เส้นทางแห่งความสุขสนุกแบบ 3 พ. " ท่องเขาค้อ ภูหินร่องกล้า ภูลมโล ภูทับเบิก บึงสีไฟ "

วันนี้ ArounD มาในแนวที่ไม่ค่อยจะคุ้นตากันซักเท่าไหร่อีกแล้วฮะ ที่ว่าไม่คุ้นเพราะส่วนใหญ่ผมจะพาไปพักตามโรงแรม รีสอร์ทต่างๆกัน ส่วนวันนี้ผมจะพาไปเที่ยวกันในอีกรูปแบบที่นานๆผมจะเอามารีวิวซักทีฮะ

ชื่อรีวิวอ่านแล้วคงงงๆกันพอสมควรว่าอะไรหว่า 3 พ. ที่บิ๊กบอยหมายถึง 3 พ. ที่ผมพูดถึงหมายถึง 3 จังหวัดอันได้แก่ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก พิจิตร ฮะ จังหวัดที่ขึ้นต้นด้วย พ.พาน 3 จังหวัดที่อยู่ส่วนกลางของด้ามขวานทองของไทยเราเป็นจังหวัดที่มีอะไรให้เที่ยวเยอะแยะเลยฮะ ยิ่งช่วงเดือนที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ที่ความเย็นจากจีนแผ่ลงมายังประเทศไทยทำให้อากาศทางตอนเหนือของประเทศกำลังเย็นสบาย นี่เป็นอีกหนึ่งเส้นทางน่าเที่ยวที่ผมอยากแนะนำครับ 



มาเรีย ณ ไกลบ้าน เพิ่งจะรีวิวเส้นทางนี้ไปคร่าวๆตามรีวิวป้าเค้าบอกว่าเค้าขับวนขวา .. ถ้าอย่างนั้นรีวิวนี้ของผมก็คงเรียกได้ว่าเป็นการขับวนซ้ายเป็นวงกลมเหมือนกันนะครับ

ทริปของผมเป็นทริปที่ไปมาก่อนปีใหม่ไม่กี่วัน โดยในทริปนอกจากผมและผบ.ทบ.แล้ว ก็มีผู้ร่วมเดินทางรับเชิญอีก 2 คนคือป้ามาเรีย ณ ไกลบ้าน กับน้อง CX gal คนบีพีนี่ล่ะครับ จริงๆทริปนี้แพลนกันมาพักใหญ่แล้วโดนเป้าหมายหลักของทริปคือจะไปตามล่า "ดอกนางพญาเสือโคร่ง" กันที่ภูลมโล ซึ่งเดี๋ยวคงได้เห็นกันในรีวิวต่อไป

ขออนุญาติแอบก๊อปรูปในรีวิวป้ามาเรียมาให้ดูกันด้วยว่าเส้นทางที่เราเดินทางกันไปนี้เดินทางกันประมาณไหน



การเที่ยวใน 3 จังหวัดนี้ถ้าเราจัดเส้นทางดีๆและมีเวลาซัก 5 วันเราจะเที่ยว 3 จังหวัดที่ว่านี้ได้สบายๆเลยฮะ สำหรับผมมีเวลาแค่ 3 วัน 2 คืนก็เลยเที่ยวจริงๆแค่ 2 จังหวัดคือเพชรบูรณ์กับพิษณุโลก ส่วนพิจิตรขออนุญาตเอารูปที่เคยไปเที่ยวเมื่อ 2-3 เดือนก่อนมาใส่เอาไว้ด้วยเพราะตอนแรกไม่ได้กะว่าจะรีวิวครับถือเป็นโอกาสพอดี

จะว่าไปผมก็ขับรถวนซ้ายเป็นวงกลมสลับกับรีวิวป้ามาเรียเค้าจริงๆ จุดหมายแรกของผมคือ เขาค้อ แล้วต่อไปนอนที่ภูหินร่องกล้า เช้าวันต่อมาเที่ยวภูลมโล แล้วไปค้างคืนที่ 2 ที่ภูทับเบิก วันที่ 3 ก็กลับกรุงเทพฯ ไปดูรายละเอียดทริปกันดีกว่าฮะ

ผมเลือกจะเริ่มทริปด้วยการออกจากกรุงเทพฯในช่วงตี 1 เพื่อที่จะได้ไปเช้าที่เขาค้อพอดี ผมเลือกใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-สระบุรี ก่อนถึงสระบุรีจะมีถนนเลี่ยงเมืองเพื่อไปลพบุรี เส้นนี้เราสามารถขับไปออกทางหลวงหมายเลข 21 ที่จะพาเราไปถึงเพชรบูรณ์ได้ สรุปว่าด้วยความที่ถนนโล่งมากเพราะขับช่วงดึกผมเลยไปถึงเขาค้อเอาตอนตี 5 พอดี แต่ก็พอดีกันกับที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็เลยของีบในรถรอเวลาเช้ากันก่อน อากาศในเช้าวันนั้นที่เขาค้อต่ำสุดที่มิเตอร์ในรถผมวัดได้คือ 4 องศาครับ เรียกว่าหนาวจัดเลยทีเดียว

