"อาการป่วยทางจิตเป็นเรื่องที่ซับซ้อนครับ อีกอย่าง… ส่วนตัวผมคิดว่าการตั้งข้อสันนิษฐานก็อาจผิดพลาดได้"

"หมอพูดอะไรตรงดี ฉันชอบนะ" ผมปั้นยิ้มเหมือนฉลามร้ายทำเอาจิตแพทย์หนุ่มถึงกับออกอาการหวาดผวา

"อย่าห่วงน่าหมอ ฉันล่าแต่คนที่ง่ายต่อการลงมือ" เสียงหัวเราะต่ำลึกของผมไม่ทำให้คนฟังคลายความกังวลแต่อย่างใด

"หมอถูกใจฉัน ในแง่ที่หมอทำตัวดี มองฉันเป็นคนป่วยที่หมอควรเอาใจใส่" ผมมองเขาตรงๆ

จิตแพทย์หนุ่มก็วางตัวแทบไม่ถูก

"สายตาของหมอบอกฉันอย่างนั้น" ผมเฉลยด้วยรอยยิ้มละไม

"ขอบคุณครับ คุณมอนด์เตรเดส"

"เรามาเข้าเรื่องของฉันดีกว่า" ผมเปลี่ยนท่าทีในทันใด

คนรอฟังก็เตรียมจรดปากกากับหน้ากระดาษของสมุดบันทึก

การบำบัดรักษาผู้ป่วยทางจิต อาทิ จิตบำบัด พฤติกรรมบำบัด ครอบครัวบำบัด และการใช้ยาทางจิตเวช จิตแพทย์จะเลือกใช้วิธีการใดในการรักษาก็ย่อมต้องขึ้นอยู่กับชนิดของโรค แต่กรณีของผมวิธีการเหล่านั้นใช่จะช่วยให้ผมหลุดพ้นจากความทรมานได้ มันเป็นความทรมานอันเนื่องมาจากโรคทางจิตซึ่งรบกวนผมอยู่เกือบตลอดเวลา ผมจะได้หายใจหายคอเป็นคนธรรมดากับใครเขาเพียงไม่กี่ครั้งในรอบเดือน อาจแค่บางช่วงของวัน และโดยมากผมจะถูกอาการของโรครุมเร้า ผมอธิบายไม่ถูกหรอกว่ามันเป็นอย่างไร ถ้าพยายามอธิบาย…ก็เหมือนว่ามีบางอย่างพลุ่งพล่านอยู่ข้างในให้ต้องกระวนกระวายและกระสับกระส่าย มันเหมือนกับเป็นความโกลาหล หรือปั่นป่วนทางจิต ไม่ก็คล้ายกับมีสิ่งก่อกวนจิตใจให้ไม่เป็นสุข และสิ่งที่พล่านอยู่นั้นรบกวนผมอย่างมากจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้อย่างเต็มที่นัก มันบั่นทอนความสามารถในการทำงานและตั้งสมาธิของผมแทบจะสิ้นเชิง การควบคุมด้วยความพยายามก็ช่างยากเย็น หลายครั้งที่ผมรู้สึกท้อแท้และเบื่อหน่ายสิ่งที่เป็นอยู่ แต่ผมไม่เคยคิดทำร้ายตัวเอง มันแน่ล่ะว่าความคิดของผม ถ้ามันไม่หันเข้าหาตัวเองก็จะต้องพุ่งออกภายนอก ไปยังคนอื่นๆที่จะกลายเป็นเป้าหมายของผม

ผมเฝ้าอดทนอดกลั้นและทนทรมานอยู่นานแรมปี ที่ผมไม่คิดจะรับการรักษากับจิตแพทย์ก็ด้วยเหตุผลง่ายๆ เพราะการพบจิตแพทย์เป็นเรื่องสูญเปล่าและไม่ช่วยอะไรแม้แต่น้อย และเพราะผมเคยพบจิตแพทย์น่ะสิ แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นก็ทำให้ผมตัดสินใจเลิกรับการรักษา ผมยังคงป่วยและยิ่งป่วยหนักตามวันเวลาด้วยโรคทางจิตเวชที่เรื้อรัง ยิ่งปล่อยเอาไว้นานวันก็จะยิ่งยากต่อการบำบัดรักษา ผมทนทุกข์กระทั่งถึงจุดขีดสุดที่ควรต้องคิดหาทางทำอะไรลงไปเสียบ้าง หากผมตระหนักดีว่าควรทำเช่นไรเพื่อบรรเทาความทรมานจากอาการป่วยทางจิต เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับผู้ป่วยบางราย…อย่างผมที่ก่อความคิดถึงเรื่องชั่วร้าย เพราะการควบคุมมีแต่จะยิ่งกดเก็บความต้องการ แต่สักวันพอถึงจุดๆหนึ่งมันก็ต้องปะทุออกมาจนได้ และผมมั่นใจเหลือเกินว่าการกระทำที่นึกคิดไว้คือวิธีการเดียวที่จะสามารถบำบัดผม กระนั้นก็ไม่สามารถตอบได้ว่าผมจะหายจากโรคที่เป็นอยู่หรือไม่

"เป็นการตัดสินใจที่ผิดนะครับที่เลิกไปหาหมอ" ภีมาภัทร์นิ่วหน้า

ผมไม่โกรธที่เขาตำหนิ

"หมออาจคิดงั้น แต่ฉันไม่ เพราะสุดท้ายคนที่จะแก้ปมในใจได้ก็คือฉัน แต่ถ้าแก้ไม่ได้ ก็ต้องหาทางทำสิ่งที่อาจใกล้เคียงกับการช่วยให้ตัวฉันรู้สึกดีขึ้น เหมือนอย่างที่ฉันตัดสินใจหาหนทางให้ตัวเอง" ผมยกมือเสยเรือนผมสีน้ำตาลทองสองสามครั้ง

