ลาเอนาตูเป็นรีสอร์ทขนาดเล็กครับ มีห้องพักแค่ 10 ห้องเท่านั้นโดยแบ่งเป็น 3 โซนคือ
Tropical Village อยู่ในโซนทุ่งนา ไม่ติดชายหาดมี 4 หลัง แต่ละหลังสร้างเป็นบ้านใต้ถุนสูงแบบบ้านชาวนา
Tropical Cottage เป็นวิลล่าส่วนตัวอยู่หน้าชายหาดมี 3 หลัง แต่ละหลังสร้างแบบบ้านชั้นเดียวเหมือนของชาวประมง
Loft Suite และ Vanilla Suite ที่ผมเข้าพัก เป็นบ้านพัก 2 ชั้นอยู่ติดกัน 3 ห้องสร้างแบบโมเดิร์น ด้านหน้าติดชายหาด
ห้องวานิลลาเป็นห้องที่มีราคาแพงที่สุดในจำนวนห้องพักทั้งหมดฮะ
ในห้องมีลักษณะเป็น 2 ชั้นครับ เดินเข้าประตูมาก็จะเห็นแบบนี้
บันไดทางลงเงาวับมากๆเดินไม่ดีถึงขั้นลื่นกันเลยทีเดียว 555
ชั้นล่างเป็นส่วนห้องนั่งเล่นครับ ที่ห้องนี้แพงสุดเพราะเป็นห้องเดียวที่มี pool อยู่ในห้อง
กลางห้องมีกระเช้าให้นั่งเล่นด้วยฮะ ห้องใหญ่ทีเดียว
มีเครื่องเล่นเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ให้ครบครันฮะ
เป็นห้องที่มี 2 ห้องน้ำบน-ล่างฮะ
la a natu มาจากภาษาฝรั่งเศสที่เขียนว่า L'art et Nature ซึ่งแปลว่า "ศิลปะกับธรรมชาติ" ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นมุมต่างๆของห้องหรือรีสอร์ทมีการผสมผสานเรื่องของศิลปะ ความเป็นพื้นเมือง ธรรมชาติเข้าด้วยกัน เหมือนเราได้เห็นสุ่มไก่นี้อยู่ในสวนเล็กๆกลางห้อง
หน้าห้องน้ำมีชั้นวางข้าวของเครื่องใช้ต่างๆไว้ให้ครบครันตามมาตราฐานโรงแรมฮะ
ภายในห้องน้ำ
เดินขึ้นบันไดไปดูด้านบนบ้างครับ จะมีส่วนของอาคารแยกออกไปอีกส่วนนึงด้านหน้าโดยเชื่อมกันด้วยสะพานฮะ เปิดห้องเข้าไปก็จะเจอกับห้องนอน
มีโทรทัศน์และเครื่องเล่นดีวีดีเล็กๆไว้ให้ด้วย
อย่างที่เคยบอกไว้ในรีวิวของที่นี่คราวที่แล้วว่าเตียงนอนของที่นี่นุ่มมากถึงชนิดที่เรียกได้ว่าดูดวิญญาณกันเลยทีเดียว ความรู้สึกคราวนี้ก็ไม่จ่างจากเดิมครับ
ห้องน้ำด้านบนจะเล็กกว่าด้านล่างนิดหน่อยฮะ
มีห้องอาบน้ำแยกส่วนออกไปด้วยนะครับ
ห้องด้านบนก็จะมีประมาณนี้ครับ เตียงนอนที่นี่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเลิกใช้เตียงเปลี่ยนมาวางที่นอนเป็นฟูกแบบนี้อยู่พักใหญ่ๆเลยฮะ
ด้านล่างบริเวณสระว่ายน้ำส่วนตัวยังมีอ่างจากุซซี่อยู่ด้วยนะครับ เดี๋ยวไว้กลางคืนผมค่อยมาลง
ช่วงเย็นๆมีมื้อพิเศษให้คุณแฟนหน่อยนึงครับ จัดที่นั่งพิเศษให้เลยฮะ
อาหารมื้อกลางวันจัดเต็มไปหน่อยมื้อเย็นเลยทานกันเบาๆนิดนึงฮะ
นำมาด้วยแกงปูที่ทำมาแบบเขียวหวานเนื้อปูตรงส่วนกรรเชียงใส่มาเต็มชาม เสิร์ฟมากับเส้นหมี่ปั้นมาเป็นก้อนพอดีคำ