ตั้งปลุกไว้ 6 โมงครึ่งเพื่อมาลุ้นทะเลหมอก ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่ามาช่วงนี้ลุ้นยากเพราะหนาวจัดและมีลมตลอดเวลา สรุปก็ไม่มีทะเลหมอกอย่างที่คิดจริงๆ 



ผมจอดรถเอาไว้ตรงจุดชมวิวครับ ผู้คนมากมายทยอยมาชมวิวยามเช้าของเขาค้อกันเต็มไปหมดจนที่จอดรถริมทางแน่นขนัดไปทีเดียว 





วิวตรงนี้เราจะเห็นมุมกว้างๆเลยฮะ มีอ่างเก็บน้ำรัตนัยอยู่ด้านล่าง



ด้านล่างมีไร่สตรอว์เบอร์รี่ที่ชาวบ้านปลูกเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวเดินดูด้วยครับ ลูกกำลังออกเลย 







ตรงจุดชมวิวนี้มีร้านขายอาหารและของที่ระลึกหลายร้านครับ เช้านี้เราก็เลยฝากท้องไว้แถวนี้กันก่อนที่จะเดินทางต่อ









เขาค้อนี้สมัยก่อนเคยเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังของคอมมิวนิสต์ที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารของรัฐบาลไทย มีการสู้รบกับกองทัพไทยหลายหน จนกาลเวลาผ่านไปเมื่อความขัดแย้งหมดสิ้นไปที่นี่จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เราสามารถเข้าไปชมความสวยงามของภูมิประเทศได้

เมื่อขับรถเลยจากจุดชมวิวมานิดหน่อยจะมีเจดีย์ตั้งอยู่ เจดีย์นี้มีชื่อว่า "พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานไว้ เนื่องจากสมัยก่อนมีการสู้รบของคนไทยด้วยกันเองจนเกิดการล้มตายจำนวนมาก เมื่อการสู้รบยุติ จึงสร้างเจดีย์นี้ไว้เพื่อให้คนแถวนี้ได้สักการะบูชา



หลังจากนั้นผมตั้งใจจะไปชม " ทุ่งแสลงหลวง " กันครับ เลยจากพระบรมธาตุเจดีย์มานิดหน่อยจะมีทางให้เลี้ยวซ้ายไปที่ทุ่งแสลงหลวง ระหว่างทางเป็นบ้านคนสลับกับทุ่งหญ้ามองวิวไปเพลินๆเหมือนกัน ช่วงที่ไปเป็นช่วงเช้า หญ้าโดนน้ำค้างระยิบระยับกับแสงแดดจนอดไม่ได้ที่จะจอดรถลงไปเก็บภาพ











ทางเข้าทุ่งแสลงหลวงไม่ได้ยากครับ มีป้ายบอกทางเข้าชัดเจน ที่จริงสามารถเข้าได้ 2 ทางฮะทั้งทางเส้นเขาค้อนี้กับทางเส้นทางหลวงหมายเลข 12 ด้วยอีกทางครับ

เมื่อมาถึงจะเป็นที่ทำการอุทยานฯครับ " ทุ่งแสลงหลวง " เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ มีฉายาว่า " ทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย "





เนื่องจากมาภูมิประเทศเป็นเนิน มีป่าหลายชนิด รวมถึงสัตว์ป่าที่ชุกชุม การเที่ยวชมถ้าแค่มาอยู่บริเวณที่ทำการอุทยานฯไม่ต้องเสียค่าเข้าชมครับ แต่ถ้าจะเข้าไปด้านในก็ต้องเสียค่าเข้าอุทยานฯตามปกติ ผมไม่มีเวลาเที่ยวมากนักก็เลยเลือกที่จะเดินเล่นอยู่แถวๆที่ทำการครับ ส่วนด้านในนั้นถ้าเข้าไปก็จะมีป่าสนให้เที่ยวชมซึ่งต้องขับรถเข้าไปทางถนนลูกรังประมาณเกือบ 20 กิโลได้ฮะ 







นอกจากที่อุทยานฯยังมีบ้านพักอยู่ถึง 10 หลังให้ใช้บริการอีกด้วย บ้านแต่ละหลังดูดีมากทีเดียวฮะหลังใหญ่โตน่าพักมาก ผมเองยังไม่เคยเห็นบ้านพักอุทยานที่ไหนดูดีแบบนี้เหมือนกัน 



หลังจากใช้เวลาซักพักก็ขับรถกลับมาตามทางเดิมฮะ จริงๆที่เขาค้อมีร้านกาแฟน่ารักๆอยู่หลายร้าน วันนี้มาแนะนำให้ร้านนึงครับ ร้านนี้ชื่อ"แทนรักทะเลหมอก"ฮะ เป็นร้านกาแฟที่เปิดเป็นที่พักด้วยครับ ร้านใหญ่โตและอยู่ในมุมสูงที่สามารถนั่งชมวิวสวยๆได้





มีสวนดอกไม้ให้เราได้ถ่ายภาพด้วย











นอกจากนี้เขาค้อยังมีที่ให้แวะเที่ยวอีกหลายจุดนะครับ ไม่ว่าจะเป็นพระตำหนักเขาค้อ หรืออนุสาวรีย์จีนฮ้อ อนุสรณ์สถานผู้เสียสละ ฯลฯ