"เป็นหนทางที่ผิด"

"มันผิด มันโหดร้ายในความคิดของคนอื่น แต่มันเป็นการช่วยฉันได้เยอะ และทำไมฉันต้องสนใจด้วยว่าใครจะเป็นยังไง"

เขาทอดถอนใจยาว

"คุณนึกถึงสิ่งที่อยากทำบ่อยๆเหรอครับ คุณมอนด์เตรเดส" เป็นการเปลี่ยนเรื่องก่อนจะกลายเป็นการโต้เถียงที่จะสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้แก่เราทั้งคู่และจะไม่เป็นผลดีต่อเขา ถ้าผมหงุดหงิดเสียจนเลิกให้ความร่วมมือเพื่อการศึกษาทางการแพทย์ แต่จะว่าไปก็ยังมีอีกหลายกรณีศึกษาให้เขาเลือก ผมเป็นหนึ่งในหลายๆตัวเลือกของเขา ทว่าเขาสนใจผมมาก น่ายินดีหรือเปล่า ผมก็ไม่อาจรู้ รู้แต่เขาเจาะจงตัวผมและจะไม่ยอมปล่อยให้ผมหลุดรอดจากการศึกษาของเขาเป็นอันขาด

"บ่อยเชียวละ มันวนเวียนอยู่ในหัวของฉัน หมอเรียกว่าอะไรนะ หมกมุ่นใช่ไหม"

เขาพยักหน้าแทนคำตอบ

"ทีแรกฉันก็คิดว่า แค่คิด มันอาจช่วยได้บ้าง ก็จริงที่มันเป็นอย่างนั้น แต่ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่ทั้งหมด"

"คุณคิดได้ยังไงครับ ว่าคุณจะทำยังไง หรืออะไรที่ทำให้คุณคิดแบบนั้น"

"ปมในใจไงหมอ มันมาจากปมที่ไม่สามารถแก้ได้ เพราะมันเป็นอดีตที่ฝังใจ คุณย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ ก็เลยต้องเกิดผลขึ้นในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้เหมือนกัน อ้อ อาชีพของฉันก็เอื้อให้คิดนะ"

"ฟังๆก็เหมือนเป็นเหตุเป็นผลที่รับกัน" เขาพูดเหมือนจะแย้งอยู่ในที

"มันเป็นเหตุผลที่รับกัน และทนายของฉันก็อ้างถึงมันได้ แต่ฝั่งตรงข้ามคงไม่ชอบใจนัก" ผมยักไหล่

"ผมพอจะทราบครับ ว่าแต่ปมของคุณ…" จิตแพทย์หนุ่มจงใจเอ่ยประโยคปลายเปิดให้ผมพูดต่อ

"ไม่ ฉันยังไม่อยากพูดถึงมัน" ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างนึกสนุก แต่การแสดงออกตรงข้ามกับสิ่งที่เรียกว่าเป็นความรู้สึกที่อยู่ข้างในและความรู้สึกที่ว่าก็เนื่องด้วยปมปัญหาทางจิตของผม ผมไม่พร้อมจะทบทวนความทรงจำนี้ ไม่พร้อมที่จะมีปฏิกิริยาที่ไม่ควรจะมี ทว่าไม่เคยลบเลือน…

สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความยุ่งยากแกมลำบากใจ

"คุณมอนด์เตรเดส คุณอยากพูดถึงอะไรล่ะครับ"

"ฉันรู้ว่าเราต้องใช้เวลาที่จะให้หมอศึกษา และถึงเราจะมีเวลาที่จำกัด แต่หมอ ฉันรู้จากผู้อำนวยการโรงพยาบาล แอบได้ยินน่ะว่าหมอไม่ได้จำกัดระยะเวลาในการศึกษาฉัน ด้วยทุนส่วนตัว หมอจะอยู่ที่อเมริกานานเท่าไหร่ก็ได้จนกว่าการศึกษาจะเป็นที่พอใจ"

เขามีท่าทีอ่อนใจ

"ฉันอยากให้หมอพูดเรื่องประเทศของหมอมากกว่า ฉันอยากเป็นคนฟังบ้าง"

"เฮ่อ ครับ ผมจะเล่าให้ฟัง"

ผมก็ปั้นหน้าชื่นบานที่เขายอมตามใจ

การเปิดใจพูดเรื่องปมในใจควรจะเกิดขึ้นในการพบกันครั้งที่สอง ผมก็ยังอดตีรวนเขาไม่ได้อยู่ดี

"ถึงไหนกันแล้ว"

ภีมาภัทร์ค่อยผ่อนลมหายใจด้วยต้องการควบคุมจิตใจให้เยือกเย็นและมีความอดทนพอต่อกรณีศึกษาอย่างผม

"คุณกำลังจะพูดถึงปมในใจครับ"

"เหรอ" ผมตีหน้าซื่อตาใส

"ครับ" คำตอบหนักแน่น

แต่ผมไม่ยอมปริปากแม้สักคำทำให้จิตแพทย์หนุ่มเริ่มรู้สึกเหนื่อยกับการรับมือ

"คุณมอนด์เตรเดสครับ" สุ้มเสียงเกือบเป็นการร้องขอ

"ขอฉันทำใจก่อนได้ไหมล่ะ"

เขาถึงกับจ้องหน้าผมแน่วนิ่ง ก็คงเพราะสิ่งที่เกือบเป็นความเศร้าสลดกระมังถึงทำให้เสียงของผมแผ่วเบาและเป็นการเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกบางด้านให้เขาได้รับรู้

