ดร.ถนัด คอมันตร์ ในความทรงจำของคนข่าว
ดร.ถนัด คอมันตร์ ในความทรงจำของคนข่าว ขอนำเนื้อหาดีๆจากกรุงเทพธุรกิจรายวัน มารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา
ข่าวการถึงแก่อนิจกรรมของ ดร.ถนัด คอมันตร์ ในวัย 102 เมื่อวันพฤหัสฯ ควรได้รับการจารึกเป็นการจากไป ของนักการทูตคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของไทย และของภูมิภาคนี้ทีเดียว คุณถนัดเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศตั้งแต่ ค.ศ. 1959 ถึง 1971 หรือ 12 ปีเต็ม ๆ และเป็นที่ยอมรับนับถือของแวดวงการเมืองระหว่างประเทศในเอเชียไม่น้อย ในขณะที่ลัทธิคอมมิวนิสต์แผ่ขยายตัวในอินโดจีนอย่างร้อนแรง และพรรคคอมมิวนิสต์ก็ก่อตัวในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียอาคเนย์ คุณถนัดในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศลงนามใน แถลงการณ์ร่วม กับรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ดีนรัสก์ในปี 1962 เรียกกันอย่างเป็นทางการขณะนั้นว่า Thanat-Rusk Communique โดยที่วอชิงตันให้คำมั่นว่าหากไทยถูกคุกคามโดยคอมมิวนิสต์ (ที่ขณะนั้นมีจีนและสหภาพโซเวียตเป็นแกนสำคัญ) สหรัฐจะเข้ามาคุ้มกันประเทศไทย ในช่วงที่อินโดนีเซียกับมาเลเซียมีเรื่องบาดหมางกันอย่างแรงระหว่าง 1963-66 ที่เรียกว่า การเผชิญหน้า (Konfrontasi) นั้น คุณถนัดก็เล่นบทเป็นท้าวมาลีวราช เชิญรัฐมนตรีต่างประเทศทั้งสองชาติมากินลมชมวิวชายทะเลของไทยเพื่อเจรจาลดความตึงเครียดไปได้ในระดับหนึ่ง ต่อมา คุณถนัดเป็นตัวตั้งตัวตีให้ตั้ง อาเซียน เมื่อปี 1967 เพื่อสร้างกรอบความร่วมมือภูมิภาคแถบนี้ ในช่วงที่ลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังร้อนแรงในย่านนี้ โดยเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศ Adam Malik จากอินโดนีเซีย Narcisco Ramos จากฟิลิปปินส์ Tun Abdul Razakจากมาเลเซีย และ S. Rajaratnam จากสิงคโปร์มาประชุมกันที่บ้านพักรับรองแหลมแท่น ชายหาดบางแสนตกลงจะก่อตั้งองค์กรภูมิภาคที่เรียกว่า Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) และลงนามในคำปฏิญญาก่อตั้งอาเซียนที่กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1967 จากสมาชิกก่อตั้ง 5 ชาติเมื่อ 49 ปีก่อนมาเป็น 10 ประเทศ ประชาคมอาเซียน วันนี้ ต้องถือว่าเป็นวิสัยทัศน์ของคุณถนัด ที่เห็นความจำเป็นในเรื่องความร่วมมือของประเทศในภูมิภาคนี้ ที่ยืนยันได้ว่าได้กลายเป็นองค์กรที่มีความสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคงอย่างมีนัยยิ่ง เพราะความที่อยู่กับกระทรวงต่างประเทศยาวนาน คุณถนัดมีความมั่นใจในตัวเองสูง ในยุคที่อำนาจทางการเมืองอยู่ในมือของรัฐบาลถนอม-ประภาส คุณถนัดเป็นคนกุมนโยบายต่างประเทศเกือบทั้งหมด ยกเว้นนโยบายทางทหารที่ขณะนั้นมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับสหรัฐอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่มีข่าวว่าก่อนที่จอมพลถนอม กิตติขจร จะก่อนจะทำการ ปฏิวัติตัวเอง ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1971 