จากตรงนี้เราเดินทางต่อกันครับ จุดหมายต่อไปคือวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ที่ตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 12 กันครับ

แต่ก่อนจะถึงก็แวะทานอาหารกลางวันกันก่อน ร้านนี้มีคนแนะนำเยอะครับ ร้าน"บ้านนายต๋อย" ไม่ใช่ครัวคุณต๋อยนะครับคนละอย่างกัน Smiley



อาหารแนะนำของที่นี่ป้ามาเรียบอกว่าเป็นแกงส้มฮะ แต่วันที่ไปปลาช่อนดันหมดเลยได้กินแกงส้มแป๊ะซะปลาคังแทนก็อร่อยจริงๆฮะ



ตามมาด้วยไก่ทอดเกลือ



ยำหมูยอ



และไข่เจียว



เมื่อมาถึงสามแยกแคมป์สนที่จะออกถนนหมายเลข 12 เลี้ยวขวาไปไม่ไกลก็จะถึงวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วครับ

วัดนี้เป็นวัดใหม่ที่สร้างขึ้นใหญ่โตและอลังการมากๆ วัดนี้ยังอยู่ในเขตของอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์นะฮะ

สิ่งที่ทำให้วัดนี้ดูอลังการมากๆคือวัสดุที่ใช้ในการตกแต่ง เท่าที่เห็นก็จะเป็นพวกกระเบื้องสี จานชาม เครื่องสังคโลก



เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้วเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุด้วยนะครับ 



วัดกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างต่อเติมครับ ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ คิดว่าถ้าสร้างเสร็จในทุกส่วนแล้วจะเป็นวัดที่ใหญ่โตแล้วสวยงามมากๆอีกวัดนึงในเมืองไทยเลยฮะ 



ไกลออกไปกำลังก่อสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์อยู่ หวังว่าเมื่อเสร็จแล้วจะได้กลับไปเยี่ยมอีกครั้งฮะ



ดูกันใกล้ๆสำหรับวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างที่เราเห็นระยิบระยับเวลาต้องแสงแดด 



นับว่าเป็นอีกหนึ่งที่ที่ควรแวะไปเที่ยวมากๆครับ

หลังจากนี้จะขับรถยาวๆกันนิดครับ เราจะเดินทางบนเส้นทางหมายเลข 12 กลับไปทางพิษณุโลก จริงๆผมว่าทางเส้นนี้น่าสนใจมากนะครับ เป็นการขับรถที่ดูมีความสุขมากๆ เพราะว่ารูท 12 นี่ขึ้นชื่อในเรื่องของความสวยงามของทิวทัศน์ข้างทาง เราสามารถมองเห็นเทือกเขาเพชรบูรณ์สลับซับซ้อนไปได้ตลอดทางที่ขับไปครับ

เสียดายที่ผมเป็นคนขับแล้วผู้โดยสารที่เหลือหลับกันหมด รวมไปถึงทางที่กำลังมีการขยายกันอยู่เลยทำให้ไม่สามารถแวะลงมาถ่ายภาพได้ เสียดายเหมือนกันฮะ

จุดหมายต่อไปคือ "ภูหินร่องกล้า" ฮะ ภูหินร่องกล้าขึ้นกับอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลกฮะ ขับรถมาตามรูท 12 จนถึงแยกเลี้ยวขวาไปอำเภอนครไทย ขับตามป้ายภูหินร่องกล้าไปเรื่อยๆพักใหญ่ๆก็ถึงครับ แน่นอนว่าที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติ เพราะฉะนั้นเราต้องแวะตรงด่านตรวจของอุทยานเพื่อจ่ายค่าเข้าอุทยานแห่งชาติกันก่อนด้วย ราคาสำหรับคนไทย ผู้ใหญ่คนละ 40 บาท และรถยนต์คันละ 30 บาทครับ



ขับรถขึ้นเขามาอีกซักพักก็จะถึงที่ทำการอุทยานครับ ช่วงที่ไปคนเริ่มเที่ยวเยอะเพราะอากาศหนาว บ้านพักของอุทยานเต็มตั้งแต่ที่โทรไปสอบถาม เพราะฉะนั้นคืนนี้เราจะนอนเต้นท์ของอุทยานฯกันครับ

เต้นท์ของอุทยานฯ ถูกกางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยใต้ร่มไม้สนครับ ค่าเต้นท์หลังละ 150 บาท ถ้าเอาเต้นท์มาเองก็เอามากางได้ครับ แต่ไม่แน่ใจว่าเสียค่ากางมั๊ย 



เมื่อจ่ายค่าเต้นท์กับเจ้าหน้าที่แล้วเราจะได้รับธงแดงมา 1 ผืนครับ เอาธงแดงมาปักไว้ที่เต้นท์เป็นการแสดงสัญลักษณ์ให้คนอื่นรู้ว่าเต้นท์นี้ถูกจองไว้แล้ว



สำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยก็สามารถมาเช่าได้จากเจ้าหน้าที่อุทยานฯครับ ทั้งแผ่นรองนอน ผ้าห่ม หลอดไฟให้แสงสว่าง มีให้ครบ ใครอยากชาร์ตไฟเครื่องมือสื่อสารต่างๆก็ไปชาร์ตที่เต้นท์เจ้าหน้าที่ได้ฮะ แต่ก็ต้องนั่งเฝ้าเองและให้เวลาจำกัดพอสมควร บริเวณแถวนี้มีสัญญาณโทรศัพท์นะครับ ห้องน้ำมีให้แต่ก็ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ฮะแต่ก็เรียกว่าสะดวกสบายทีเดียว

พักผ่อนซักพักก็ออกไปเที่ยวกันต่อครับ เราจะไปกันไม่ไกลฮะ จุดหมายคือ "ลานหินปุ่ม" ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากที่ทำการฯ ประมาณ 4 กิโลเมตรครับ

เมื่อจอดรถเสร็จเราต้องเดินเท้าต่อเข้าไปอีก 1,200 เมตรถึงจะถึงครับ ทางเดินก็ไม่ได้ลำบากมากนัก แต่สิ่งที่ควรเตรียมคือรองเท้าที่ใส่กระชับเช่นผ้าใบ หรือรองเท้ารัดส้น และน้ำดื่มครับ



ผู้ร่วมทริปทั้ง 3 เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว ทางเดินช่วงแรกสบายๆครับเป็นทางค่อนข้างราบ จะมีเดินลำบากบ้างก็ช่วงกลางไปแล้วที่อาจจะเดินขึ้นทางชันบ้างพอได้เหงื่อครับ ดีที่อากาศเย็นเลยไม่ได้ทำให้เหนื่อยมากเท่าไหร่

จุดแรกที่เรามาชมคือผาชูธงครับ เนื่องจากภูหินร่องกล้าเคยเป็นพื้นที่สีแดงที่ซ่องสุมกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ต่อสู้กับกองกำลังของรัฐบาลมาเป็นระยะเวลายาวนาน สมัยก่อนเมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์รบได้รับชัยชนะฝ่ายรัฐก็จะมีการชักธงแดงรูปฆ้อนเคียวขึ้นไว้บนเนินนี้เพื่อประกาศชัยชนะฮะ





ด้านบนสามารถมองเห็นวิวได้ไกลสุดลูกหูลูกตา เสียดายที่ช่วงอากาศหนาวหมอกจะลงเยอะจนมองไม่เห็นวิวสวยๆเท่าไหร่

โอเคครับ มาต่อกันคืนนี้ยังอีกยาวไกล ..

วิวข้างบนข้างๆธงนี่สามารถมองเห็นได้ทั่วบริเวณจริงๆฮะ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าอากาศเคลียร์ๆจะเห็นวิวสวยขนาดไหน



เดินไปก็ชมวิวไป .. ถ่ายรูปไป

ต้นไม้ใหญ่ๆเยอะมากฮะ มองดูแล้วรู้สึกสดชื่นจากอาการเหนื่อยขึ้นเยอะ





มาที่ลานหินปุ่มและลานหินแตกสิ่งที่เราต้องเห็นคือสะพานไม้แบบนี้เลยฮะ เนื่องจากภูมิประเทศเป็นลานหินที่แยกจากกันทำให้การเดินไม่สะดวกจึงต้องสร้างสะพานไม้แบบนี้มาเพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินได้สะดวกขึ้น



เดินมาจนถึงจุดที่เรียกว่าลานหินปุ่มแล้วฮะ จริงๆมันเป็นลักษณะของเปลือกโลกที่เกิดการสึกกร่อนทางธรรมชาติทำให้เกิดเป็นหินที่ปูดขึ้นมามีขนาดไล่เลี่ยกัน



ในอดีตบริเวณนี้ใช้เป็นที่พักฟื้นของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการรบกับฝ่ายรัฐ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทรวมไปถึงวิวทิวทัศน์ที่สวยงามฮะ



เราใช้เวลานั่งผ่อนคลายความเมื่อยล้ากันซักพักก็เดินทางกลับฮะ จริงๆตรงนี้เราก็สามารถนั่งรอชมพระอาทิตย์ตกได้นะครับ น่าจะสวยมากๆด้วย แต่ที่ต้องกลับออกไปก่อนเพราะเราจะไปที่ลานหินแตกกันต่อ



เราขับรถย้อนกลับมาตรงที่ทำการอุทยานฯ เลยไปอีกนิดจะเป็นทางเดินไปที่ "ลานหินแตก" ครับ ลานหินแตกมีระยะการเดินใกล้กว่าลานหินปุ่มนิดนึงฮะ แต่วิธีการเดินยากกว่าพอสมควร เมื่อเข้าไปถึงลานหินแตกที่อยู่ไม่ไกลจากที่จอดรถมากนักเราจะเห็นลักษณะของภูมิประเทศเป็นลานหินที่มีหินที่แตกตัวออกจากกันเป็นช่องเหว บางช่องก็ไม่ลึกมาก บางช่องก็เป็นเหวลึกต้องเดินข้ามสะพานไม้ที่ทำเอาไว้ให้ และต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินพอสมควร



รวมไปถึงพื้นทางเดินก็ไม่ค่อยราบเรียบเหมือนลานหินปุ่มเท่าใดนักเล่นเอาเดินระบมเท้าอยู่เหมือนกัน ดีว่าเป็นทางเดินกึ่งๆลงเขาเล็กๆเลยไม่ค่อยเหนื่อยมาก แต่ที่เหนื่อยเลยคือต้องรีบเดินเพื่อให้ไปทันพระอาทิตย์ตกที่ริมผา ซึ่งต้องเดินตามทางคดเคี้ยวอ้อมสะพานต่อเข้าไปอีกร่วม 400 เมตร ซึ่งสุดท้ายแล้วภาพพระอาทิตย์ตรงหน้าก็ปรากฎอยู่แค่นี้ .. ไปไม่ทันจนได้



ความมืดเริ่มมาเยือนถึงจะเตรียมไฟฉายไปแต่ก็ไม่อยากเสี่ยงกับรอยแตกของเปลือกโลกเท่าไรนัก ตัดสินใจว่าเดินกลับดีกว่า ถ้ามีโอกาสคงได้กลับไปแก้มืออีกครั้ง



ตื่นเช้าวันรุ่งขึ้นมาพร้อมกับความหนาวเหน็บ ล้างหน้าแปรงฟันคงเป็นสิ่งที่ทำได้แค่นั้นจริงๆเพราะอุณหภูมิเช้าวันนั้นคงไม่สูงไปกว่า 10 องศา

หลังจากซดมาม่าอุ่นๆเป็นมื้อเช้าเราก็รีบออกไปตามที่เรามีนัด วันนี้ถือเป็นไฮไลท์ของทริปฮะ อย่างที่บอกว่าทริปนี้ตั้งขึ้นเพราะผมอยากไปล่าดอกนางพญาเสือโคร่ง วันนี้ผมจะได้เจอเสือที่ผมตามหาแล้ว

7 โมงเกือบครื่งผมเดินทางมาถึง "บ้านร่องกล้า" หมู่บ้านของชาวม้งที่เคยเป็นแนวร่วมของพรรคคอมมิวนิสต์ในอดีต บ้านร่องกล้าอยู่ห่างออกไปจากที่ทำการอุทยานประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร มีคนบอกกับผมก่อนไปว่าที่บ้านร่องกล้า .. หนาวมาก คงจริงอย่างที่ว่าเมื่อเหลือบไปมองหน้าปัดบอกอุณหภูมิเมื่อถึงจุดหมาย ..



เป็นอีกหนึ่งวันที่อากาศดีมากๆฮะ เราไปจอดรถตรงศูนย์ท่องเที่ยวชุมชนของหมู่บ้าน เช้าวันนี้เราจะไปเที่ยว "ภูลมโล" กัน



ก่อนขึ้นรถก็มีข่าวดี .. วันที่ไปมี เหมยขาบ หรือแม่คะนิ้งที่บ้านร่องกล้าฮะ เรารีบคว้ากล้องแล้วเดินไปตามทางที่ชาวบ้านบอก



นี่คือแม่คะนิ้งภาพแรกในชีวิตของผมฮะ ..

ได้เวลาเดินทางครับ .. ถึงผมจะเดินทางมาเที่ยวด้วยรถขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่เพื่อความไม่ประมาทเพราะป้ามาเรียแกบอกว่าทางขึ้นไปไม่ค่อยจะดีนัก เราเลยโทรไปจองรถที่จะขับพาเราขึ้นไปเที่ยวกันไว้ก่อน

รถที่จะพาเราขึ้นไปก็เป็นรถของชาวบ้านในชุมชนนั่นล่ะครับ การเหมาขึ้นไปเสียค่าใช้จ่าย 600 บาทต่อเที่ยวจะนั่งไปกี่คนก็ราคานี้ฮะ รถกระบะจะใช้ไม้พาดวางเป็นที่นั่งให้ที่กระบะหลังครับ ผมว่าราคานี้พอรับได้นะครับไม่ได้ถือว่าแพงเกินไป ส่วนใครที่เอารถไปเองแล้วอยากขับขึ้นไปก็ได้ครับ แต่ต้องมั่นใจในกำลังของรถรวมถึงควรจะเป็นรถกระบะหรือรถสูงเท่านั้นฮะ เก๋งอย่าเสี่ยงดีที่สุด ..







การเดินทางในช่วงที่แสงยามเช้ากำลังสวยทำให้เวลาในการชมวิวทิวทัศน์ข้างทางดูสั้นไปเลยฮะ

บางช่วงถึงกับต้องขอให้คนขับหยุดรถเพื่อเก็บภาพสวยๆกันเลยทีเดียว





ระยะทางที่เดินทางจากบ้านร่องกล้ามาที่ภูลมโลระยะทางแค่ 6 กิโลเมตร แค่วิวที่ได้พบก็คุ้มค่ารถที่เหมาแล้วฮะ

ทางที่ขึ้นไปภูลมโลเหมือนจะถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเที่ยวแรกที่ป้ามาเรียมาเที่ยว เที่ยวนั้นป้าบอกนั่งหัวสั่นหัวคลอนเลยทีเดียว ถนนช่วงแรกๆเรียบขึ้นแต่ก็ยังคงเป็นทางลูกรังอยู่ดี ช่วงครื่งทางหลังดูจะยังไม่ได้ถูกปรับปรุง เล่นเอามาม่าเกือบย่อยหมดเหมือนกัน เรียกว่านั่งเกรงก้นกันเลยทีเดียว ซักพักก็มาถึง ..



