ชีวิตมนุษย์และใจมนุษย์ ไม่มีที่สิ้นสุดของการเรียนรู้
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
24 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
ถามหาความรัก บทแทรก

เราเรียนจบ ม.3 ตอนอายุ 13 ปีเพราะเรียนก่อนเกณฑ์
ตั้งแต่เรียน ประถมถึงมัธยม เราไม่เคยมีความสุขเลย โดนเพื่อนแกล้งตลอด หรืออาจจะเป็นเพราะเรา ไม่เหมือนคนอื่นเราเองก็ไม่รู้ แต่ที่รู้


เราอยากเรียนต่อ ศิลปะมากที่สุด เราชอบงานศิลปะ

"ไม่ต้องเรียนหรอก กูไม่มีเงินส่งเรียน แม่มึงก็เมาทั้งวัน พ่อมึงเคยใยดีมึงมั้ย แล้วมึงเรียนก็ไม่เก่ง สู้แมวมันก็ไม่ได้ ดูสิ พ่อเค้ายังส่งเสีย ดูแลทุกเดือน" ยายพูด ถึงเราและยังเปรียบเทียบกับพี่แมวพี่สาวต่างบิดาคนโต ที่อยู่กับตาและยายเช่นกันกับเรา ต่างกันตรงที่ พี่สาวเราเป็นคนขยันเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในบ้านทุกอย่าง และเราเองก็ได้พี่สาวคนนี้แหล่ะที่ช่วยเหลือค่า ขนมของเราเวลาไปเรียน


"ยายอย่าเปรียบเทียบหนูกับน้องได้มั้ย มันอยากจะเรียนต่อก็ให้มันเรียนสิ แต่แกต้องสอบเข้ารร.ของรัฐให้ได้นะ เดี๋ยวชั้นจะช่วยๆเอง" พี่แมวนั่งอยู่ตรงที่ยายพูดพอดี นานๆอาทิตย์นึง ทีพี่สาวเราจะกลับมาบ้านเพราะ ต้องไปอยู่หอพักพยาบาล เราดีใจมาก ความฝันที่จะได้เข้าเรียนศิลปะจะได้เป็นจริงสักที

ส่วนแม่เราเองอยุ่กับสามีใหม่ ก็มีช่วยๆบ้างตามอารมณ์ แต่สิ่งที่รับรู้ก็คือ พ่อไม่สามารถช่วยอะไรเลย นอกจากจะให้เงินเพียงเล็กๆน้อย และขับรถเบนซ์คันโก้ รับเราไปกินข้าว กลางวันตามร้านอาหารหรูๆ พ่อเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ มีแต่คนเคราพ แม้กระทั่งเจอข้างนอก ลูกน้องพ่อในกรม มักจะเรียกเราติดปาก เสมอว่า คุณหนู

แต่ในความจริงแล้ว คำว่า คุณหนูกับชีวิตเรา มันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด....


ช่วงสอบที่ รรอาชีว แห่งหนึ่งที่เราไปสอบผ่านไป แล้วก็ฝันสลาย เราสอบไม่ติด แผนกที่เราตั้งใจอยากจะเรียน

เขาจีงโอนให้เราไปเรียน คหกรรม แทน โอ้ย คหกรรมอีกแล้ว เราเบื่อมากๆ
แต่ทำไงได้ก็ยังดีกว่าไม่ได้เรียน อย่างน้อยเรียนๆไปอาจจะดี ก็ได้ใครจะรู้
ก่อนเปิดเทอมก็ต้องไปปฐมนิเทศน์เพื่อทำความคุ้นเคยกับเพื่อนๆและอาจารย์อีก ก็ดีนะคราวนี้เราเริ่มมีเพื่อนมากขึ้น คงเป็นเพราะเริ่มจะวัยรุ่นแล้วล่ะมั้ง เราอายุ 14 ปีแล้ว ตอนเรียน ปวช.1 แต่ถ้าไม่บอกใครๆคงคิดว่าเราอายุมากกว่านั้น เพราะเราตัวสูงใหญ่


"เฮ้ ลูกครึ่ง อยู่ห้องไหนอ่ะ"เสียงแจ้วๆของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่อีกแถวตะโกนเรียกเรา หน้าตาออกจีนๆตัวใหญ่สูงกว่าเรา นิดนึงเอง ใส่แว่น ยิ้มหน้าทะเล้น ยักคิ้วมาที่เรา