นั้น ผู้นำไทยตอนนั้นต้องแจ้งไปทางสถานทูตสหรัฐล่วงหน้าเพื่อขอให้สนับสนุนด้วยซ้ำไป ผมยังจำได้ว่าคืนวันรัฐประหารนั้น คุณถนัด ไปพูดที่สโมสรนักข่าวต่างประเทศ นักข่าวได้ข่าวเรื่องจอมพลถนอมประกาศยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ถามคุณถนัดว่าได้รับทราบข่าวนี้หรือยัง? คุณถนัดยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีข่าวเรื่องรัฐประหาร นักข่าวสร้างเรื่องขึ้นมาเอง อีกไม่ถึงชั่วโมงต่อมา เมื่อคำประกาศออกมายืนยันว่าเป็นจริง คุณถนัดก็หลุดตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศทันที คุณถนัดไม่ชอบตอบคำถามของนักข่าวนัก และมักจะต่อว่าต่อขานนักข่าวทำนองว่า ไม่รู้เรื่องนโยบายต่างประเทศเพียงพอที่จะตั้งคำถามหรืออย่างไร เมื่อกระทรวงต่างประเทศตั้งโฆษกพูดแทนรัฐมนตรี นักข่าวก็ขนานนามท่านว่า เทวดาน้อย กันเลยทีเดียว ในช่วงก่อนหน้านั้นสองสามปี ผมเขียนคอลัมน์ Thai Talk ที่บางกอกโพสต์ วิจารณ์ว่ากระทรวงต่างประเทศไม่ค่อยให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศให้คนไทยทั่วไปได้เข้าใจ และมักจะแถลงข่าวปฏิเสธเรื่องราวที่มาจากต่างประเทศที่เป็นไปทางลบเกี่ยวกับประเทศไทย แต่ไม่ยอมตอบคำถามของนักข่าวไทยอย่างตรงไปตรงมา คุณถนัดไม่พอใจคอลัมน์ผม เชิญบรรณาธิการไปพบ ถามว่าคนเขียนคอลัมน์นี้เป็นใคร อาจหาญวิจารณ์กระทรวงต่างประเทศได้อย่างไร มีใครเข้าใจเรื่องนโยบายต่างประเทศมากไปกว่าคนของกระทรวงฯหรือ...พูดคล้าย ๆ กับให้บรรณาธิการไล่ผมออกอะไรทำนองนั้น แต่เมื่อคณะบรรณาธิการปรึกษากันแล้ว คงเห็นว่าหากปลดผมออกด้วยเหตุผลว่ารัฐมนตรีต่างประเทศไม่พอใจการแสดงความเห็นของผมก็คงเป็นประเด็นร้อนโดยไม่จำเป็น ผมรอดปากเหยี่ยวปากกาของยุคการเมืองรวบอำนาจและสงครามเย็นมาได้ก็ต้องถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าเหลือหลาย ต่อมาอีกหลายปี ผมมีโอกาสได้พบคุณถนัดในโอกาสต่าง ๆ ท่านก็โอภาปราศรัยพูดคุยเรื่องต่างประเทศกับคนรุ่นหลังอย่างผมกว้างขวางขึ้น ยังจำได้ว่าเคยสัมภาษณ์คุณถนัดออกรายการ News Talk ทางช่อง 9 ซึ่งร้อนแรงไม่น้อย เพราะระหว่างการซักถามนั้น คุณถนัดพยายามต้อนผม แทนที่ผมจะตั้งคำถามการทำหน้าที่ของท่าน ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศอันยาวนาน หนึ่งในคำถามเกี่ยวกับบทบาทของคุณถนัดกับทหารอเมริกันและฐานทัพสหรัฐในไทย ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีข้อตกลงลับทางทหาร และความมั่นคงที่ไม่เคยได้รับการเปิดเผย คุณถนัดไม่ตอบคำถามตรงๆ แต่จะย้อนถามผมว่า คุณรู้อะไร? คุณเกิดแล้วยัง?ตอนนั้นคุณทำอะไรอยู่? สำหรับผม นั่นเป็นรายการสัมภาษณ์ที่สนุกและท้าทายที่สุดรายการหนึ่งทีเดียว วันนี้ผมรำลึกถึง ดร.ถนัด คอมันตร์ ด้วยความเคารพและชื่นชมในบทบาท ที่มีความสำคัญยิ่งต่อประเทศไทย ในจังหวะที่การเมืองระหว่างประเทศช่วงนั้น ตกอยู่ในภาวะละเอียดอ่อน และประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากรอบด้าน ดร.ถนัด จึงมีคุณูปการต่อนโยบายต่างประเทศ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่ง ขอดวงวิญญาณของท่านจงไปสู่สรวงสวรรค์ แห่งความสันติและสงบเทอญ ................................................................................................................................ เขาชื่อ ถนัด คอมันตร์
