..................................................................................................................................
เพราะมีความคิดเห็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงสถานการณ์ที่ประเทศไทยด้วย แต่จริงๆ แล้ว หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในโครงการชุด Giants of Asia หรือ ยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย
ที่ทอม เพลท ตั้งใจสัมภาษณ์ผู้นำประเทศที่มีบทบาททางการเมืองอย่างสูงทั่วเอเชีย
(ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย) เพื่อศึกษาแง่มุมความคิดของผู้นำเหล่านี้ในเชิงเปรียบเทียบว่ามีความเหมือนต่างกันอย่างไร
หนังสือเล่มของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเล่มที่สามและเล่มล่าสุดในชุด โดยก่อนหน้านี้ ทอม เพลท สัมภาษณ์ ลีกวนยิว อดีตประธานาธิบดีผู้สร้างชาติสิงคโปร์
และมหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีคนสำคัญของประเทศมาเลเซียมาก่อนแล้ว
ซึ่งหนังสือในชุดทั้งสามเล่มถูกแปลเป็นภาษาไทยและจัดจำหน่ายโดยหนังสือพิมพ์มติชนเป็นที่เรียบร้อย
หนังสือทั้งสองเล่มนี้ทั้งลีกวนยิว และ มหาเธร์ มีประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจวิธีคิด นโยบาย มุมมองของประเทศเพื่อนบ้านผ่านสายตาและเรื่องเล่าของอดีตผู้นำที่มีบทบาท เอื้อประโยชน์ต่อการรวมประชาคมอาเซียนในระยะยาว แต่ก็มีปัญหาว่าเป็นที่พูดถึงกันน้อย และโดนหนังสือเล่มของ พ.ต.ท.ทักษิณ กลบรัศมีเสียหมด
SIU จึงขอหยิบหนังสือเล่มหนึ่งในชุดคือเล่มของ มหาธีร์ โมฮัมหมัด มาแนะนำแก่ผู้อ่านเว็บไซต์ในที่นี้
ทอม เพลท ตั้งแนวทางของหนังสือชุดนี้ว่าต้องการถอดรหัส ความคิด ของผู้นำที่มีบทบาทในเอเชีย โดยตั้งคำถามกับการตัดสินใจทางนโยบายของผู้นำเหล่านี้ในอดีตว่าเหตุจูงใจหรือทฤษฎีเบื้องหลัง
คืออะไรบ้าง ที่น่าสนใจคือทอม เพลท ใช้ทักษะการขุดคุ้ยข้อมูลของนักหนังสือพิมพ์มือเก๋า ดักคอ หลอกล่อ หลอกถาม อภิปราย ในประเด็นต่างๆ กับผู้นำเหล่านี้ เพื่อสกัดหา ความจริง ภายในหัวที่พวกเขาคิดอยู่แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ต่อสาธารณะ
สำหรับกรณีของมหาธีร์ ทอม เพลท เริ่มด้วยประเด็นหนักๆ คือเรื่องมุมมองของมหาธีร์ต่อ คนยิว ที่มหาธีร์มักวิจารณ์อยู่บ่อยๆ ทำให้ภาพลักษณ์ของมหาธีร์ในโลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐ (ที่คนยิวมีบทบาทเยอะมาก) ไม่ค่อยดีนัก
มหาธีร์เป็นตัวแทนของชาวมุสลิมที่ไม่ชอบยิวเป็นทุนเดิม เขาเคยตั้งข้อสังเกตว่าเหตุการณ์ 9/11 นั้นอาจเป็นแผนการสมคบคิดของคนยิวเพื่อสร้างภาพลักษณ์ด้านลบแก่มุสลิมหัวรุนแรง อย่างไรก็ตาม จากการค้นคว้าคำพูดของมหาธีร์โดยทอม เพลท และเทคนิคการสัมภาษณ์ของเขา กลับแสดงให้เห็นว่าถึงแม้มหาธีร์ไม่ชอบยิว แต่เขากลับไม่เคยพูดปลุกระดมให้ต่อต้านยิว และกลับวิจารณ์โลกอิสลามของตัวเองว่าล้าหลังเมื่อเทียบกับอิสราเอลทั้งที่มีคนมากกว่า และเสนอว่าถ้าคนมุสลิมทำตัวได้อย่างคนยิว ก็จะไม่มีวันแพ้