ภูลมโล ถือเป็นแหล่งปลูกต้น"นางพญาเสือโคร่ง"หรือ"ซากุระเมืองไทย" แหล่งใหญ่ที่สุดในเมืองไทยครับ ชาวบ้านร่องกล้าช่วยกันปลูกเมื่อ 6-7 ปีก่อนแล้วส่งต่อให้ทางอุทยานฯดูแลต่อเพื่อทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว



ผมถามพี่ที่ขับรถพาผมขึ้นไปว่าที่ปลูกไว้เนี่ยมีทั้งหมดประมาณกี่ต้น .. ?





อย่าไปรู้มันเลยเนอะ !! เอ้อ .. อยากรู้หรอฮะ พี่เค้าบอกว่าประมาณ 2 แสนต้นครับ แต่ตายไปบ้างก็เหลือตกแสนกว่าต้นบนพื้นที่กว่า 1200 ไร่



ซึ่งก็คือหุบเขาแทบทั้งลูกจะเป็นดงนางพญาเสือโคร่ง

ช่วงที่ผมไปปลายเดือนที่แล้วบานอยู่ประมาณ 30-40% ครับแต่ณ.วันนี้ที่ผมรีวิว ดอกนางพญาเสือโคร่งกำลังบานอยู่ที่ภูลมโลประมาณ 80-90% แล้ว ผมถึงรีบมาทำรีวิวเพื่อที่จะให้คนที่อยากไปเที่ยวรีบแพคกระเป๋าไปเที่ยวกันด่วนๆฮะ

ไม่แน่คุณอาจจะได้ไปเจอสิ่งนี้แบบผมก็ได้นะฮะ









แม่คะนิ้งเต็มทางที่เราขับรถผ่านไปในไร่เลยครับ พี่คนขับบอกให้เราแอบกรี๊ดเล็กๆว่าบางวันมีเยอะกว่านี้อีกหลายเท่า .. ที่เราเห็นนั่นก็ไม่น้อยแล้วนะ !!

วิวจากมุมสูงกันบ้าง รถที่เห็นนั่นล่ะครับเป็นรถที่พาพวกเรามา





ต้นไม้ต้นนี้ฟอร์มดีมากๆเลยฮะ เห็นแล้วพาลให้คิดถึงฟิลหนังเกาหลีกันเลยทีเดียว เห็นแล้วแทบอยากจะวิ่งไปขุดดูตรงโคนต้นว่ามีใครฝังกล่องแห่งความหลังไว้บ้านหรือเปล่า 5555





จุดนี้จะเป็นจุดที่เราเห็นวิวได้ 360 องศาเลยฮะ มองไปทางไหนก็สวยไปหมด



ว่ากันว่าจุดนี้ถ้าฟ้าเคลียร์ๆอากาศดีๆสามารถมองไปเห็นภูทับเบิกได้เลย





อ้อ.. มีอย่างนึงที่ผมลืมบอกไป ที่จริงภูลมโลนี้อยู่ในเขตของอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลยครับ แต่ทางขึ้นจะต้องขึ้นมาจากทางบ้านร่องกล้าที่อยู่ในเขตจังหวัดพิษณุโลก เรียกได้ว่าอยู่กันแทบจะบนเส้นแบ่งเขตแดนจังหวัดเลยทีเดียว

นี่ครับที่เห็นไกลๆ ภูลมโล ที่เราพูดถึง ..





ทุ่งนางพญาเสือโคร่งนี้เข้าได้หลายทางฮะ ตอนที่ไปมีบางจุดบานมากบางจุดบานน้อย

รูปที่ผ่านๆมาที่เห็นปักไม้เป็นหลุมๆไว้นั่นก็เพิ่งจะปลูกนางพญาเสือโคร่งเพิ่มนะครับ ต่อไปเมื่อต้นเริ่มโตหมดแล้วภูลมโลคงเป็นสีชมพูไปทั้งภูจริงๆฮะ

ที่นี้จะพาไปดูดอกนางพญาเสือโคร่งแบบเต็มๆกันฮะ





























มีนกมากินน้ำหวานจากเกษรดอกไม้ด้วยฮะ คนที่ชอบส่องนกน่าจะชอบอยู่นะ























ข้างบนภูลมโลสามารถขับรถขึ้นมาได้ถึงจุดชมวิวฮะ ด้านบนจะเป็นลานโล่งกว้างๆสามารถมองเห็นวิวได้เกือบ 360 องศา







มองเห็นนางพญาเสือโคร่งทั้งภูเลยฮะ ที่จริงที่ภูลมโลนี้มีพื้นที่ปลูกนางพญาเสือโคร่งอยู่หลายแปลงนะฮะ อย่างที่บอกว่ามองไปเป็นสีชมพูทั้งภูจริงๆ



ถ้าอยากกางเต้นท์ที่ภูลมโลก็ทำได้นะครับ จะมีลานกางเต้นท์ให้อยู่อีกฝั่งของทุ่งนางพญาเสือโคร่ง