"ถ้าคุณพร้อมเมื่อไหร่ ค่อยบอกผมละกัน" เขาบอกลาและยอมจากไปอย่างง่ายดาย

การบังคับฆาตกรต่อเนื่องไม่ใช่ความคิดที่ดี นอกเสียจากบางกรณีที่ทำเช่นนั้นแล้วจะเป็นผล สำหรับผม ผมไม่กลัวการลงโทษของทางโรงพยาบาล ผมจะทำสิ่งใดก็ด้วยความยินยอมพร้อมใจเท่านั้น และผมก็ใช้เวลาทำใจร่วมเดือนกว่าจะยอมให้ภีมาภัทร์พบตามกำหนดเหมือนเคย ผมคิดแล้วว่ามีสักวันที่ต้องพูดออกมา จะช้าหรือเร็วก็ต้องพูด และผมจำเป็นต้องบอกทนายความทางฝ่ายผมเช่นกัน จะเพื่อใครถ้าไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวผมเอง

ปมในใจเกิดจากหลายสาเหตุ กรณีของผมเกิดจากการถูกรบกวนทางจิตใจ สุขภาพจิตค่อยๆเสื่อม มันถูกกัดกร่อนทีละนิดกระทั่งแทบไม่เหลือสภาพ ประกอบกับเหตุสะเทือนใจที่ฝังใจอันเป็นที่มาของวิธีการบำบัดตัวเอง

"ฉันเติบโตในบ้านเด็กกำพร้าแห่งนึง คนที่รับฉันไว้บอกว่าพ่อแม่ไม่ต้องการฉัน พวกเขาไม่มีปัญญาแม้แต่จะเอาตัวให้รอด จะเลี้ยงดูฉันก็คงไม่ไหว ก็พวกเขาเป็นแค่ผู้หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากเป็นธรรมดา แถมไม่มีญาติในประเทศที่กว้างใหญ่สักคน พวกเขาหวังมาขุดทอง แต่อะไรๆมันไม่ได้ราบรื่นเหมือนที่คิดฝัน พวกเขาเลยเจอขุมนรกของพวกพ่อค้ายาแทนและถูกบังคับให้เข้าร่วม พ่อแม่ฉันทั้งติดยาทั้งขายยาครบสูตร แต่เงินจากการขายยาก็ถูกพวกพ่อค้ายารีดไปจนหมด พวกมันไม่ยอมแบ่งให้พ่อกับแม่ พวกเขาเป็นแค่ทาส และก็ติดยาอย่างหนัก เลยไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องมีลูกเป็นภาระ"

สีหน้าของภีมาภัทร์เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาช่างเป็นคนที่มีจิตใจดีอะไรอย่างนี้ ถึงผมจะอยากซาบซึ้งและขอบคุณกับความรู้สึกของเขา แต่ก็เป็นไปได้ยากเพราะอันที่จริงท่าทีที่เขาแสดงออกกลับกลายเป็นการก่อกวนอารมณ์ของผมให้ขุ่นมัว ความเวทนาของเขาทำให้ผมเหมือนกลายเป็นคนอ่อนแอ ผู้ป่วยทางจิตที่น่าสงสาร ที่ผันตัวเองเป็นฆาตกรใจเหี้ยม ผมควรเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกของคนเป็นแพทย์ที่มีผลให้ผมมองตัวเองในแง่มุมกลับ

แต่ผมก็สามารถเบี่ยงเบนความสนใจให้หวนระลึกถึงวัยเยาว์ …กับเหตุการณ์และสถานที่ที่มีความทรงจำที่กระทบกระเทือนจิตใจของผมอย่างเหลือร้าย ที่สำคัญเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดฆาตกรต่อเนื่องฉายานาม 'เพชฌฆาตนักแขวนคอ'

ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า ผมอยู่อย่างกัดฟันทนทุกอย่าง เริ่มต้นจากเด็กชายตัวเล็กที่เงียบขรึม ไร้เรี่ยวแรงในการต่อสู้หรือป้องกันตัวจากกลุ่มเด็กที่ตัวโตกว่า ผมและเด็กตัวเล็กหลายคนต้องเป็นเครื่องเล่นสนองความก้าวร้าวรุนแรงของพวกเด็กตัวโตอย่างไม่อาจหลีกหนี ผู้ดูแลก็ไม่ห้ามปรามเหมือนกับว่าแสร้งทำไม่รู้ไม่เห็น แต่พวกเขาเข้มงวดกับเรามากและมีการลงโทษที่รุนแรงพอสมควร เรื่องพวกนี้บางทีก็เป็นที่รู้กันเฉพาะคนใน จะไม่มีการแพร่งพรายสู่สังคมภายนอกเพราะเจ้าของที่แท้จริงเป็นผู้มีอิทธิพล เขาต้องการรักษาชื่อเสียงและหน้าตา ฉะนั้นคนในจะต้องรู้ว่าควรทำเช่นไรเพื่อปกปิดเรื่องเลวร้ายให้อยู่แต่ในสถานที่อันจำกัด

การพบกันครั้งที่สี่ผมพูดถึงการอดทนต่อการเป็นเครื่องสนองความรุนแรงของเด็กๆด้วยกันและผู้ดูแล ผมยอมเปิดปากเรื่องเพื่อนเพียงคนเดียวของผม เขาเป็นเด็กชายผิวดำหน้าตาน่ารัก ชื่อโอมาร์ แฟ็มเตียร์ เราสนิทกันมากถึงแม้นิสัยใจคอของเราจะแตกต่างกันบ้างก็ตาม แล้วภีมาภัทร์ก็ถูกเวลาอันจำกัดขัดขวางให้การสนทนาของเราต้องจบลงตรงจุดนี้จนกว่าจะพบกันครั้งหน้า

การพบกันครั้งต่อมาจิตแพทย์หนุ่มปรากฏตัวตามเวลาเดิม เขาค่อนข้างเป็นคนตรงต่อเวลาและแทบจะปราศจากความกลัวผมหลังจากผ่านการพูดคุยเพียงไม่กี่ครั้ง น่าชื่มชมที่เขาช่างปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว

"เราพูดกันถึงไหน ฉันจำไม่ได้หรอก" ผมโกหกหน้าตาย

"คุณพูดถึงเพื่อนคนนึงครับคุณมอนด์เตรเดส เป็นเพื่อนสนิทที่รักกันมาก และคุณพูดเอาไว้นิดหน่อย" เขาช่วยทบทวน

"งั้นเหรอ" ผมทำท่าเหมือนไม่อยากเอ่ยถึงเพื่อนคนนี้ เพราะเรื่องราวและเหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมอยากเปลี่ยนประเด็นการสนทนา

ผมเมินมองผ่านความว่างเปล่าและแลเลยยังความมืดมนที่ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ

"คุณเคยเลี่ยงมาหนนึง แต่คุณก็ผ่านมันมาได้ ครั้งนี้ก็น่าจะเหมือนกัน" ถ้อยคำคล้ายให้กำลังใจ

"คนเราต้องมีสะดุดกันบ้างสิหมอ ฉันก็ต้องสะดุดเหมือนคนอื่นๆ" ผมพูดจายอกย้อนกึ่งเลื่อนลอย

"ผมเชื่อว่าคุณจะผ่านมันได้ครับ"

"คงอย่างงั้น"

ภีมาภัทร์จึงยอมเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเสียเองและรอเวลาที่ผมพร้อมจะก้าวเดินต่อ

"เขาเป็นเด็กดี" เป็นคราวที่ผมวกกลับเข้าประเด็นอย่างฉับพลัน

"โอมาร์เหรอครับ" จิตแพทย์หนุ่มคล้อยตาม

"เด็กดีที่ขี้อาย เขาเชื่อฟังผู้มีอำนาจและแข็งแรงกว่า แต่เขามีน้ำใจต่อคนอ่อนแอเหมือนๆกัน หลายคนรักเขา ยังไงซะเราสองคนก็ต่างกันตรงที่เขาเข้าได้กับทุกคน แต่ฉันไม่ค่อยอยากจะยอมไว้วางใจใครนอกจากโอมาร์ ถึงฉันจะห้าวหาญกว่าและคอยพูดปลุกเร้าเขาอยู่เสมอๆ แต่ฉันคิดว่าลึกๆแล้วโอมาร์ต้องมีความกล้าในแบบฉบับของเขา" ผมหยุดพูดเอาดื้อๆ

"เป็นเด็กที่น่ารักมากครับ"

"เขาน่ารักมาก น่ารักเกินไปด้วยซ้ำ" คำพูดห้วนจัด

"มีอะไรผิดปรกติเหรอครับคุณมอนด์เตรเดส" สีหน้าและแววตาของคนฟังฉายความสนเท่ห์กึ่งกังขา

"นี่ หมอ ตีความไม่ออกจริงๆหรือแกล้งโง่เนี่ย"

"ผมไม่ค่อยแน่ใจ"

"ช่างมันเถอะ" ผมโบกมืออย่างรำคาญก่อนเล่าต่อ แต่เกือบจะเป็นความกล้ำกลืนติดขมขื่นที่จิตแพทย์หนุ่มน่าจะมองออกและเขาก็ไม่ซักถามเหมือนรอให้ผมเป็นฝ่ายเปิดปากพูด

ผมยอมบอกเรื่องความเป็นเพื่อนระหว่างผมกับโอมาร์แทบทุกเรื่อง จะยกเว้นก็แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจผม และผมคิดว่าผมเกิดสะดุดขึ้นมา ไม่สามารถไปต่อได้ทำให้ภีมาภัทร์ต้องเสียเวลากับการเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง

การพบกันครั้งที่หกผมต้องบังคับตัวเองให้ยอมปริปากถึงรายละเอียดที่ลงลึกในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปมในใจของผม โอมาร์เป็นจุดที่ผมสะดุดบ่อยครั้ง แต่จำต้องผ่านมันไปให้ได้เหมือนอย่างที่จิตแพทย์หนุ่มเคยบอกไว้ เขาเป็นความทรงจำเดียวที่อยู่ในหัวของผม เป็นความทรงจำที่มีชีวิตเสมอและก่อให้เกิดการบ่มเพาะความดำมืดในตัวผมเรื่อยมา

โอมาร์มีเสียงที่ไพเราะ แค่เขาพูดก็น่าฟังพออยู่แล้ว ยิ่งตอนที่ร้องเพลงก็ยิ่งชวนให้เคลิบเคลิ้ม คนที่ได้ยินเป็นต้องหยุดฟังอย่างตั้งใจ ไม่มีใครที่จะสามารถเมินต่อเสียงที่ดึงดูดของเขา มันอาจจะแหลมสูงเหมือนโทนเสียงของผู้หญิง แต่ก็กังวานและทรงพลังด้วยเช่นกัน ตัวผมในวัยนั้นคิดเพียงว่าคล้ายกับเสียงของนักร้องโอเปร่า ผมมั่นใจว่ามันเป็นพรสวรรค์ที่จะนำมาซึ่งอนาคตที่สดใสและรุ่งโรจน์แก่โอมาร์ ทั้งยังเป็นความใฝ่ฝันของเขา

'ถ้านายเป็นนักร้อง นายต้องโด่งดังแน่' ผมออกปากจากใจจริงขณะที่เรากำลังพูดถึงความใฝ่ฝัน โดยที่ผมไม่มีความมุ่งมั่นหรือปรารถนาจะประกอบอาชีพใดเพราะมองไม่เห็นเรื่องที่ดีในวันข้างหน้าและไม่อยากจะคิดด้วยซ้ำ