จานที่สองเป็นเมนูพิเศษของลาเอนาตูเลยล่ะครับ จานนี้เป็นถั่วผักยาวผัดกับหมูสามชั้นที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วคั่วจนกรอบ ดูง่ายๆแต่พอทานกับข้าวสวยร้อนๆแล้วอร่อยมากทีเดียวฮะ
จานสุดท้ายเป็นฉู่ฉี่กุ้งรสจัดจ้านทานกับข้าวสวยอร่อยอีกแล้ววว 555
คิดถูกที่ไม่ออกไปหาอะไรข้างนอกทานฮะ อาหารที่นี่อร่อยทีเดียว
ทานอาหารกันจนอิ่มนั่งหนุงหนิงกันซักพักก็ได้เวลาของหวานกันต่อแล้วครับ
ขอเปลี่ยนโต๊ะหน่อยเพราะรู้สึกลมจะเริ่มแรงไปนิด ขยับเข้ามานั่งใกล้ๆล็อบบี้นิดนึง (ฝูงไก่ที่ใครๆที่เคยมาทีนี่ต้องจำได้)
ขนมหวานที่นี่ขึ้นชื่อลือชามากๆฮะ ใครมาที่นี่แล้วไม่ได้ทานขนมหวานหรือชายามบ่ายของที่นี่ถือว่ามาไม่ถึง ขนาดบางคนไม่ได้พักที่ลาเอนาตูยังขอแวะมาทาน afternoon tea กันเยอะแยะฮะ
จานแรกผมสั่งพานาคอทต้ามาทานฮะ
จานที่สองคุณแฟนสั่งเค้กมะพร้าวมาทาน (ผมว่าอร่อยกว่าร้านดังที่หัวหินอีกนะฮะ)
สุดท้ายเป็นเมนูที่ถูกกล่าวขานกันมากที่สุดแล้วของที่นี่และถ้ามาแล้วไม่สั่งทานถือว่าผิด!! สโคนนนนนฮะเสิร์ฟมาแบบร้อนๆจากเตาเลยทีเดียว
เมื่อของหวานมาครบความอร่อยก็เริ่มขึ้นและจบหลังจากนั้นไม่นาน ...
อิ่มแล้วก็พาชมบริเวณรีสอร์ทกันดีกว่า ฉากในละครหลายๆฉากก็ถ่ายทำอยู่ในรีสอร์ทนี่ล่ะครับ
เริ่มจากจุดแรกที่เราต้องเดินผ่านเข้ามาที่ตัวรีสอร์ท สะพานไม้ไผ่ฮะ
ช่วงค่ำๆก็จะมีการเปิดไฟสวยงาม
สำหรับลูกค้าที่อยากจะเล่นน้ำในสระ(ซึ่งห้องที่ผมพักมีอยู่แล้ว) ทางรีสอร์ทก็มีสระว่ายน้ำให้เล่นได้ด้านบนของล็อบบี้ฮะ เดินขึ้นบันไดไปนิดก็เจอแล้ว
เล่นน้ำไปชมพระอาทิตย์ตกไปด้วยชิลล์สุดๆ เนื่องจากรีสอร์ทอยู่ฝั่งอ่าวไทยเพราะฉะนั้นเวลาพระอาทิตย์ตกจึงไปตกฝั่งหลังรีสอร์ทฮะ
ล็อบบี้โดดเด่นด้วยลักษณะการสร้างที่ตั้งใจให้เหมือนลอมฟางขนาดใหญ่
การตกแต่งสไตล์พื้นถิ่นผสมผสานกับโมเดิร์นยิ่งทำให้ที่นี่สวยแปลกตา
จากล็อปบี้มีทางเดินลงมาที่ชายหาดด้านล่าง ด้านขวามือเป็นอาคารที่พักโซน Loft Suite 2 ห้อง และ Vanilla Suite ที่ผมพัก 1 ห้อง ห้องวานิลลาจะอยู่ขวาสุดของตึกเลยฮะ
ซ้ายมือของบันไดทางลงจะเป็นห้องอีกโซนนึงชื่อว่า Tropical Cottage ห้องพักแบบวิลล่าหน้าหาด 3 หลังเรียงกัน
รูปนี้ถ่ายจากชายหาดหน้ารีสอร์ทฮะ (ดาวระยิบระยับเป็นประกาย)
ก่อนนอนขอแช่น้ำในจากุซซี่ซะหน่อย หลังจากเมื่อตอนบ่ายๆโดดลงสระถัดไปมาแล้ว
เปิดให้สีหมุนวนไปเรื่อยๆสร้างบรรยากาศ
แช่เสร็จรีบอาบน้ำนอนเพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้ตั้งใจจะมาเก็บไข่แดงตอนเช้า