"เรา อยู่ 1/3 เธอล่ะ อยู่ ห้องไหน?" เราถามบ้าง

"เราอยู่ 1/2 เราชื่อ กบนะเธอชื่อไร" กบตอบและถามเราบ้าง

"เราชื่อ แหม่มน่ะ"เราตอบ "เธอนี่แหม่มสมชื่อเลย ตาเธอสีประหลาดดี เธอเป็นแวมไพร์รึเปล่าฮ่าๆๆ"ตาบ๊องนี่ทะเล้นจริงๆ


แล้วเรากับกบและเพื่อนๆก็ฟ้องอาจารย์ปฐมนิเทศน์บ้างเล่นกันบ้างตามประสาล่ะ แต่กบและเพื่อนชายอีกสองสามคนนี่ทะเล้นมากๆเที่ยวแหย่คนนั้นทีคนนี้ที จนเราอดขำไม่ไหว ได้แต่รออีกไม่นานก็เปิดเทอมแล้ว คงจะได้เจอเพื่อนๆอีกเยอะแยะแน่ๆ

"เธอ กินแซนวิชมั้ย เราทำมาเผื่อเธอนะ"กบเดินมาหาเรา พร้อมกับถุงแซนวิชและนมรสจืดอีก 1กล่อง เรากำลังนั่งคิดอะไรเพลินที่ริมระเบียงตึก ต้องชะงักกับของที่กบยื่นมาให้

"อยากรู้ว่าอร่อยมั้ย เราทำเองนะ ถ้าแหม่มชอบ และถ้าเราไม่ลืมเราจะเอามาให้อีก"กบยิ้ม หวาน เรายังจำหน้าตาทะเล้นตี๋ๆของกบได้ เวลาออกมาพักกลางวัน เราก็มานั่งคุยกับกบ บางทีก็ไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆบ้างคอยแกล้งคนนั้นคนนี้ บ้างตามประสา จนวันเวลาผ่านไปได้เกือบครึ่งเทอม

"แหม่มเราชอบแหม่มน่ะ เป็นแฟนกันป่ะ" กบพูดขึ้นมา เราอึ้งกับคำพูดของกบ "ไว้ให้เราสองคนโตแล้ว เราจะให้พ่อเรามาขอแหม่มดีมั้ย"กรรมเวร เราอายุ 14 กบอายุ 15 ถ้าโต คงต้องรออีกสัก 10-20 ปีล่ะ แต่ตอนนั้นเรารู้สึกดีกับคำพูดของกบมากๆ รู้สึกว่าความโดดเดี่ยว อ้างว้างหายไป อยากเจอกบ รู้สึกดีที่อยู่ใกล้ๆ จนลืมสังเกตุ สายตาของอาจารย์ฝ่ายปกครอง ที่ เดินผ่าน และมองเราสองคนแบบแปลกๆ

กบพาเราไปเที่ยวที่บ้านได้เจอพี่ปุ้ย พี่สาวของกบ พี่ปุ้ยอายุเท่าพี่แมวเลย ท่าทางใจดีด้วย พ่อแม่กบทำงานดีทั้งคู่ จนเรารู้สึกว่า เรากับกบ ชีวิตเหมือนอยู่กันคนละโลก "นี่รูปใครอ่ะ"เราชี้ไปที่รูปขาวดำเก่าๆเป็นรูปชายหนุ่มหน้าจีน ยืนดีดแมนโดลิน และมีสาวหน้าหมวยในรูปนั่งปักผ้าอยู่ข้างกัน


"นั่นปู่กับย่า คนเวียดนามน่ะ เราเลยมีเชื้อญวณ"กบบอก ฮืม มิน่า ตากบโต จมูกโด่งมาก ผิวขาว แต่ตัวใหญ่ เวลาไม่ใส่แว่น กบดูดี และดูหน้าตาเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุเสียอีก "เราชอบแหม่มนะ แหม่มเป็นคาทอลิกเหมือนเรา เวลาแต่งงานจะได้ไปแต่งที่วัดคริสต์ด้วยกันไง" กบพูดถึงอนาคตที่ไม่ได้เกิดขึ้นอีกแล้ว ใจนึงของเรารู้สึกดีนะ แต่อีกใจเริ่มรู้สึกหวาดกลัว กับสิ่งที่ไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำพูดได้ เราก็ยังไปฟังมิสซาวันอาทิตย์กับกบบ่อยๆถึงเราจะต้องนั่งรถเมล์ไป แต่เราก็รู้สึกดี เดินล่นด้วยกัน แล้วเพ้อฝันแต่เรื่องอนาคต "พ่อเรามีที่ๆหัวหินนะแหม่ม โตขึ้น เรากับแหม่มแต่งงานกัน กบจะไปเปิดร้านอาหารที่นั่น เรามีลูก สัก 3คนดีมั้ย ให้แหม่มเป็นแม่บ้านคอยดูแลลูก ส่วนกบจะหาเลี้ยงแหม่มกับลูกเอง "อ่ะนะ ความเพ้อฝันแบบเด็กๆแต่มันก็ยังเป็นความประทับใจของเราเสมอ