จากปากคำอานันท์ ปันยารชุน ขอนำเนื้อหาเรื่องนี้จากกรุงเทพธุรกิจรายวัน มารวบรวมไว้เพื่อการสึกษา
อะไรคือ มรดกทางการทูต ที่ ดร.ถนัด คอมันตร์ ฝากเอาไว้ ให้กับประเทศไทย? บางคนบอกว่าสิ่งที่อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศท่านนี้สร้างไว้เป็น นวัตกรรมทางการทูต ของเอเชียในช่วงที่โลกกำลังเผชิญกับ สงครามเย็น อย่างร้อนแรง การก่อตั้ง อาเซียน หรือ Association of Southeast Asian Nations (Asean) เป็นผลงานเต็ม ๆ อันเกิดจากวิสัยทัศน์ของคุณถนัด ที่เล็งเห็นภยันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาในช่วงนั้น หากประเทศในภูมิภาคนี้ไม่รวมตัวกันเพื่อสร้างพลังต่อรองทั้งทางด้านการเมือง ความมั่นคง และเศรษฐกิจ เพราะขณะนั้นการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจสองค่ายคือ สหรัฐด้านหนึ่ง กับจีน และสหภาพโซเวียตอีกด้านหนึ่ง กำลังบีบให้ประเทศเล็ก ๆ ในย่านนี้ต้องตกอยู่ในภาวะอ่อนไหวและเปราะบาง อีกทั้งภัยคอมมิวนิสต์ก็กำลังคุกคามในหลายจุด ขณะที่ก็ไม่แน่ใจว่าหากเกิดเหตุเภทภัยจริง ๆ แล้วสหรัฐจะมาช่วยเหลือพันธมิตรในแถบนี้จริงจังเพียงใด คุณถนัดจึงโน้มน้าวผู้นำห้าประเทศมาตั้งเป็น Asean และประกาศเป็น Zone of Peace, Freedom and Neutrality (Zopfan) อันหมายถึง เขตแห่งสันติภาพ, เสรีภาพและความเป็นกลาง เพื่อประกาศเป็นกลุ่มประเทศที่จะร่วมกันยืนหยัดปกปักรักษาเสรีภาพและสันติภาพและเน้น ความเป็นกลาง เพื่อไม่ให้มหาอำนาจค่ายใดค่ายหนึ่งอ้างเป็นเหตุมาสร้างความวุ่นวายในย่านนี้ได้ ผมตระเวนสัมภาษณ์อดีตนักการทูตที่เคยทำงานใกล้ชิดกับคุณถนัด ในสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากท่านจากไปในวัย 102 เพื่อสรุป บทเรียน และ มรดกทางการทูต ที่ท่านได้ส่งผ่านมาถึงผู้นำด้านการทูตในปัจจุบัน ผมได้ความเห็นและเบื้องหลังที่น่าสนใจอย่างยิ่งจากคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตปลัดกระทรวงต่างประเทศ และเคยเป็นเลขาฯส่วนตัวของคุณถนัด ผมสัมภาษณ์คุณเตช บุนนาค อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ และ ดร.มนัสพาสน์ ชูโต ที่เคยทำงานใกล้ชิดกับคุณถนัด โดยเฉพาะทางด้านสารนิเทศและการทูตระหว่างประเทศหลายช่วงตอน คุณอานันท์เคยพูดในวันที่กระทรวงต่างประเทศจัดงานฉลอง 100 ปี พันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ เมื่อ 19 สิงหาคม 2557 ตอนหนึ่งว่า ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าไปทำงานกับท่าน ก็รู้สึกมีความสบายใจ เพราะท่านไม่มีพิธีรีตอง ท่านไม่แสดงอำนาจ ท่านไม่แสดงความเป็นใหญ่ วันเกิดท่าน ผมไม่เคยไปอวยพร แสดงความยินดี วันปีใหม่ผมก็ไม่เคยไปหาท่านที่บ้าน แต่ท่านให้ความเอ็นดูกับผม และให้ความเมตตากรุณาทุกอย่าง เพราะท่านรัฐมนตรีถนัด ทุกอย่างท่านมองถึงงานอย่างเดียว