เวลาผ่านไปเนิ่นนานเกือบจะ 20 ปี ผมไม่รู้ว่าอาจารย์อำนวยแกไปอยู่ที่ไหนอย่างไร ผมเองก็ยังคงอยู่ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ฯ ในตำแหน่งนักวิชาการเผยแพร่ อยู่ที่ส่วนกลาง กรมป่าไม้ ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านร้อนหนาว สุขและทุกข์คละเคล้ากันไปตามกาลเวลาที่ล่วงเลยไป อยู่กรมป่าไม้เกือบ 15 ปี สุดทนต่อมรสุมความไม่เป็นธรรม ความไม่เป็นระบบของผู้บังคับบัญชา จึงขอย้ายตัวเองมาที่กรมอุทยานฯอีก 2 ปีกว่า จริงๆแล้วทำเรื่องขอย้ายมาก่อนหน้าเกิดเรื่องขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชาอยู่ก่อนแล้วด้วยเห็นว่าเมื่อกรมแยกแตกเป็น 2 กรม งานที่กรมอุทยานฯน่าสนใจกว่าเยอะมีงานหลากหลายให้ทำโดยเฉพาะงานที่เราถนัดและรักคือ การจัดรายการวิทยุกระจายเสียง เดชะฯบุญหลังเกิดเรื่องไม่เท่าไร ทางกรมอุทยานฯ มีหนังสือถามถึงเรื่องที่ทำเรื่องขอย้ายเอาไว้ว่าพร้อมจะมาเมื่อไร ผมจึงไม่รีรอทำเรื่องขออนุญาตโอนย้ายทันที เป็นอันจบสิ้นกันที ความเจ็บช้ำที่ผู้บังคับบัญชาทำกับผม มันตอกย้ำลึกถึงก้นบึ้งหัวใจไปจนตาย จะไม่ขอย้อนกลับมาที่นี่อีกเด็ดขาด
หลังจากที่ผมก้าวเข้ามาทำงานที่กรมอุทยานฯ ได้เพียงสองปีเศษ ซึ่งก็มาบุกเบิกงานวิทยุกระจายเสียงด้วยตัวเองทุกอย่างที่นี่ตามมีตามเกิด วันหนึ่งเพื่อนร่วมงานบอกว่า จะมีคนมาช่วยราชการ เป็นอดีตหัวหน้าศูนย์ฝึกอบรมเขาใหญ่ ชื่อ อำนวย อินทรักษ์ ถูกเตะมา ประวัติพอตัว ก็เป็นเรื่องที่ผมเองก็เคยชินกับหน่วยงานของผมตั้งแต่สมัยที่เป็นกรมป่าไม้เดิมอยู่แล้ว ที่มักจะเป็นที่พักของบรรดาผู้ที่ไม่มีตำแหน่งจะลงหรือพวกมีปัญหาผู้ใหญ่ไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหนก็จะย้ายเอามาอยู่ที่นี่ ตำแหน่งผู้อำนวยการแทบจะเรียกว่าเป็นตำแหน่งอันดับท้ายๆ ของหน่วยงานที่ใครก็ไม่อยากมา ผมจึงไม่ได้ยินดียินร้ายใดๆ ว่าใครจะมาหรือใครจะไป ผมก็อยู่ของผมอย่างนี้ ทำงานเป็นปกติเท่าที่ไฟและกำลังของตัวเองยังมีบางครั้งก็ลุกโชนเหมือนเปลวไฟต้องกระแสลม บางคราวก็ริบหรี่จะดับมิดับอยู่อย่างนี้เป็นธรรมดา ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้ชีวิตมันเปลี่ยนไปได้ ถ้าระบบมันยังเป็นอย่างนี้