เราก็ชวนกบมาเที่ยวบ้านเราเช่นกัน วันลอยกะทงกบพา คม กับ ศักดิ์ และ แจงมาบ้านเรา กบ ขอตาเราจะชวนเราไปงานลอยกะทง แต่โดนตาปฎิเสธ เราเสียใจมากนะ ได้แต่นั่งร้องไห้ เรื่องจะออกไปเที่ยวอย่าหวังว่าจะได้ไปง่ายๆถ้า ไม่ขอไปเรื่องเกี่ยวกับเรียนหรือศาสนา ยิ่งเที่ยวกลางคืน แบบวัยรุ่นคนอื่น อย่าหวังเลยที่จะได้ไป...

ไม่นาน เรากับกบ เริ่มโดดเรียนหนีไปเที่ยวกันกับเพื่อนๆกบ วิชาไหนที่ไม่อยากเรียนก็นัดกันไปเดินเล่นตามห้างบ้าง ไปนั่งเล่นตามบ้านเพื่อนบ้าง บางทีก็แอบ ขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้า บนตึกกันสองคน แอบเอาอาหารกับขนมที่ทำขึ้นไปกินกัน จนอาจารย์ฝ่ายปกครองเชิญ ผู้ปกครองของเรากับกบ ไปตักเตือน "เด็กสองคนนี้ คบกันเป็นแฟน แถมยังโดดเรียน จน คะแนนไม่พอ ดิฉันกลัวว่า เด็กสองคนนี้จะประพฤติตนเกินเลยไปมากกว่านี้น่ะค่ะ" อาจารย์ฝ่ายปกครองเรียก แม่กบและแม่เรา ไปคุย รวมทั้งเราและกบ "ทางวิทยาลัยนี้ มีชื่อเสียงเกียรติประวัติมาตลอด หลายปีแล้วนะคะ ดิฉันอยากให้ผู้ปกครองสอดส่องดูแลบ้างน่ะค่ะ เพราะอีกเดือนเดียวก็จะสอบปลายภาคแล้ว ถ้าเกรดเฉลี่ยไม่ถึง จะโดนรีทายส์นะคะ"

พออาจารย์ฝ่ายปกครองพูดถึงเรื่องการเรียน ก็วกมาถึงเรื่องของเรา "ส่วนเด็กสองคน คบหากันในวัยยังไม่ถึงเวลาอันควร ดิฉันกลัวจะมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นน่ะค่ะ วิทยาลัยนี้ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียทางด้านนี้ ยังไงขอให้ผู้ปกครองดูแลด้วยนะคะ เห็นไปไหนมาไหนกันก็ไม่รู้ว่าจะแอบไปมีอะไรกันรึเปล่า ไม่ได้ว่านะคะ เด็กสมัยนี้มันไวไฟน่ะค่ะ ยิ่งไปไหนมาไหนสองคนแบบนี้สักวัน พลาดมีอะไรกันขึ้นมา แล้วจะยุ่งนะคะ" โห อาจารย์ใส่ไฟเป็นชุดๆๆเลย เราอึ้งกับคำพูดของผู้ใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่า เป็นอาจารย์ฝ่ายปกครอง ถึงเราจะโดดเรียน แต่เราก็ไม่ได้ไปเที่ยวกันสองคนนะ ถึงจะแอบไปกินอะไรบนดาดฟ้า เราสองคนก็ยังไม่เคยทำอะไรเลยเถิดถึงขนาดที่อาจารย์คิดหรอก



แม่กบไม่มองหน้าเราเลย ตอนแยกออกจากห้อง เขาดึงแขนลูกชายออกไปอย่างร้อนรน แม่มองหน้าเราด้วยความหงุดหงิด เราอยากบอกแม่นะ ว่าเราดีใจที่เราได้อยู่ใกล้ชิดแม่ แต่ไม่ควรเป็นเรื่องแบบนี้เลย

ตั้งแต่วันนั้น กบเริ่มหลบหน้าเรา เจอหน้าจังๆก็ทำเหมือนไม่อยากคุยด้วย จนเราทนไม่ได้ "กบเธอเป็นไรรึเปล่า ทำไมเธอไม่เหมือนเดิม"