ว่าทำงานให้ท่านได้หรือไม่ได้ สิ่งที่ท่านถือมากที่สุดคือว่าไม่ทำงานให้ท่านหรือทำงานไม่สำเร็จ คุณจะนอนข้ามคืนหรือจะอดนอนทั้งคืน คุณถนัดจะไม่รู้สึกอะไร เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ และเมื่อทำไปแล้วก็อย่าไปคิดว่าต้องได้รับผลตอบแทน หรือคาดหวังว่าจะได้รับอะไรต่าง ๆ... อีกตอนหนึ่งอดีตนายกฯอานันท์บอกว่า ทุกครั้งที่ใครพูดถึงอาเซียน ก็ต้องระลึกถึงว่าท่านคือบิดาของอาเซียน ก่อนตั้งอาเซียน ท่านก็ต้อง อาสา Association of Southeast Asia ASA ซึ่งมี 3 ประเทศคือ ไทย, ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย วีดิทัศน์ (ที่ฉายประกอบในงาน) พูดถึงเรื่องแถลงการณ์ถนัด-รัสก์ (Thanat-Rusk Communique) ว่าเกิดขึ้นในสมัยที่ผมเป็นเลขาฯอยู่ เดินทางกับท่านไปที่วอชิงตัน 2 คนเท่านั้น คนที่เขาใหญ่จริง ๆ และคนที่เขามีความเชื่อมั่นในตัว ในความดีแล้ว ไปไหนก็ไม่ต้องมีคนติดตามมากมาย ไม่ต้องแห่กันไป หลายครั้งที่ผมเป็นเลขาฯ และเลขาฯที่ตามมาไม่ว่าจะเป็นคุณสมปอง หรือหม่อมหลวงพีระพงษ์ฯ คงทราบดีว่าสิ่งที่คุณถนัดไม่ชอบมากที่สุดคือ พิธีรีตอง หรือที่ภาษาไทยเราเรียกว่าเอะอะไรก็พิธีการทูต..." ................................................................................................................................. ช่วงหนึ่งของการทูตไทยยุค ถนัด คอมันตร์ : ขอนำเนื้อหาเรื่องนี้จากกรุงเทพธุรกิจรายวัน มารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา คืนนั้นจอมพลสฤษดิ์เตรียมบุกเขมร! ผมเพิ่งตระเวนสัมภาษณ์ผู้ใหญ่ อดีตนักการทูตหลายท่าน เพื่อแสวงหาบทเรียนและความรู้ จากชีวิตนักการทูตมือหนึ่งของไทยอย่าง ดร.ถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งในอยู่ในตำแหน่งติดต่อกันถึง 12 ปี และได้ข้อมูลในอดีตมากมายหลายด้านที่น่าสนใจ เป็นบทเรียนสำหรับปัจจุบันและอนาคตอันมีคุณค่ายิ่ง ควันหลงหนึ่งเรื่องที่ผมอยากนำมาเล่าขานต่อ เพราะไม่เป็นที่รับรู้ในแวดวงคนไทยมากนักมาจากอดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน ซึ่งเคยทำงานใกล้ชิดกับคุณถนัดในหลายๆ บทบาทเคยเล่าในงาน 100 ปี ถนัด คอมันตร์ ที่กระทรวงต่างประเทศจัดเมื่อ 19 สิงหาคม 2557 วันนั้น คุณอานันท์ได้เล่าให้ผู้ร่วมในงานฟังตอนหนึ่งว่า ...มีอยู่อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเข้าใจว่าหลายคนคงไม่ได้ยินมาก่อน ตอนนั้นผมยังทำหน้าที่เลขาฯ อยู่ มีคดีเขาพระวิหาร ท่านทูตสมปอง (สุจริตกุล) อยู่ที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย คุณสมปองกับคุณจาพิกรณ์ เป็นตัวแทนของกระทรวงฯ ไปร่วมในคณะของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กับ พ.อ.จินดา ณ สงขลา...