'ฉันอยากเป็นนะ' เขาพูดตรงๆ

'แต่โอกาสเนี่ย ฉันไม่ค่อยแน่ใจ' เอ่ยต่อ

'เอาน่าโอมาร์ ฉันเชื่อมั่นในน้ำเสียงและความสามารถของนาย' ผมยิ้มอย่างให้กำลังใจ

โอมาร์ยิ้มตอบและให้คำมั่นสัญญากับผมว่าเขาจะไม่ทำให้ผมต้องผิดหวัง หากเพียงแต่เขาจะยังมีชีวิตอยู่ในวัยเดียวกับผม เติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยกัน ผมคงไม่ต้องเป็นฆาตกรที่ประชาชนทั้งประเทศพากันหวาดกลัวและพร้อมใจประณามสาปแช่งให้รับโทษประหารชีวิตในเร็ววัน โอมาร์ก็จะได้เป็นนักร้องผู้มีชื่อเสียงสมใจ แต่ผมไม่เคยกล่าวโทษความตายของเขาว่าเป็นเหตุแห่งความชั่วร้ายของผม ผมอาจมีความชั่วร้ายในตัวอยู่ก่อนแล้วและความตายของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวก็เป็นเพียงองค์ประกอบที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของผม ช่างน่าแปลกใจที่ผมเจ็บหน้าอกเพราะไม่เคยมีความคิดเสียใจกับการกระทำที่โหดเหี้ยม ไม่เคยไยดีว่าเหยื่อจะทนทุกข์ หรือรู้สึกอย่างไร แต่ความปวดร้าวของความรู้สึกที่บังเกิดกลับทำให้ผมแทบกลั้นน้ำตาไม่ได้…ทุกครั้งที่นึกถึงโอมาร์

พอผมเงียบเสียง ภีมาภัทร์ก็ถาม

"เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอครับคุณมอนด์เตรเดส"

ผมเบนสายตามองทางอื่นด้วยไม่อยากให้คนเป็นแพทย์เห็นความอ่อนไหวอย่างผิดวิสัยฆาตกรจิตป่วย

"เขาตายในบ้านเด็กกำพร้าที่เราอยู่ร่วมกันมาหลายปี" เสียงของผมสั่นอย่างยากจะบังคับให้ราบเรียบ

จิตแพทย์หนุ่มเพียงนั่งฟังโดยไม่พูดจาสอดแทรกหรือเอ่ยถามอีก

"เขาอายุแค่สิบเอ็ดปี แต่เรื่องบัดซบนั่นเกิดกับเขามาตลอดโดยที่เขาไม่เคยบอกฉัน และยังเป็นเหตุให้เขาต้องฆ่าตัวตาย" จากสุ้มเสียงแปร่งกลายเป็นห้วนด้วยความโกรธแค้นที่ยังคงอัดแน่นและไม่เคยเลือนหาย

"ผมเสียใจจริงๆครับ" เขากล้าเปิดปาก

ผมหันหน้ากลับไปมองเขาก็เห็นความรู้สึกอย่างคำพูดฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่คมกริบที่บ่งบอกความจริงใจ

"เรื่องบัดซบในอดีตที่ฉันทำอะไรไม่ได้ ช่วยโอมาร์ไม่ได้ หมอยังอุตส่าห์แสดงความรู้สึกร่วม… ขอบใจ"

เขายิ้มอ่อนด้วยความต้องการปลอบประโลมผม

"เด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้งและรับรู้ความจริงข้อนี้ย่อมต้องมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ยิ่งอยู่ในสถานที่และสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยซ้ำเติมก็ยิ่งแย่หนัก ไหนจะการทำร้ายกันเองด้วยความก้าวร้าวของเด็กๆด้วยกัน แล้วยังจะเรื่องโอมาร์อีก หมอเห็นหรือเปล่าว่าเด็กคนนั้นจะเติบโตเป็นคนแบบไหน"

"ผมพอจะเห็นภาพครับคุณมอนด์เตรเดส"

ผมไม่ปริปากราวหลายนาที แต่ในที่สุดก็ยอมบอกเล่าถึงเหตุการณ์สะเทือนใจที่เป็นที่มาของปมในใจผม ปมของ 'เพชฌฆาตนักแขวนคอ' ปมที่ผมไม่อาจรู้ได้ว่าสังคมและญาติของเหยื่อจะยอมเข้าใจหรือไม่

มันเป็นวันที่ลุ่มๆดอนๆเหมือนวันก่อนๆที่ผมกับโอมาร์ใช้ชีวิตในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า อย่างไรเสียทุกวันที่มีชีวิตอยู่ เราก็ไม่อาจหลบเลี่ยงพวกเด็กตัวโตหรือแม้แต่ผู้ดูแลบางคน วันนั้นเราผ่านการถูกกลั่นแกล้งอย่างหนักและก็เหมือนเคยที่พวกเขาจะปล่อยเราต่อเมื่อพอใจแล้ว ผมคิดว่าพวกเขามีพฤติกรรมต่อต้านสังคมที่จะทำให้กลายเป็นอาชญากรในอนาคต มีแนวโน้มที่จะรวมกันเป็นกลุ่มอาชญากรเหมือนกับที่นักสงคมสงเคราะห์บางคนที่แวะมาประเมินพวกเราเป็นบางครั้งเคยพูดเอาไว้ เขาอยากให้มีการบำบัดอยู่เหมือนกัน แต่ผู้ดูแลปฏิเสธมาตลอดว่ามันจะไม่เกิดเรื่องที่ควรต้องเป็นกังวลและผู้เป็นเจ้าของสถานที่ผู้ทรงอิทธิพลก็ไม่ต้องการเช่นนั้นทำให้ไม่มีใครกล้าดำเนินการใดๆ

ผมกับโอมาร์ผ่านวันทั้งวันคล้ายกับอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ และมันเป็นสมรภูมิแห่งชีวิตที่โชกโชนเหลือเกิน เราอ่อนเพลีย เราต้องการพักผ่อนให้สนิท และพร้อมจะเป็นเหยื่อในวันรุ่งขึ้น เป็นวงจรอุบาทว์ของชีวิต แต่ค่ำคืนนั้น ริค โอเนอร์ เด็กชายที่นอนเตียงถัดไปตื่นเข้าห้องน้ำแล้วกระหืดกระหอบมาปลุกผมด้วยสีหน้าหวาดหวั่นระคนขวัญหนีดีฝ่อ ท่าทางของเขาทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดีด้วยความวิตก พอเขาเอ่ยชื่อโอมาร์ ผมก็กระชากคอเสื้อของเขาพร้อมกับพ่นคำถาม