เราคว้าชายเสื้อกบไว้แล้วถาม "อย่ายุ่งเลย แหม่ม พ่อแม่เราเขาไม่ชอบเธอ ต่อไปนี้ไม่ต้องมาบ้านเราแล้วนะ ปลายภาคเราคงไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว"กบสะบัดแขน หันหลังพูด แล้วเดินหนี ไป


เรายืนอึ้งกับคำพูดของกบ เราไม่นึกว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้ บ้านของกบ ซีเรียสขนาดนี้ แม้กระทั่งพ่อกบ ขับรถมาส่ง เรายกมือไหว้ ก็ทำเป็นมองไม่เห็น


เรากลับมาบ้าน ขึ้นไปบนห้องอยากไปเก็บตัวเงียบๆทำไมรู้สึกแย่ขนาดนี้ แม้กระทั่งคนที่บอกว่าชอบเรา ยังเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ จิตใจมันแทบจะทนไม่ไหวแล้ว

"แม่ทำไรอ่ะ"เราอุทาน ตอนที่โผล่ขึ้นไปบนห้อง เห็นแม่ นั่งน้ำตาไหล มือของแม่ ถือไดอารี่ของเรา หน้าเราแดงกล่ำ แม่แอบอ่านไดอารี่ เรา ที่เราเขียนระบายความคับแค้นใจ ที่เกิดขึ้น และได้เขียน ด่าแม่เรื่องที่แม่ มีแฟนใหม่ มันเจ็บมันผิดหวัง ไปเรียนหนังสือก็ไม่รู้เรื่องเพราะ กบเองก็เปลี่ยนไป อาจารย์คนอื่นที่รู้ว่าเรากับกบโดนเรียกไปฝ่ายปกครอง ก็ทำท่าทีเปลี่ยนไป เหมือนเราเป็น พวกโจรฆ่าคนตาย ยังงั้นเลย


"ถ้าแกคิดว่า ชั้นเป็นแม่ที่เลวกับแก ไม่สมกับเป็นแม่ของแก ก็ไม่ต้องมาเรียกชั้นว่าแม่ อีก แกคิดเหรอว่า ชีวิตของผู้หญิง ไม่มีใครหรอก อยากมีผัวหลายคน ชั้นก็ไม่อยากเหมือนกัน แกยังไม่โตพอแกไม่เข้าใจชั้นหรอกว่าพ่อแกมันทำเลวกับชั้นไว้แค่ไหน ตัวแกเองทำดีนักนี่ ที่โดนเรียกไปต่อว่าเรื่องผู้ชายน่ะ "แม่ระเบิดเสียงใส่เรา "หนูไม่ได้มีอะไรกันนะแม่ หนูไม่ผิด อาจารย์พูดเกินไป กบเค้าไม่ยุ่งกับหนูแล้ว ฮือๆๆ "เราเถียง ทั้งน้ำตา ยายเดินขึ้นมาถาม ว่าเกิดอะไรขึ้น "งามหน้ามั้ยล่ะแม่ มันเขียนไดอารี่ด่าหนู
หยาบๆคายๆ วันก่อนอาจารย์ที่ รร.มันก็เรียกไปเตือนเรื่องคบกับผู้ชายอีก แล้วแม่คิดว่า มันเป็นลูกที่หนูสมควรเก็บมันเอาไว้เหรอแม่ เสียใจไม่น่าเอามันไว้เลย สร้างแต่ความชั่วเหมือนพ่อมัน"แม่ บอกยาย พอยายได้ยิน ยายรีบคว้า ไม้กวาด กะชากแขนเรา ลงจากบันไดบ้าน ลากมาตีจน ไม้กวาดหัก ปากก็ด่า ยายตีไปร้องไห้ไป คงคับแค้นใจเรื่องของพ่อและเรื่องที่เราทำตัวแย่ๆด้วยล่ะมั้ง แม่กลับไปแล้ว

เหลือแต่เรานอน จมอยู่กับชุดนักเรียน สกปรก จิตใจมีแต่ความเจ็บปวด ไม่มีใครรักและต้องการจริงๆเลย เราคิด

แล้วเดินไปหยิบ กระปุกยานอนหลับกับพารา "ในเมื่อไม่มีใคร เราไม่ควรจะเป็นส่วนเกินของ ใครๆเช่นกัน..."