วันแรกที่อาจารย์อำนวยก้าวเข้ามาทำงานที่กลุ่มผลิตสื่อ ความทรงจำเก่าผุดขึ้นมาเริ่มจำได้หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานนับเกือบยี่สิบปี ทุกคนทักทายแกด้วยคำว่า สวัสดีอาจารย์กันทุกคน ก็แปลกใจว่า ทำไมคนอื่นเขาเรียกคำนำหน้าชื่อแกว่า อาจารย์กัน ตัวเราก็มีอัตตาพอตัว ก็คิดว่า เอ เราจะเรียกใครว่า อาจารย์สักคน นั่นหมายความว่า คนนั้นจะต้องเคยเป็นครูบา อาจารย์ เคยสั่งสอนเรามา หรือไม่ก็เป็นบุคคลที่สังคมเขานับหน้าถือตา หรือเป็นครูบาอาจารย์ในโรงเรียน มหาวิทยาลัย ทำนองนั้น ทำไมเราจะต้องเรียกอาจารย์ตามคนอื่นด้วย ผมจึงไม่เรียกแกอาจารย์นำหน้าเหมือนคนอื่น ผมเรียก พี่อำนวย บางทีก็เผลอติดปากเรียกตามคนอื่นว่า อาจารย์เหมือนกัน
วันเวลาผ่านไปไม่นาน ผมได้รู้จักอาจารย์มากขึ้น จากรู้จัก เป็นคุ้นเคย และยกระดับเป็นชอบพอในความเป็นตัวแก ด้วยอัธยาศัยไมตรี ร่าเริง คุยด้วยแล้วสนุกไม่เครียด แต่ที่สำคัญกว่านั่นคือเรื่องของความคิดและอุดมการณ์ ไฟฝัน ความเป็นศิลปินของแก เป้าหมายต่องานที่ทำ และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์จับต้องได้จริงคือ แกเขียนหนังสือรวมผลงานเรื่องราวของป่าออกตีพิมพ์เผยแพร่มาแล้ว 5-6 เล่ม เป็นที่ยอมรับของสำนักพิมพ์และบรรดานักอ่านที่ชื่นชอบสไตล์การเขียนที่ใช้ภาษาง่ายๆ อ่านแล้วเข้าใจในเรื่องราวของป่า คุณค่าของป่าที่มีนานัปการ ซึ่งในวงการนักเขียนเองน้อยคนที่จะมาจับแนวเขียนเรื่องราวของป่าเพราะมันต้องอิงข้อมูลจากนักวิชาการป่าไม้ และประสบการณ์จริงในป่า ผมจึงยกระดับเป็นให้ความนับถือแกและเรียกแกว่า อาจารย์เหมือนที่คนอื่นๆเขาเรียกกันโดยไม่ตะขิดตะขวงใจอีกต่อไป
ทุกวันหลังจากเซ็นชื่อทำงานกันแล้วผมมักจะมานั่งคุยกับแกถึงเรื่องราวต่างๆในสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละวันทั้งในอดีตและปัจจุบัน ได้รับรู้สัมผัสแนวคิดของอาจารย์มากขึ้นทุกวัน และแกจะเป็นนักฟังที่ดีคือรับฟังเรื่องราวทุกเรื่องที่ผมเล่าให้ฟัง บางทีผมเองก็ต้องเตือนตัวเองในใจว่า เราพูดมากเกินไปหรือเปล่า? กลัวแกเบื่อที่จะฟัง นั่นเป็นการผิดหลักของคู่สนทนาที่ดี ตามวิชาการ บวกกับนิสัยส่วนตัวที่จะต้องรู้และปรับตัวใช้ในสังคมเพื่อจะได้เป็นนักสนทนาที่ดี คือการเป็นผู้ฟังที่ดี คือต้องตั้งใจฟังและโต้ตอบด้วยทั้งวัจนะภาษาคือการพูดจาโต้ตอบในเรื่องราวที่กำลังพูดคุยกัน หรือโต้ตอบทางอวัจนะภาษาคือภาษากาย เช่น สายตาจ้องมองผู้เล่าด้วยความสนใจ สบตาตามโอกาส อันนี้ก็สอนกันไม่ได้ ต้องเป็นไปด้วยนิสัย ซี่งอาจารย์อำนวย แกมีครบถ้วน ผมจึงไม่แปลกใจว่า ทำไมทุกคนถึงชอบที่จะมาพูดคุยกับแก