ขึ้นมาบนห้องมีแม่บ้านขึ้นมา turndown เตียงให้เรียบร้อยเหมือนเคย พร้อมตุ๊กตาควายมัสคอตของรีสอร์ทฮะ
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตั้งนาฬิกาปลุกตื่นแต่เช้า
คราวที่แล้วที่มาก็มารอพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกัน แต่ว่าได้เห็นไข่แดงเดี๋ยวเดียวเอง คราวนี้ได้เห็นเต็มๆตาเลยครับ
พระอาทิตย์ขึ้นมาพร้อมๆกับชาวประมงที่กลับเข้าฝั่งหลังจากออกไปหาปลาหาหมึกมาตลอดทั้งคืน นี่คือวิถีชีวิตที่เราจะพบเห็นได้ตามริมทะเลในช่วงเช้าๆฮะ
บรรยากาศยามเช้าหน้ารีสอร์ท
ที่ลาเอนาตูมีความพิเศษอยู่อยางนึงครับ ที่นี่เป็นรีสอร์ทเพียงแห่งเดียวในบริเวณนี้เพราะฉะนั้นชายหาดจะเงียบมาก เช้าๆแบบนี้บรรยากาศดีสุดๆ
เก้าอี้ยาวตัวเดิม บรรยากาศเดิมๆ ที่หลายๆคนที่เคยมาที่นี่ยังคงคิดถึงอยู่เสมอ
ผมเป็นคนชอบใช้เวลาในช่วงเช้าหรือเย็นที่มีแสงแดดอ่อนๆในการถ่ายรูปเวลาไปเที่ยวในทริปต่างๆ
ชอบเก็บบรรยากาศกับแสงสวยๆ เมื่อเวลาที่กลับมาเปิดรูปดูในวันหลังมันทำให้คิดถึงบรรยากาศดีๆนั้นฮะ
ลงไปเดินดูชายหาดกันบ้างฮะ อย่างที่บอกว่าชายหาดตรงนี้เงียบสงบมากเพราะลาเอนาตูเป็นรีสอร์ทเพียงแห่งเดียวบริเวณนี้ เพราะฉะนั้นยังถือว่าหาดที่นี่ยังคงสดอยู่มากฮะ
แถวปราณบุรี และสามร้อยยอดขึ้นชื่อเรื่องชายหาดที่ราบเรียบเวลาน้ำลงเราจะเห็นหาดกว้างมากๆ เห็นแล้วคิดถึงเพื่อนๆที่เคยมาเตะบอลพลาสติกเล่นกันอยู่แถวๆนี้เมื่อนานมาแล้วเลยฮะ
อย่างที่บอกว่าที่นี่ยังสด อีกอย่างที่ทำให้มั่นใจในคำพูดของผมคือเปลือกหอยเหล่านี้ที่ยังมีอยู่เต็มหาด
ถ่ายย้อนกลับไปหน้ารีสอร์ท
สำหรับคนที่ชอบเล่นน้ำทะเล ขึ้นมาก็สามารถมาล้างตัวตรงหน้ารีสอร์ทได้ฮะ
พื้นที่ด้านล่างทั้งหมดที่ผมพาไปชมตะกี้ ถูกสงวนสิทธิ์ไว้ให้สำหรับลูกค้าที่เข้าพักกับทางรีสอร์ทเท่านั้นฮะ คนที่มาทานอาหารหรือชายามบ่ายก็ไม่สามารถลงไปด้านล่างได้ เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพักฮะ
มัสคอตที่ใครๆที่เคยมาที่นี่ยังคงนึกถึง และเห็นภาพแค่หางตาก็รู้ว่าอยู่ที่ไหน
บริเวณล็อบบี้ที่ช่วงเช้าจะถูกจัดให้เป็นห้องอาหารเช้าด้วย แต่ตอนนี้ยังเช้าไป ไปชมส่วนอื่นๆกันก่อน
ข้างๆล็อบบี้มีบันไดเดินลงไปข้างล่าง ลงมาก็จะเป็นพื้นที่ของผู้เข้าพักฮะ จะมีป้ายติดบอกไว้หลายป้ายเลย
ทางเดินออกไปหน้าหาดและห้องพักโซน Tropical Cottage ซึ่งวันเดียวกับที่ผมเข้าพักมีลูกค้าเข้าพักเต็มทั้ง 3 หลังเลยไม่ได้ถ่ายรูปบริเวณนั้นมาให้ชมฮะ
ทางเดินไปห้องพักโซน Tropical Village
บ้านพักโซนนี้จะอยู่มาทางด้านหลังของโซน Tropical Cottage ฮะ เป็นโซนที่ไม่ติดหาด แต่จะอยู่กลางทุ่งนาขั้นบันไดที่ทางรีสอร์ทปลูกเอาไว้