"โอมาร์ทำไม เขาเป็นอะไร"

ริคชี้ได้แต่ตัวสั่น

"เขาอยู่ไหน" ผมตวาด

นิ้วมือระริกของริคชี้อย่างไร้จุดหมาย แต่สัญชาตญาณบอกผมว่าต้องมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นที่ไหนสักแห่งทำให้ผมผุดลุกและวิ่งออกจากห้องนอนรวม ผมตามหาโอมาร์ทุกที่ทุกห้อง ทว่าไม่พบร่องรอยของเขา ผมร้อนใจจนเกือบมองข้ามโกดังเก็บของขนาดเล็กที่อยู่ด้านหลังตึกใหญ่แห่งนี้ ผมก็มุ่งไปยังที่นั่น วิ่งอย่างสุดชีวิตเพื่อหวังว่าจะทันเวลา ใจก็เกิดคำถาม ผมไม่รู้ว่าเขาหายตัวกลางดึกบ่อยไหม ผมมันพวกขี้เซาเลยไม่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหว หรือเสียงที่เกิดจากการกระทำของโอมาร์ ทั้งที่เขาอยู่เตียงข้างๆผมแท้ๆ

แสงไฟจากโกดังไม่สว่างนัก แต่ก็ทำให้รู้ว่าโอมาร์ต้องอยู่ข้างในและผมคิดถูก สถานการณ์หรืออาจเพราะความห่วงใยในตัวเขาผลักดันให้ผมทำเรื่องที่ผลุนผลัน ผมไม่คิดอะไรนอกจากช่วยโอมาร์และการบุ่มบ่ามเข้าไปก็เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์

เหตุการณ์ที่เผชิญทำให้ผมตื่นตระหนกสุดขีด ผมเห็นโอมาร์เปลือยเปล่า เขาถูกจับให้อยู่ในท่าคว่ำหน้า ตอนที่เขาหันมามอง ผมก็เห็นก้อนผ้าอยู่ในปากของเขา ดวงตาที่มีน้ำตาไหลพรากเบิกกว้างด้วยความสะดุ้งตกใจอย่างไม่คาดฝัน แววตาของเขาแฝงด้วยความสิ้นหวังและผมเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร เขารู้สึกเช่นไร หนึ่งในผู้ดูแลกำลังล่วงเกินทางเพศโอมาร์ด้วยวัตถุยาวปลายมนที่สอดใส่ทางทวารหนัก ผู้ชายร่างท้วมขยับมือไม่ยั้งและอย่างแรงแม้จะรับรู้ว่ามีผมยืนตะลึงงันอยู่ที่นั่นอีกคน ส่วนกลุ่มเด็กตัวโตหกคนยืนคุมเชิงในลักษณะรายล้อม พวกเขาไม่สวมกางเกง ใบหน้าบ่งบอกถึงความสนุกสนานและสมใจ ผมยอมรับว่ากลัว แต่ครึ่งใจต้องการช่วยเพื่อน ด้วยความบ้าระห่ำทำให้มองหาอาวุธ ไม้ท่อนหนึ่งอยู่ใกล้มือแล้วก็ปล่อยให้ความเกรี้ยวกราดเข้าครอบงำ ผมแทบไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบ้าง ผมตัวคนเดียว…

แล้วพวกเขาก็จับตัวผม เด็กตัวโตสองคนยึดแขนของผมคนละข้างและบังคับให้ผมมองดูการทารุณกรรมทางเพศเพื่อนสนิท ดวงตาที่สิ้นหวังอยู่แล้วของโอมาร์แปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าและแห้งผากเหมือนคนตาย เขาไม่ดิ้นรน ไม่ร้องไห้ ไม่ส่งเสียงอีกต่อไป ผมได้แต่ยืนดูโดยไม่อาจมอบความช่วยเหลือ ผมร้องไห้ด้วยความปวดใจเหลือจะเอ่ย พยายามดิ้นให้หลุดจากการถูกกุมตัว มันไม่เป็นผลก็ส่งให้ผมต้องกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เลยได้หมัดลุ่นๆของหนึ่งในผู้คุมตัวชกเข้าที่ท้องจนจุก ไม่รู้ว่านานเท่าไรกว่าเหตุการณ์จะจบลง ผม…ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นตอนที่ถูกปล่อยตัวและถูกขู่ให้ปิดปากให้สนิท ผมมองโอมาร์ที่เหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิตจิตใจ เขานอนคว่ำหน้าอยู่ที่เดิมและไม่ขยับตัว น้ำลายไหลยืด ที่ทวารหนักมีเลือดออก ผมร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตา แต่ใจยังคงรวดร้าว

หลังจากเหตุการณ์ที่เหมือนฝันร้าย โอมาร์ก็หลบหน้าผม เขาไม่ยอมให้ผมเจอตัวอยู่นานหลายวัน ผมคิดว่าเขาคงจะโกรธที่ผมไม่มีปัญญาช่วยเขา เพื่อนที่ช่วยเพื่อนไม่ได้แม้แต่น้อย ผมรู้สึกผิดต่อโอมาร์ มันเป็นความทุกข์ใจที่ยิ่งยวด ผมอยากพูดกับเขา ขอโทษที่ไม่เอาไหน การที่ไม่ได้พูดจากันทำให้ผมเฝ้าแต่ตำหนิและกล่าวโทษตัวเองอยู่ทุกวี่วัน