เทยาออกมากินทั้งกำ พร้อมน้ำ แล้วนอนหลับๆเราฝันๆเห็นพ่อ และแม่ ยืนยิ้ม เห็นตากับยายหน้าตาเปี่ยมสุข ฝันเห็นกบ อยู่ในชุดเจ้าบ่าว กำลังโบกมือเรียกเรา "แหม่มๆเป็นเจ้าสาวของกบคนเดียวนะ" แล้วสติของเราก็ดับวูบลง


"เลือดออกในกระเพาะเยอะมาก สงสัยว่ากระเพาะเป็นรู"เสียงหนึ่งแว่ว อยู่ไกลๆ และมีเสียงจอแจ วนเวียนอยู่เต็มไปหมด "อายุแค่นี้ กินยาไรกันเยอะนักหนา "อีกเสียงหนึ่งแว่วมา

เราลืมตาขึ้น มองเห็น หมอและพยาบาลยืนอยู่เต็มเตียง แม่ยืนอยู่ข้างๆ น้ำตาคลอเบ้า เรามองเห็นสายยางพลาสติก มีเลือดอยู่ข้างใน สายยางใสนั้นเต็มไปหมด เหมือนด้านในตัวเรา โดนดูดขึ้นข้างบน มันพุ่งขึ้นๆ ถึงได้รู้ว่า สายยางพลาสติกนั้น เสียบอยู่ที่จมูกเรา

หมอกำลังล้างท้องเรานี่เอง


นี่เรายังไม่ตาย ชีวิตที่ไม่มีใครต้องการอย่างเรา ยังไม่จบเหรอ


"ทำอะไรลงไปรู้มั้ย แม่เสียใจมากนะถ้าแกเป็นอะไรไปแม่เริ่มร้องไห้" ตายืนอยู่ข้างๆแม่ นิ่งและไม่พูดอะไร


"ถ้าแกไม่อยากเรียนที่นี่ ไม่เป็นไรนะลูก ปีหน้าลองไปสอบเข้าที่อื่นดู แกอย่าทำโง่ๆๆแบบนี้อีกได้มั้ย แม่ขอนะลูก"แม่ร้องไห้เสียงดังอย่างไม่อาย เราได้แต่มึนๆและเจ็บปวด เราน้อยใจเราเสียใจ ไม่มีใครรักและเข้าใจเราเลย เราคิดแบบนั้นจริงๆ แต่ที่รับรู้ แม่พูดจาดีกับเราครั้งนี้ครั้งแรกเลยนะเนี่ยะ


"คุณครับ หมอว่า ถ้าลูกสาวคุณหายแล้ว อยากให้พาแกไปหา จิตแพทย์น่ะครับ หมอว่า แกมีปัญหาทางจิต อยากให้แกไปบำบัด สักพักนึง อะไรๆอาจจะดีขึ้น หมอไม่ได้ว่าลูกคุณเป็นบ้านะ แต่หมอว่าลูกคุณเป็นโรคซึมเศร้า คงจะกดดัน หลายๆเรื่อง ถึงทำแบบนี้ " แม่ก้มหน้า ฟังคำที่หมอพูด


เราต้องไปหา จิตแพทย์ เราเป็นโรคประสาทเหรอเนี่ยะ.....


















Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 23:17:17 น. 17 comments
Counter : 453 Pageviews.

 
คุณแหม่มคะ เห็นใจจิงๆค่ะ
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ค่ะ ไม่มีใครอยากเกิดมาอย่างไม่มีความสุข
แต่เรื่องร้ายๆที่ผ่านไปแล้ว ก้อให้ผ่านไปนะคะ เป็นบทเรียนค่ะ
เจ็บต้องจำ ผิดเป็นครูค่ะ ประสบการณ์สั่งสมให้เราเข้มแข็งขึ้นค่ะ
พ่อแม่ทุกคนรักลูกค่ะ แต่ก่อนเราก้อคิดว่่าพ่อแม่ไม่รักเรา ไม่ต้องการเรา ในขณะที่เรากลับคิดว่าผู้ชายคนนึงรักเรามากที่สุด แต่พอมีปัญหาเกิดขึ้น เค้ากลับไม่เหลียวแลใส่ใจ คนที่เข้ามาคอยดูแลเรา ก้อคือพ่อแม่ น้องชาย และเพื่อนๆของเราน่ะเอง คนที่เราคิดว่าเค้ารักเรามากๆ และเราก้อรักเค้ามากๆ กลับเหนแก่ตัว เหนแก่ได้ีค่ะ นี่ค่ะในที่สุดเราก้อไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันของเราได้ ไม่สามารถกลับไปทำงานได้ ไม่มีหน้าจะไปเจอผู้คน ในที่เดิมๆ เราเลยตัดสินใจ ออกมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อค่ะ แต่ก้อเปนประสบการณ์ชีวิต ให้เราเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิมมากๆเลยค่ะ ตอนนี้รุ้แล้วค่ะว่า ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่ และน้องของเราอีกแล้ว

สู้นะคะคุณแหม่ม เข้มแข็ง เรื่องแย่ๆที่ผ่านเข้ามาถือซะว่าเราเดินหกล้ม แต่คนเราล้มแล้วต้องลุกค่ะ อาจจะเจ็บค่ะ แต่เราก้อต้องลุกยืนให้ได้ค่ะ อย่างน้อยเรายังมีเพื่อน มีครอบครัวที่เรารัก และรักเรา คอยยื่นมือมาประคองคุณแหม่มให้ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งนึงอย่างแน่นอนค่ะ

เปนกำลังใจให้นะคะ


โดย: fookanoo วันที่: 24 มิถุนายน 2553 เวลา:20:51:47 น.  