มีผู้คนที่มีชื่อเสียงในสังคมมากมายที่แกรู้จัก มักคุ้น เช่น คุณวิกรม กรมดิษฐ์ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จติดอันดับต้นๆของประเทศคนหนึ่ง เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซึ่งอาจารย์เคยพาผมไปรู้จักกับคุณวิกรม มาแล้วเมื่อตอนที่คุณวิกรมแกเปิดตัวออกเดินทางโดยรถมอเตอร์โฮมที่สั่งทำขึ้น 3 คัน และมีรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้ออีกสองคันรวมทั้งรถมอเตอร์ไซด์วิบากและจักรยานเสือภูเขา เป็นการเปิดตัวหลังจากที่แกประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ และเก็บตัวอยู่ที่เขาใหญ่นานนับสิบปี เขียนหนังสือ เรื่องราวต่างๆตามประสบการณ์ของผู้ประสบผลสำเร็จเพื่อเป็นวิทยาทานให้กับผู้คนทั่วไปได้ศึกษาที่โด่งดังและผู้คนติดตามและรู้จักชีวิตคุณวิกรม กรมดิษฐ์ คือหนังสือ ผมจะเป็นคนดีตอนไฟฝันวันเยาว์ ซึ่งทำเป็นละครโทรทัศน์ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. แสดงนำโดยชาคริต แย้มนาม แสดงเป็นคุณวิกรม นิรุตต์ ศิริจรรยา แสดงเป็นพ่อคุณวิกรม คุณอุทุมพร ศิลาพรรณ แสดงเป็นแม่คุณวิกรม เป็นเรื่องราวชีวิตของคุณวิกรมกว่าจะมาเป็น วิกรม กรมดิษฐ์ในวันนี้ ปัจจุบันคุณวิกรม เป็นสุดยอดนักธุรกิจคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ คุณวิกรมได้วางระบบงานเอาไว้ให้น้องๆได้สานต่อ รวมทั้งบุคลากรในบริษัทดูแลเกือบทั้งหมด และหันมาใช้ชีวิตแบบสมถะเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความเป็นเอกบุคคล เก็บตัวเขียนหนังสือถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตให้หลายคนยึดเอาคุณวิกรมเป็นไอดอล ผมได้มีโอกาสได้สัมผัส พูดคุยกับคุณวิกรม กรมดิษฐ์ อย่างใกล้ชิด นั่งกินข้าวด้วยกัน ก็ด้วยบารมีของอาจารย์อำนวยนี่แหล่ะ
หลายครั้งที่เดินไปไหนมาไหนกับแกมักจะมีบรรดาลูกศิษย์เมื่อครั้งที่แกยังเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนป่าไม้แพร่ หรือติดตามผลงานหนังสือของแก หรืออ่านจะนับถือเป็นการส่วนตัวก็ตาม มากหน้าหลายตา เข้ามาทักทาย สวัสดีอาจารย์ สบายดีไหมครับ? อาจารย์อยู่ที่ไหนตอนนี้ หลายคนอึ้งและงง กับตำแหน่งและสังกัดของอาจารย์ จากอาจารย์สอนนักเรียนป่าไม้แพร่ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมเขาใหญ่ ใยปัจจุบันจึงมาเป็นเพียงข้าราชการธรรมดาๆ ประจำกลุ่มผลิตสื่อ ส่วนประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ ที่ใครๆหลายคนอาจจะนึกไม่ออกว่าทำอะไร ใครเป็นผู้อำนวยการ