กระทั่งมีเด็กอายุน้อยกว่าที่อยู่ร่วมสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า เขาเอาจดหมายมาให้ผม เขาบอกว่าพี่โอมาร์ฝากให้ส่งกับมือ และมันเป็นวันเดียวกับที่มีคนพบศพของโอมาร์ภายในโกดังสถานที่เกิดเหตุ ผมเห็นกับตาว่าสภาพศพของเขาเป็นอย่างไร หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุใดเขาต้องแขวนคอตาย แต่ไม่มีใครรู้ความจริงนอกจากผู้อยู่ร่วมเหตุการณ์ยามค่ำคืน

ผมสนิทกับโอมาร์ที่สุด แต่ไม่อาจหลั่งน้ำตาเพื่อเขา ทุกอย่างดูเหมือนจะเหือดแห้ง และไม่มีใครหยั่งถึงความรู้สึกนึกคิดของผม ผมเสียใจกว่าใครๆ เจ็บปวดกว่าทุกคน แต่ก็นั่งอ่านลายมือของโอมาร์เพียงลำพังด้วยใจที่เจ็บแค้นระคนสำนึกผิดและคละเคล้าด้วยหลายความรู้สึกที่ประดังเข้ามาในคราวเดียว

'ถึงเชฟเพื่อนรัก

รู้ไหม ฉันไม่โกรธที่นายช่วยฉันไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยถึงนายอยากช่วยแค่ไหนก็ตาม อันที่จริงฉันตกเป็นเหยื่อมานานแล้ว แต่ไม่กล้าบอกนาย ฉันอับอายและไม่อยากให้นายต้องพลอยเดือดร้อน ให้ฉันเจ็บคนเดียวยังดีกว่าลากนายให้มารับชะตากรรมเหมือนฉัน ฉันต้องแอบออกไปหาพวกเขาตอนนายหลับ ถ้าฉันไม่ยอม พวกเขาก็จะเล่นงานนายด้วยและฉันต้องปกป้องนาย

เชฟ ฉันดีใจที่ได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับนาย นายทำให้โลกที่หม่นหมองของฉันมีความหวัง นายนำชีวิตชีวามาให้ฉัน นายเป็นเพื่อนที่ฉันรักมาก การที่ฉันต้องฆ่าตัวตาย ฉันไม่อยากให้นายโทษตัวเอง ที่ฉันทำก็เพราะอยากหลุดพ้นจากเงื้อมมือน่าสะอิดสะเอียนของพวกเขา นี่ต่างหากคือเหตุผลที่แท้จริง ฉันอยากให้นายแน่ใจได้ว่าฉันจะมีความสุขกับการหลุดพ้น ฉะนั้นนายไม่ควรเสียใจกับการตายของฉัน

ขอโทษที่ฉันทำให้นายต้องผิดหวัง สำหรับความฝันของฉัน สิ่งที่นายอยากเห็น แต่ไม่มีโอกาสนั้น เพราะฉันเป็นคนทำลายมันเอง ขอโทษจริงๆเชฟ

ความรู้สึกที่ฉันมีให้นาย มันมากมายเกินกว่าจะเขียนออกมา …ฉันจะรักนายตลอดไป แต่ขอจงลืมคนสกปรกอย่างฉันเสียเถอะ

ลาก่อนเพื่อนรัก ลาก่อนชั่วนิรันดร์

รัก

โอมาร์'

น้ำตาที่ไม่คิดว่าจะหลั่งรินก็เอ่อท้นและไหลอาบแก้ม เขาปกป้องผม แต่ผมไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อเขา เขาเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม ไอ้บ้าเชฟ ไอ้คนไร้สามารถเอ๊ย แกทำอะไรไม่ได้เลย ทำเพื่อโอมาร์ไม่ได้สักอย่าง ถ้าคืนนั้นแกไม่วิ่งโร่ไปหาเขา เขาก็คงไม่รู้สึกอับอายแก ไอ้บ้าเชฟ เขาละอายที่แกรู้ความลับ ความลับที่เขาต้องการปกป้องแก และเขาก็ไม่ต้องฆ่าตัวตายถ้าเพียงแต่แกจะไม่ล่วงรู้

โอมาร์ไม่ต้องการให้ผมกล่าวโทษตัวเอง ผมทำไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่ผมตระหนัก และผมจำข้อความในจดหมายได้ทุกตัวอักษร จำได้อย่างขึ้นใจ…

"ฉันคงเริ่มป่วยทางจิตเพราะเหตุนั้น ส่วนคดีของโอมาร์ปิดลงอย่างง่ายดายด้วยอิทธิพลมืด" ผมเอ่ย

"ตำรวจสรุปการตายของโอมาร์ว่ายังไงครับคุณมอนด์เตรเดส"

"เด็กชายขี้อายผู้ซึมเศร้า อาการซึมเศร้าเป็นเหตุให้เขาต้องฆ่าตัวตาย ง่ายๆแค่นั้น เป็นอันปิดคดี"

"คุณคงแค้นใจ"

"ใช่ แค้นจัดเชียวละ"

"คุณทำยังไงครับ"

ผมยิ้มน้อยๆ

"ฉันเก็บความแค้นติดตัวแล้วหนีออกจากที่นั่นและหาทางเข้าไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าที่ดีกว่า ด้วยอุบายเล็กๆน่ะหมอ"

"นานไหมครับกว่าคุณจะแก้แค้น"

"ไม่มีคำว่าสายสำหรับการแก้แค้นหรอกหมอ" ผมตอบเสียอีกอย่าง

"มันเป็นผลจากปมปัญหาเหรอครับ"

"เป็นการสนองเพื่อบำบัดตัวฉันด้วย"