มหาธีร์ระบุว่าตัวเองเป็นมุสลิมที่เคร่งศาสนา และไม่ยอมรับคำวิจารณ์ว่าเขาเป็น มุสลิมสายกลาง (เขาบอกว่าตัวเองเป็น มุสลิมหัวรุนแรง) แต่ถ้าเทียบวิถีปฎิบัติและมุมมองของเขาต่อมุสลมในตะวันออกกลางแล้ว ต้องถือว่ามหาธีร์เป็นมุสลิมที่ก้าวหน้ามากในเรื่องเศรษฐกิจและการพัฒนา เขาลงทุนโครงการสำคัญๆ ของมาเลเซียอย่างตึกแฝดเปโตรนาส บริษัทรถยนต์โปรตอน และเมืองหลวงปุตราจายา เขาตอบโต้เสียงวิจารณ์รถยนต์โปรตอนที่ไม่ได้รับการยอมรับในระดับโลกว่ามีประโยชน์ต่องานด้านวิศวกรรมของคนมาเลเซียทั้งประเทศ ช่วยให้อุตสาหกรรมรถยนต์เกิดขึ้นได้ และสร้างความภูมิใจให้กับคนในชาติ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง เขาก็ยังรักษาค่านิยมด้านศาสนาอย่างเคร่งครัดในระดับหนึ่ง ไม่ก้าวหน้าเสรีจนเกินควรตามอย่างโลกตะวันตก (ซึ่งเป็นเส้นทางที่หลายๆ ประเทศในเอเชียอย่างประเทศไทยหรือสิงคโปร์เลือก) รักษาค่านิยมครอบครัวแบบเอเชียเอาไว้
(อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของมหาธีร์ เขาวิจารณ์การตีความศาสนาอิสลามของปราชญ์ในตะวันออกกลาง ที่ทำให้ศาสนาซับซ้อนและมีระเบียบแบบแผนมากเกินความจำเป็น เขาเสนอให้ยึดตามคัมภีร์อัลกุรอ่านต้นฉบับมากกว่า)
มหาธีร์ โมฮัมหมัด (ภาพประกอบจาก Wikipedia)
ในแง่การทำงาน มหาธีร์ยังนิยมการทำงานแบบควบคุมใกล้ชิด ลงไปล้วงลูก ติดตามความคืบหน้าของโครงการด้วยตัวเอง เขายังนิยมความสงบและความมั่นคงในประเทศ ซึ่งทอม เพลท ใช้คำเรียกว่า เผด็จการอำนาจนิยมระดับอ่อน ผู้ไม่ต้องการให้มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมากจนเกินไป มหาธีร์ยอมรับแต่โดยดีว่าเขาไม่ใช่แฟนคลับของระบบ หนึ่งคนหนึ่งเสียง ตามแนวทางของตะวันตก
มหาธีร์พูดถึงแนวทางการปกครองในสมัยของเขาว่านิยมให้ผู้นำขบวนการสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันมาเจรจาในที่ลับ โดยไม่นิยมให้มีการประท้วง เขาพูดถึงเหตุการณ์ที่ประเทศไทยว่ามันเริ่มต้นด้วยการประท้วงธรรมดา แต่สุดท้ายก็มีคนตายและกรุงเทพก็ถูกเผา
มหาธีร์ยังเป็นคู่กัดกับประธานาธิบดีลีกวนยิวของสิงคโปร์ เพราะมีความเห็นต่างกันหลายเรื่อง แต่ทอม เพลท ผู้เคยสัมภาษณ์ผู้นำทั้งสองก็ชี้ให้ผู้อ่านเห็นว่าทั้งสองคนมีแง่มุมและวิธีคิดที่เหมือนกันมาก โดยเฉพาะรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจและการบริหารที่ควบคุมเคร่งครัด
ในหนังสือเล่มนี้ มหาธีร์พูดถึงข้อผิดพลาดของเขาในการเลือกทายาททางการเมือง และวิจารณ์อดีตรองนายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม ว่าใกล้ชิดกับโลกตะวันตกมากเกินไปจนเป็นอันตราย เขายังแสดงความเห็นว่ามาเลเซียในปัจจุบันมีความแตกแยกทางการเมืองเพิ่มจากสมัยของเขามาก และเป็นห่วงปัญหาความเหลื่อมล้ำเรื่องรายได้ ซึ่งมีตัวอย่างของการปะทะกันระหว่างชนบทกับเมืองของประเทศไทย
ในภาพรวมแล้ว หนังสือเล่มนี้น่าสนใจสำหรับคนที่อยากทำความเข้าใจมุมมองของมหาธีร์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีนานถึง 22 ปี จุดเด่นของมหาธีร์คือการประสานความคิดอนุรักษ์นิยมแบบมุสลิม เข้ากับการพัฒนาทุนนิยมของโลกตะวันตก จนสามารถผลักดันมาเลเซียให้เป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจอีกรายหนึ่งของเอเชียได้สำเร็จ
แนวทางการพัฒนาของมาเลเซียอาจไม่ตรงกับประเทศไทยนัก เนื่องจากมีบริบทด้านเชื้อชาติและศาสนาที่แตกต่างกัน แต่ มหาธีร์โมเดล ก็อาจน่าสนใจสำหรับชาติมุสลิมอื่นๆ ที่อยากปฏิรูปตัวเองเข้าสู่โลกสมัยใหม่อย่างไม่ทิ้งรากเหง้าเดิมได้เช่นกัน "
ข้อมูลหนังสือ
- ชื่อภาษาไทย จับเข่าคุย มหาธีร์ โมฮัมหมัด
- ชื่อภาษาอังกฤษ Conversations with Mahathir Mohamad
- ผู้แต่ง ทอม เพลท (Tom Plate)
- ผู้แปล สุภากรณ์ กาญจน์วีระโยธิน
- สำนักพิมพ์ มติชน
- .................................................................................................................................