 
สวัสดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันประสบการณ์นี้
ทำให้พี่รักตัวเอง และ ลูกๆ มากขึ้นๆ

แม่ มีอ้อมกอดไว้ให้ลูกเสมอ
ไม่ว่าลูกจะสุข หรือทุกข์
ดี หรือ เลว
แม่ก็จะมีอ้อมกอดให้ลูกเสมอ

คุณแม่ของแหม่มก็น่าสงสารนะคะ
เธอถูกกดดัน และ ไม่มีใครให้ความอบอุ่นเธอมาก่อน
เธอจึงไม่รู้จักการแสดงออก ถึงความรักที่มีต่อลูกได้อย่างเหมาะสม..เธอหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเอง จนลืมลูก..

แต่จะอย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นแม่ ไม่มีแม่ ก็ไม่มีแหม่มในวันนี้

อโหสิกรรมให้แม่เถอะนะแหม่ม...

พี่เชื่อว่า ลึกๆ แม่ก็ยังรักแหม่ม ห่วงใยแหม่ม
แต่ด้วยปัญหาที่หนักเกิน แม่จึงต้องทุกข์ และแสดงออกมาแบบนั้น

พี่อยากให้แหม่ม ทำบุญอุทิศส่วนกุศล และขออโหสิกรรม ให้กับแม่

บอกแม่ว่า แหม่มขอขอบคุณที่แม่ให้โอกาสแหม่มได้มีชีวิต เลี้ยงดู ให้การศึกษา จนแหม่มได้เป็นแหม่มทุกวันนี้
แหม่มขออโหสิกรรม ที่แหม่มเคยล่วงเกินแม่ ทั้งกาย วาจาใจ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ...

และแหม่มเอง แหม่มก็อโหสิกรรมให้แก่แม่..
ขออุทิศส่วนบุญกุศลทั้งหมดที่แหม่มได้สร้างสมมาให้กับแม่ หากวิญญาณของแม่ กำลังเป็นทุกข์ ขอให้แม่พ้นจากทุกข์ และหากแม่กำลังมีความสุข ก็ขอให้แม่มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป..

อุทิศบุญกุศล ให้พ่อ แม่ เป็นประจำนะคะ

คนอื่น ที่ทำให้แหม่มเจ็บปวดปางตาย หรือกำลังรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น.. เขาไม่ได้ดีไปกว่า หรือ เลวร้ายๆ เหมือนๆ พ่อ แหม่มยังรัก และ อภัยให้เขาได้...

ขอให้แหม่มย้อนคิด และ อภัยให้พ่อ กับแม่ด้วย

เป็นกำลังใจให้เสมอและขอบคุณค่ะแหม่ม...


โดย: LoveTurJang วันที่: 24 มิถุนายน 2553 เวลา:20:58:46 น.  

 
แวะมาอ่านบทแทรกค่ะพี่แหม่ม เริ่มเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรพี่แหม่มถึงฝากชีวิตไว้ก้บผู้ชายคนนั้น

เรื่องราวเดินทางมาไกลจนถึงบัดนี้...
ขวัญคิดว่าพี่แหม่มเอาเรื่องทั้งหมดมาเปิดเผยให้ใครได้รู้
คงเพราะต้องการสอนใจ..คนอื่น ๆ
ขวัญเชื่อว่าเรื่องจะต้องจบลงด้วยสติของพี่แหม่มเอง
ขวัญจะรออ่านจนจบนะคะ

แวะมาส่งกำลังใจค่ะ


โดย: ในความอ่อนไหว วันที่: 24 มิถุนายน 2553 เวลา:21:03:17 น.  

 
สวัสดีสายๆครับ
มีของฝากเล็กๆน้อยครับ
.................................
แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
..................................
26 มิถุนายน 2553 รำลึกถึงสุนทรภู่ครับ


โดย: panwat วันที่: 25 มิถุนายน 2553 เวลา:10:46:04 น.  