มีสิ่งนึงที่อยากฝากถึงนักท่องเที่ยวฮะ มานึกขึ้นได้ตอนมาอยู่ตรงลานกางเต้นท์นี่ล่ะ ร่องรอยของผู้ที่มากางเต้นท์เมื่อคืนก่อนทำให้ผมตะหนักถึงสิ่งที่ภูลมโลกำลังจะเผชิญนั่นคือ "ขยะ" ฮะ สิ่งที่พวกเราต้องร่วมด้วยช่วยกันคือการรักษาความสะอาด เอาอะไรมาก็ควรเอากลับไปทิ้งในที่ๆควร บนลานกางเต้นท์ผมเห็นเศษขยะเศษกระป๋องเบียร์อยู่บ้าง คุยกับพี่คนขับเค้าบอกว่าอาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งมาเก็บขนออกไปถุงใหญ่ๆเหมือนกัน ฟังแล้วมันก็ปี๊ดนะมากางเต้นท์กลางธรรมชาติ แต่ทิ้งขยะไว้เหมือนเป็นคนไม่รักธรรมชาติ ช่วยกันเถอะครับทุกๆที่ๆเราไปเที่ยว จะได้มีที่สวยๆงามๆให้เราได้เที่ยวกันต่อไปนะ

เรากลับมาที่บ้านร่องกล้ากันอีกครั้ง ได้ยินมีคนพูดถึงเมเปิ้ลแดงที่โรงเรียนการเมืองการทหาร พี่ชาวบ้านบอกว่าที่บ้านร่องกล้าก็มีนะกำลังเปลี่ยนสีเลย เราเลยขับรถไปตามลายแทง ซึ่งบอกว่าอยู่ทางไปวัดป่าภูหินร่องกล้าไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก



มีจริงๆครับเป็นต้นใหญ่มากด้วย แต่ก็ทิ้งใบไปแทบจะหมดต้นอยู่แล้ว





นอกจากตรงนี้ในวัดก็มีอีกนะครับเห็นว่าหลายต้นอยู่เพียงแต่ยังไม่เปลี่ยนสีเท่านั้นเองเลยไม่ได้เข้าไปดู

ก่อนออกจากบ้านร่องกล้าแวะเติมน้ำมันกันหน่อยฮะ น้ำมันที่ขับมาตั้งแต่กรุงเทพฯใกล้จะหมดไม่แน่ใจว่าจะเจอปั๊มน้ำมันที่ไหนอีกเพราะขับผ่านๆมาก็ดูจะหาปั๊มยากอยู่พอสมควร ที่จะมีก็คงจะเป็นปั๊มหลอดแบบนี้ล่ะฮะ

สาวๆในรถกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ เนื่องจากไม่เคยเห็นปั๊มแบบนี้ ผมเด็กปั๊มเก่าครับเลยเห็นปั๊มแบบนี้มาแล้ว ลงมาเก๊กท่าถ่ายรูปกันใหญ่

ส่วนราคาก็ตามสมควรฮะไม่แพงไปนัก หลอดละ 5 ลิตร 3 หลอด 510 บาท



เรากลับมาที่ทำการอุทยานฯอีกครั้งเพื่อคืนผ้าห่มที่เช่ามาเพิ่มเพราะเมื่อเช้าเจ้าหน้าที่ยังไม่มา (ต้องเอาบัตรที่แลกไว้คืนด้วย)

ก็เลยทานมื้อกลางวันกันด้วยเลย ร้านอาหารที่นี่มี 2 ร้านฮะ ไม่นับพวกร้านเล็กๆอยู่ในเต้นท์ผ้าใบอีกหลายร้าน ร้านที่กินชื่อร้านรังทอง จริงๆมาฝากท้องกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วฮะ อันนี้ป้ามาเรียก็เป็นคนแนะนำฮะบอกว่าไก่ทอดกรอบอร่อยมากกกก ต้องลองๆ



อาหารวันนี้ได้แก่ อาหารเหลา ... ส้มตำ



ไก่ทอดกรอบอร่อยจริงๆ



กะเพราหมูสับ



กะเพราแหนม



ต้มจืดเต้าหู้หมูสับ



ที่ขาดไม่ได้ .. กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา



อิ่มแล้วเดี๋ยวเดินทางต่อ ร้านนี้เปิดบริการตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 1 ทุ่มตรงฮะ

เราออกเดินทางต่อ โดยไปทางบ้านร่องกล้านั่นล่ะครับ แวะ "โรงเรียนการเมืองการทหาร" กันก่อนเพราะอยู่ริมถนนที่ขับผ่านไปผ่านมาแล้วรอบนึงตอนไปภูลมโล



โรงเรียนแห่งนี้ทางพรรคคอมมิวนิสต์ใช้เป็นที่ให้การศึกษาตามแบบของคอมมิวนิสต์ โดยพื้นที่จะเป็นป่ารกทึบ มีบ้านไม้หลังเล็กๆอยู่ 30 กว่าหลังกระจายอยู่ แต่ละหลังจะมีแคร่ไม้อยู่ข้างในไว้พักผ่อน แต่ละหลังจะแยกเป็นฝ่ายพลเรือน ฝ่ายพลาธิการ ฝ่ายพยาบาล ฝ่ายสรรพาวุธ ฝ่ายสื่อสาร ฯลฯ