แกบอกกับผมและทุกคนว่า แกอยากจะมาอยู่ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ฯตั้งนานแล้ว เพื่อที่จะสร้างงานเขียนของแกให้ได้เต็มที่ตามที่แกต้องการ ด้วยต้องการที่จะฝากผลงานการเขียนเรื่องราวของป่าไม้เอาไว้บนผืนแผ่นดินนี้ เพราะนักเขียนที่เขียนเรื่องราวของป่านั้นหายากจริงๆ ในปัจจุบัน เราอยู่กรมอุทยานฯ กรมป่าไม้เองมีโอกาสมากกว่าใครๆ นักเขียนชื่อดังหลายคน บอกแกว่า อำนวย ใครเขาจะเขียนเรื่องของป่า เข้าป่ายังไม่รู้จักต้นไม้สักต้นเลยก็เห็นต้นไม้มันเหมือนกันหมด มันต้องอำนวยนั่นแหล่ะเหมาะที่สุดแล้ว
ทุกเช้าหรือทุกเวลาที่ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับแกถึงเรื่องราวของกรมอุทยานและกรมป่าไม้ก็ตามมักจะเต็มไปด้วยปัญหาและจุดบอดขององค์กรที่เราสังกัดกันอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วเราในฐานะสื่อหนึ่งเราจะต้องทำอย่างไร ที่จริงเราได้เริ่มงานกันไปบ้างแล้ว ตามหน้าที่ของแต่ละคนตามที่เราฟอร์มทีมกันขึ้นมา คือแยกเป็นสื่อแต่ประเภท คือ โทรทัศน์มีพี่หมงรับผิดชอบ งานวิทยุกระจายเสียงผมเป็นคนรับผิดชอบ และงานเขียนหนังสือเป็นหน้าที่ของอาจารย์อำนวย โดยเราจะกำหนดเรื่องราวหลักๆที่จะนำเสนอแล้วกำหนดประเด็นในรายละเอียดของเรื่องที่เราจะนำเสนอ โดยเราทำงานกันเป็นทีมเดียวกัน ไปนั่งคุย สัมภาษณ์แหล่งข้อมูลด้วยกัน โทรทัศน์ก็ถ่ายทำ วิทยุก็อัดเสียงสัมภาษณ์ไป หนังสืออาจารย์ก็มาเขียนของแก ซึ่งงานทุกอย่างก็กำลังดำเนินไป และปัจจุบันก็กำลังจะสร้างจุลสารฉบับใหม่ที่เขียนโดยพวกเราเอง โดยมีอาจารย์แกเป็นบอกอใหญ่ ผมเองก็จะรับผิดชอบเรื่องราวที่ผมไปสัมภาษณ์วิทยุฯมาเขียนลงคอลัมภ์เช่นเดียวกัน ฉบับแรกยังไม่ทันออกเลย ก็กะกันว่าจะให้ออกในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 นี้ แต่แล้ว เหมือนฟ้าผ่าลงตรงกลางใจของผมกับพี่หมง คือ คำสั่งกรมอุทยานฯให้อาจารย์อำนวยย้ายไปเขาใหญ่ในวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555
ณ วันที่ผมเขียนบทความนี้ อาจารย์แกคงย้ายไปประจำอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เรียบร้อยแล้ว เพราะผมต้องเดินทางไปเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตั้งแต่วันที่ 1-10 กุมภาพันธ์ 2555 กำหนดผมเข้าทำงานวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 จากนี้ตอนเช้าทุกวันผมก็ไม่มีอาจารย์ให้ปรับทุกข์สุข พูดคุย สรวลเส เฮฮา ปนสาระ อีกแล้วสิ แย่จัง
แต่สิ่งที่แย่กว่านี้ยังมีอีกมากมาย แล้วจะเล่าให้ฟังในตอนต่อไป ว่าทำไมอาจารย์อำนวย ถึงต้องไปเขาใหญ่?