 
มนุษย์นี้ที่รักมีสองสถาน
บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้คือกายตน
เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
แม้ใครรักรักมั่งชังชังตอบ
ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี

บทนี้ท่องจนจำได้แล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ที่เข้ามาทักทาย
เวลาเจออะไรก็ตามก็ท่องแต่กลอนบทนี้แหล่ะ เป็นกลอนที่ฤาษีสอนสุดสาคร ตอนโดนชีเปลือยหลอก ผลักตกเหวเพื่อชิง ม้านิลมังกรน่ะค่ะ


โดย: Passion Theme วันที่: 25 มิถุนายน 2553 เวลา:12:04:59 น.  

 
"ชีวิตศิลปินมักเป็นเช่นนั้นล่ะค่ะ ไม่ค่อยสมหวังในชีวิตเท่าไหร่ " จริงครับ ดังนั้นจึงได้นำเอาประสบการณ์ที่ระทม
เหล่านั้น มาเขียนเป็นกลอนได้แบบง่าย ...
พันวัตต์ก็ทุกข์ระทมพอสมควร แต่นึกกลอนไม่ค่อยออกครับ


โดย: panwat วันที่: 25 มิถุนายน 2553 เวลา:13:54:10 น.  

 
กราบขอบพระคุณทุกๆท่านนะคะที่เข้ามาทักทายและเข้ามาออกความเห็นถ้าจบเรื่องของแหม่มเมื่อไหร่ แหม่มคงจะเขียนเรื่องราวของชีวิตคนอื่นให้อ่านเป็นแง่คิดด้วยค่ะ และเป็นกำลังใจให้ทุกๆท่านนะคะ ให้ต่อสู้กับชีวิตต่อไป


โดย: Passion Theme วันที่: 25 มิถุนายน 2553 เวลา:14:01:40 น.  

 
ใช่ค่ะคุณแหม่ม สู้ต่อไปนะคะ ดีแล้วค่ะที่ระบายออกมา ถ่ายทอดเป็นอุทาหรณ์และแง่คิด

.. จะเคียงข้างกันเสมอค่ะ


โดย: boonpithak วันที่: 25 มิถุนายน 2553 เวลา:15:21:10 น.  

 
ประสบการณ์ที่ผ่านมา ให้เก็บเอามาเป็นกำลังใจแล้วสู้ต่อไป ในทิศทางของความดี เป็นอีกหนึ่งกำลังใจนะครับ


โดย: wingang (wingang ) วันที่: 25 มิถุนายน 2553 เวลา:16:02:45 น.  

 
ชีวิตคนเราก็ผ่านทั้งเรื่องสุขทุกข์แบบนี้แหละครับ ไม่มีใครอยู่กับความสุขได้ตลอดและไม่มีใครอยู่กับความทุกข์ได้ตลอดเช่นกันครับ ก้าวต่อไปเอาประสบการร์สอนตัวเราดีกว่าครับ


โดย: Don't try this at home. วันที่: 25 มิถุนายน 2553 เวลา:23:49:39 น.  

 
ขวัญก็ต้องขอบคุณพี่แหม่มเหมือนกันนะคะที่แวะไปเยี่ยมบ้านขวัญบ่อย ๆ
มาถึงตอนนี้...ขวัญได้อ่านและพอเข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้น...พร้อมกับบอกตัวเองว่า...ถ้าตัวเองจะรู้สึกดี ๆ กับใครซักคน..ไม่ว่าจะเป็นความประทับใจ..หรือความรักก็ตาม

ขอเพียงเเต่รู้ว่าเค้ามีใครแล้ว..ถึงแม้จะยังไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันก็ตาม..ขวัญขอเลือก..ที่จะอยู่ห่าง ๆ แล้วแอบเก็บความรู้สึกนั้นไว้จะดึกว่า...ถึงแม้ว่าบางที...การได้เฝ้ามองเค้าจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดก็ตาม

บางที..ชีวิตคงต้องเลือกความถูกต้องก่อนหัวใจนะคะ

ป,ล.ขวัญไปทำบุญมาค่ะวันนี้..เลยแวะนำบุญมาฝากพี่แหม่มด้วยนะคะ
ด้วยความหวังดีค่ะ


โดย: ในความอ่อนไหว วันที่: 26 มิถุนายน 2553 เวลา:21:38:33 น.  

 
คุณแหม่มเป็นอย่างไรบ้างคะ
แวะมาส่งกำลังใจเช่นเคยค่ะ

..ความรัก และรายละเอียดของหัวใจรัก เป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ไม่ว่าใครจะมองมุมไหน
แต่สำคัญที่สุด ..
คือ ในสายตาและหัวใจของคุณแหม่มเองนะคะ ..คือผู้ตัดสิน ..