เมื่อเราแพ้ เมื่อศาลโลกตัดสินให้เราคืนปราสาทเขาพระวิหารให้กับเขมรโดยหลักการของ estoppel หรือ กฎหมายปิดปาก (หมายความถึงการกระทำหรือการยอมรับไม่ว่าจะโดยแจ้งชัดหรือปริยายเกี่ยวกับเรื่องใด ย่อมเป็นการปิดปาก ถือว่าผูกพันฝ่ายที่กระทำนั้น โดยมิอาจโต้แย้งได้)... แน่นอน คนไทยที่เลือดร้อนหรือที่ไม่ได้ข้อเท็จจริงอันสมบูรณ์ ก็จะมีความโกรธแค้น ไม่อยากที่จะให้ประเทศไทยสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารไป ท่านจอมพลสฤษดิ์ (ธนะรัชต์) ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนรักชาติ และคืนนั้น ตอนที่ผมเป็นเลขาฯอยู่ ก็ได้ยินมาว่าหลังสองยามไปแล้ว ท่านจอมพลสฤษดิ์ จะสั่งทหารบุกเขมร และไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก... "ปรากฏว่า ท่านรัฐมนตรีถนัด คอมันตร์ กับคุณพจน์ สารสิน ซึ่งผมจำไม่ได้แน่ว่าขณะนั้นท่านเป็นเลขาธิการซีโต้หรืออยู่ในตำแหน่งใดไปหาจอมพลสฤษดิ์ ก่อนสองยามคืนนั้น แล้วไปอธิบายถึงเหตุผลของการตัดสินคำพิพากษาและผลลัพธ์ที่ตามมาว่าไทยจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง แต่จริงๆ แล้วเพื่อจะไปคัดค้านท่านจอมพลสฤษดิ์ว่า การที่ไม่ยอมรับและจะส่งทหารบุกเข้าไปในเขมรนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะในฐานะที่เราเป็นสมาชิกสหประชาชาติ และตามกฎบัตรก็เขียนไว้ชัดเจนเกี่ยวกับคำพิพากษา ว่าคำตัดสินของศาลระหว่างประเทศนั้นเป็นอันสิ้นสุด และรัฐสมาชิกต้องยอมรับและเคารพในคำตัดสิน... แต่การที่จะโน้มน้าวให้จอมพลสฤษดิ์ มีความคิดที่ต้องยอมรับ คงต้องใช้เวลามาก แต่ผมทราบมาว่าสิ่งที่ท่านรัฐมนตรีถนัดเสนอตอนนั้น คือจะให้ออกแถลงการณ์ควบคู่กันไปว่ายอมรับ แต่ในแถลงการณ์นั้นจะเขียนในทำนองว่า (อันนี้ท่านทูตสมปองอาจจะรู้ดีกว่าผม) ถ้าเผื่อมีข้อมูลใหม่หรือเหตุการณ์ใหม่ขึ้นมา และจะสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานในอนาคตได้ ทางรัฐบาลไทยก็จะสงวนไว้ซึ่งสิทธิในอันที่นำเรื่องเรื่องนี้กลับเข้ามาในศาลโลกใหม่ อันนี้ก็ทำให้เป็นปัญหาในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมาว่า การสงวนสิทธิ์อันนี้ไว้ ทำไมเราไม่ทำอะไรใน 50 ปีที่ผ่านมา และยังทำได้ต่อไปหรือไม่ แต่เท่าที่ผมเข้าใจ แถลงการณ์ฉบับนั้นเป็นการกู้หน้ามากกว่า เพื่อจะให้ฝ่ายทหารโดยเฉพาะท่านจอมพลสฤษดิ์ เข้าใจว่าถึงแม้จะยอมรับตอนนี้ แต่ก็ยังมีโอกาส ยังมีลู่ทางในอนาคตที่จะต่อสู้ให้เรื่องนี้กลับคืนมาเป็นของไทยได้.. อย่างไรก็ตาม ตามความเป็นจริงแล้วคงยาก แต่อันนี้เป็นวิธีการใช้ภาษาทางการทูตกับวิถีทางทางการทูต ที่จะป้องกันไม่ให้มีสงคราม มีการรบราฆ่าฟันระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน 2 ประเทศ ผมว่าทั้งคุณพจน์ สารสินและคุณถนัดได้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทยอยู่นานัปการ และเป็นสิ่งหนึ่งที่จะต้องจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์การทูตของเมืองไทย... คำบอกเล่าของคุณอานันท์ (จากนิตยสาร วิทยุสราญรมย์ ปีที่ 17 ฉบับที่ 66 มกราคม มีนาคม 2558) เรื่องนี้จึงเป็นตำนานเล่าขานที่ควรแก่การนำส่งมายังคนไทยรุ่นต่อ ๆ มาที่ต้องการเรียนรู้ถึง การทูต ผู้นำทหาร และสงครามที่เกือบระเบิด!
Create Date : 06 มีนาคม 2559 |
|
1 comments |
Last Update : 16 มีนาคม 2559 20:06:15 น. |
Counter : 1256 Pageviews. |
|
|
|
นี้เป็นครั้งแรกที่ผมอ่านข่าวของคุณนาถแล้วมีโอกาสแสดงความคิดเห็นครับ.