ผมบอกภีมาภัทร์เกี่ยวกับการบำบัดความทรมานจากอาการป่วยทางจิตในครั้งต่อมาและจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน ผมกล้าพูดอย่างไร้จิตสำนึกว่าการฆ่าทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ความทรมานจะลดน้อยลงเฉพาะคราวที่ผมลงมือและช่วยให้สามารถสงบจิตสงบใจได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง วันธรรมดาผมจะใช้ชีวิตเป็นนักอาชญาวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านหลักฐานในทางคดี ผมมีเพื่อน มีชีวิตเหมือนคนอื่นๆในสังคม แต่ผมไม่พยายามจะมอบความเป็นเพื่อนให้ใครเกินกว่าขอบเขตหนึ่ง ขอบเขตนั้นผมอยากสงวนให้เป็นของโอมาร์เพียงคนเดียว ผมจึงคบได้พูดคุยได้กับทุกคน หากไม่มีความลึกซึ้งมากมายนัก จะมียกเว้นก็แต่คนบางคนที่ผมดูออกว่าจะเชื่อมั่นได้หรือไม่ เพียงใด ทว่าอาชีพเสริมอย่างการเป็นฆาตกรต่อเนื่องย่อมเป็นเรื่องที่สมควรปิดบัง

ผมไม่คิดว่าการเป็นนักอาชญาวิทยาจะช่วยให้หลุดรอดจากมือกฎหมาย ผมคิดถูกจากการโดนจับกุม เรื่องคดีจะเป็นอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ใจจริงผมอยากหลุดจากคดีเพราะการบำบัดของจิตแพทย์ในโรงพยาบาลไม่ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น อาการเดิมๆยังคงอยู่ในตัวผม ผมอยากออกไปล่ามากกว่าถูกจองจำ

"คุณมีวิธีล่ายังไงครับ" คนเป็นแพทย์ถามตรงๆและการฟังจากปากของฆาตกรจะได้รายละเอียดกว่าการอ่านจากแฟ้มคดี

"ฉันจะล่าตอนที่ฉันรู้สึกแย่มากๆ แย่จนทนไม่ไหว นั่นล่ะถึงจะมองหาเหยื่อ"

"คุณเลือกเหยื่อยังไงครับ"

"จากความง่าย โอกาสที่มองเห็น ช่องทางที่สะดวก ฉันไม่เลือกว่าคนเดียวหรือกี่คน ขอแค่ทำได้เป็นพอ"

คนฟังนิ่วหน้า

"บางทีฉันก็จัดการเหยื่อคนเดียว บางทีอาจสองหรือสามคน ถ้าฉันมีความสามารถในการควบคุมตัวได้น่ะนะ"

"คุณมีสถานที่หรือเปล่า"

"สถานที่ อ้า ใช่ ฉันมองหาโกดังร้าง เป็นเจ้าของมันด้วยชื่อปลอม หลักฐานปลอม และถือกุญแจผู้เดียว"

"เหยื่อรายแรกๆของคุณคือคนที่มีส่วนทำร้ายโอมาร์ใช่ไหมครับคุณมอนด์เตรเดส"

"แน่นอน พวกเขาอยู่ในอันดับต้นๆ ในรายชื่อบุคคลควรตาย"

"พอจัดการครบทุกคนล่ะครับ"

"ฉันก็มองหาเหยื่อรายอื่นเพราะมันเป็นการบำบัดขนานวิเศษที่จำเป็นต้องทำ"

"คุณทำยังไงกับเหยื่อ"

ผมก็เปิดรอยยิ้มอย่างเคลิ้มฝัน

"ก็จับมัดมือมัดเท้าก่อนจับแขวนคอ ไม่มีอะไรยุ่งยากถ้าควบคุมเหยื่อได้"

ผมนึกเห็นภาพการลงมือสังหารอย่างเลือดเย็น เหยื่อจะดิ้นรนและพยายามสูดลมหายใจ แต่ด้วยความยากลำบากเต็มที ผมจะเฝ้ามองอยู่ตรงนั้น ทุกครั้งที่ความตายคืบคลานสู่ตัวเหยื่อ อาการของผมจะบรรเทาเบาบางไปด้วย พอเหยื่อหมดลมหายใจ ผมก็เป็นปกติ เป็นมนุษย์เท่าที่จะเป็นได้

และผมเชื่อว่าจิตแพทย์หนุ่มเคยเห็นภาพถ่ายสถานที่มาแล้ว ภายในโกดังร้างขนาดพอเหมาะแทบจะเต็มไปด้วยซากศพถูกแขวนเรียงรายราวกับเป็นการตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงามในหน้าเทศกาลซึ่งส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งชวนอาเจียนและมีแมลงวันตอมให้หึ่งด้วยฝีมือการบำบัดตัวผมที่อำมหิต วิธีการที่ผมให้ชื่อว่า 'ฆาตกรรมบำบัด'.


Create Date : 07 มิถุนายน 2549
Last Update : 7 มิถุนายน 2549 15:52:23 น. 1 comments
Counter : 706 Pageviews.

 
จบแล้วหรอ! กำลังสนุกเลยยอ่ะ มีภาคต่อรึเปล่าคะ


โดย: unexists IP: 124.121.117.35 วันที่: 25 กันยายน 2550 เวลา:21:11:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กาญจน์ฏี
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




โอม ศรี คเณศา ยะ นะ มะ ฮา โอม คะชานะนัม ภูตะคะณาธิเสวิตัม กะปิตะถะชัมพูผะละ จารุภักษะณัม อุมาสุตัม โศกะวินาศะการะกัม นะมามิ วิฆเนศวะระปาทะปังกะชัม.


ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นใน blog นี้เป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อ ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน หากต้องการนำงานเขียนชิ้นใดไปเผยแพร่ ไม่ว่าเป็นการส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์ กรุณาติดต่อขออนุญาตโดยติดต่อผ่าน ได้ที่อีเมลล์ภายในบอร์ดข้อมูลส่วนตัว มิฉะนั้นอาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

**คำบูชาองค์ไกรลาสบดี**
'โอม นะมัห ศิวายะ'









Friends' blogs
[Add กาญจน์ฏี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.