และไม่ว่าคุณแหม่มจะเลือกอย่างไร ..
ก็จะอยู่ข้างคุณแหม่มค่ะ

การตัดสินด้วยหัวใจรัก อาจทำให้เราเจ็บปวด
การมีเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นเส้นทางบังคับให้เดิน อาจยิ่งปวดร้าว

แต่เชื่อว่าหัวใจรัก จะไม่พาเราเลือกที่จะเจ็บปวดไปตลอดกาล และไม่เลือกทำผิดใดๆ แน่นอน

เพียงวันนี้ ที่ยังมีกันและกัน ..และเป็นวันที่คุณแหม่ม จะได้ทำสิ่งดีๆ เพื่อคนรักและเขารักคุณแหม่ม อย่างสุขใจ
ให้เป็นวันเวลาแห่งความสุขนะคะ

..ห่วงใยเสมอนะคะ

ฝันดีนะคะ


โดย: boonpithak วันที่: 26 มิถุนายน 2553 เวลา:22:59:39 น.  

 
ป่านนี้พี่แหม่มคงหลับไปแล้ว..แต่ขวัญยังเชียร์บอลอยู่เลยค่ะ

ไม่เป็นไรนะคะพี่...สุขภาพไม่แข็งแรงพักผ่อนเถอะค่ะ
ขวํญแวะมาเสมออยู่แล้ว....และขวัญก็รู้ว่าพี่แหม่มรับรู้ได้
ถึงกำลังใจที่ขวัญมีให้

ด้วยความหวังดีนะคะ



โดย: ในความอ่อนไหว วันที่: 27 มิถุนายน 2553 เวลา:2:08:03 น.  

 
ขอบคุณพี่แหม่มนะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นรู้สึกได้ถึงความจริงใจที่มีให้
แล้วจะมาเยียมบ้านใหม่จ๊ะ


โดย: คะน้าหน้าใส วันที่: 27 มิถุนายน 2553 เวลา:20:06:45 น.  

 


ลงรีวิวดารา holly wood แล้วน๊า


โดย: คะน้าหน้าใส วันที่: 27 มิถุนายน 2553 เวลา:20:46:24 น.  

 
เอากำลังใจมาส่งบ้านนี้ค่ะ
รับไว้ด้วยนะคะ
และอย่าลืมยิ้มให้กับตัวเองสวยๆ 1 ครั้งนะคะ


โดย: สายลมที่จากไป วันที่: 28 มิถุนายน 2553 เวลา:14:13:59 น.  

 


สวัสดีค่ะ
หลังจากที่อ่านไป เราไม่เคยอ่านเรื่องของคุณ
แต่เอาเป็นว่า

มีสติกับทุกสิ่งที่ดำเนิน
ตั้งมั่นและเชื่อมั่นในการทำดี คิดดี
และเดินต่อไปด้วยสองเท้าของเรา
ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในแบบที่ความสุขของเรา
ไม่ไปฝากไว้ในมือใคร
และสุขของเราไม่นำพาความทุกข์ให้ใคร
ไม่ว่าจะคนที่เรารัก หรือคนที่รักเรานะคะ

บางทีชีวิตมันพาเราไปเจอะเจออะไรมากมาย
เก็บเกี่ยวไว้และรักในคุณค่าของตัวเอง
อะไรที่ผ่านไปแล้ว ก็แค่ปล่อยให้ผ่านไป
เรียนรู้และก้าวไป
ชีวิตเป็นของเรา จะสุขจะเศร้า
เราเลือกกระทำได้เองค่ะ

สิ่งที่นำมาแบ่งปัน เชื่อว่ามีมุมมองดีดีให้กับหลายคนได้นำไปคิด




โดย: ละอองเวลา วันที่: 29 มิถุนายน 2553 เวลา:13:08:16 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Passion Theme
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนเราย่อมมีทั้งดีและเลวปะปนกันไป ในบางเรื่องราวที่อ่าน ผู้เขียน แค่อยากนำเสนอในบางแง่มุม ซึ่งอาจจะมีทั้ง ดีและไม่ดีคละเคล้า กันไป ต้องขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ ถ้าเรื่องราว บางอย่างอาจจะไปกระทบกับ ชีวิตของคนอื่นเข้า...
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และเข้ามาคอมเม้นท์นะคะ....ชื่อ ของแต่ละคนและสถานที่ๆอยู่ในบล๊อคเป็นเพียงชื่อสมมุติค่ะ
Friends' blogs
[Add Passion Theme's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.