บันไดไม้ไผ่ด้านบนที่เราเดินเข้ามาที่รีสอร์ทสร้างขึ้นก็เพื่อคล่อมทับนาขั้นบันไดเนี่ยล่ะครับ
ข้าวที่ได้จากการปลูกเอาไปไหนรู้มั๊ยฮะ .. เมื่อมื้อเย็นวานผมก็ทานเข้าไปแล้ว แล้วเดี๋ยวมื้อเช้าผมก็จะได้ทานข้าวจากนานี้อีก
แล้วก็ได้เวลาอาหารเช้ากันแล้วฮะ .. ที่นี่ผมจำได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแห่ง ที่ผมประทับใจกับอาหารเช้ามากๆ ทั้งๆที่เป็นอาหารเช้าแบบ a la carte คือให้เลือกตามรายการที่มี
เริ่มเสิร์ฟชา-กาแฟ เลือกได้กระทั่งอยากได้ชาอะไร
เราสามารถเลือกเองได้ว่าอยากได้อะไร แฮม ไส้กรอก เบค่อน เครื่องเคียงอะไรเอาไม่เอา เราสั่งเองได้หมด
ข้าวหมูกระเทียมหรือไก่ ข้าวต้มก็มี ไหนจะข้าวไข่เจียว เลือกสั่งได้ด้วยว่าจะรับข้าวน้อยมั๊ย
ขนมปัง วัฟเฟิล เฟรนโทส แพนเค้ก ทานกับซอสอะไรสั่งได้ ซีเรียลทานกับนมสดหรือโยเกิร์ต ทุกอย่างเราเลือกเองได้เป็นปลื้มมากๆ
สลัดหรือผลไม้ก็ตักเอาได้ตามสบาย
บทสรุป ..
la a natu bed & bakery เป็นรีสอร์ทที่เหมาะมากๆสำหรับคู่รัก เป็นที่ๆเราสามารถสามารถหลบหนีความวุ่นวายทั้งหลายในชีวิตได้จริงๆ ด้วยรีสอร์ทที่มีห้องพักแค่ 10 ห้อง และเป็นรีสอร์ทที่อยู่แยกออกมาจากรีสอร์ทอื่นๆทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง ห้องพักยังคงรักษาสภาพได้ดีเยี่ยมเหมือน 2 ปีก่อนที่ผมไปพักมาเลย บางจุดอาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เงียบสงบ ชายหาดมีความเป็นส่วนตัวสะอาดและไม่อันตราย
อาหารเช้าเป็นแบบสั่งตามเมนูแต่ก็ทานได้ไม่อั้นสั่งได้หลายอย่าง ใช้วัตถุดิบชั้นดี เบเกอรี่อร่อยมากหลายๆอย่าง(วัดจากที่มาทานครั้งก่อนด้วย) คนที่ไม่ได้เข้าพักก็สามารถมาทานได้เช่นกัน
ข้อเสียของที่นี่คงจะเป็นเรื่องของการติดต่อสื่อสาร คงเพราะอยู่ใกล้ภูเขาทำให้บริเวณรีสอร์ทแทบจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ(เอไอเอสและดีแทค) สัญญาณอินเตอร์เน็ตมีเฉพาะบริเวณล็อบบี้ (ถ้าคิดในแง่ดีก็จะได้หลีกหนีทุกๆอย่าง ไม่ต้องติดต่อโลกภายนอก) ที่เหลือผมว่าที่นี่เหมาะมากที่จะมาพักผ่อนแบบจริงจังครับ
ขอบคุณมากๆที่ติดตามรับชมจนจบครับ ในรีสอร์ทมีหลายมุมที่ปรากฎอยู่ในละครมนต์จันทรา หลายๆคนคงได้รู้แล้วว่ามาถ่ายทำที่รีสอร์ทแห่งนี้ ตัวผมได้ดูบ้างไม่ดูบ้างก็เลยไม่กล้าที่จะอธิบายว่าฉากนี้ถ่ายตรงนั้นตรงนี้ แต่สำหรับแฟนๆละครคงนึกกันได้นะครับ
ฝากติดตามแฟนเพจผมได้ที่
https://www.facebook.com/travelholicbigboy นะครับ