กลางลานมีรถแทรคเตอร์ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ยึดมาได้จากบริษัทพิฆเนตร ที่ทำการตัดถนนอยู่บริเวณนี้จอดอยู่



มีร่องรอยการถูกเผาด้วย ซึ่งมีป้ายอธิบายเอาไว้ว่านี่คือเหยื่อของสงครามที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ยึดมาเผา



เดินไปก็รู้สึกถึงความขลังของพื้นที่เหมือนกันนะครับ แต่บ้านแต่ละหลังก็ดูทรุดโทรมไปตามกาลเวลาอยากให้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นเหมือนกัน



เสียดายฮะไม่เจอเมเปิ้ลซักใบ ภาพในหัวที่คิดไว้ว่าที่นี่ต้องสวยมากๆเมื่อเมเปิ้ลแดงก็คงต้องมาซ่อมในครั้งต่อๆไป

สำหรับอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้านอกจากที่ที่พาไปเที่ยวแล้วก็ยังมีสถานที่ที่น่าเที่ยวเช่น สำนักอำนาจรัฐ กังหันน้ำ น้ำตกหมันแดง น้ำตกร่มเกล้า-ภารดร ฯลฯ

หลังจากนั้นเราเดินทางไปจุดหมายต่อไปครับนั่นก็คือ "ภูทับเบิก" ก่อนที่จะเข้าไปบ้านร่องกล้าจะมีทางแยกเลี้ยวขวาไปทางภูทับเบิกครับ ระยะทางน่าจะประมาณเกือบๆ 30 กิโลเมตรได้ ทางเส้นนี้บอกตรงๆว่าไม่ดีนักฮะ เป็นทางขึ้นลงเขาและมีหลุมบ่อเป็นบางช่วงแต่รถเล็กก็ขับผ่านได้สบายครับเพียงแต่ต้องขับระวังหน่อย

ขับมาซักพักพอถึงสุดเขตอุทยานฯที่มีป้อมอยู่ก็ถึงทับเบิกแล้วฮะ



เราไม่ได้จองที่พักไว้ก็ต้อง walk in เอาครับ ที่พักทับเบิกเดี๋ยวนี้ราคาไม่ใช่ถูกนะฮะ บ้านแบบที่เห็นนั่นก็คืนละ 1500 บาทนะฮะ แต่จริงๆนอนได้ถึง 4-5 คนรวมๆกันได้แต่ก็แน่นเลยล่ะ ส่วนเต้นท์นี่ก็คงประมาณ 50-150 บาทไม่เกินนี้ล่ะครับ



ที่พักยังไม่เยอะ แต่เต้นท์อ่ะเยอะครับ เลือกวิวเอาได้ตามสะดวกเลยฮะ

พอได้ที่พักก็ขอนอนอาแรงก่อน เพราะวันนี้ตื่นแต่เช้าไปดูดอกนางพญาเสือโคร่งและแม่คะนิ้งที่ภูลมโล อากาศก็เย็นจัดเลยทีเดียวฮะ เห็นแดดอ่อนๆตอน 5 โมงเย็นดูโทโมมิเตอร์ที่ร้านกาแฟข้างที่พักบอกว่าเย็นถึง 7 องศา .. นี่เราอยู่เมืองไทยใช่มั๊ย ..

ค่ำๆก็ได้เวลาออกไปหาอาหารเย็นทานกัน ป้าแนะนำร้านนี้อีกแล้วฮะ "โรงเตี้ยมภูทับเบิก" ถือเป็นร้านดังของที่นี่ฮะ

คนเพียบเลยทีเดียว เย็นๆนั่งกินอาหารชมวิวไปชิลเลยฮะ





อาหารแนะนำที่ต้องสั่งทานคือ ขาหมูหมั่นโถครับ



ส่วนอาหารอื่นๆถือว่ารสชาติดีและรออาหารไม่นานมากครับ

ปิดท้ายคืนนั้นด้วยดาวเต็มฟ้าที่ภูทับเบิกฮะ



ตื่นเช้ามาแบบปวดกระดูก 555 นอนห่มผ้ากัน 2 ชั้นเลยฮะอากาศหนาวมากๆจริงๆผมว่าเผลอๆนอนเต้นท์อุ่นกว่านะเพราะลมเข้าไม่ได้ แต่บ้านพักมันเป็นปูนเรียกได้ว่าเย็นทุกทิศทางจริงๆ

ตื่นเช้ามารับแสงยามเช้ากันหน่อยกับวิวทับเบิกที่หลายๆคนคุ้นเคย



อากาศเย็นๆแบบนี้ต้องทานข้าวต้มฮะ ที่พักส่วนใหญ่คงจะมีข้าวต้มให้เป็นมื้อเช้า

ที่ทับเบิกนี่มีร้านกาแฟน่ารักๆให้นั่งหลายร้านนะครับ 





ไปเดินออกกำลังกันดีกว่าฮะ



เสียดายว่าไม่มีทะเลหมอก ไม่งั้นคงสวยกว่านี้อีกหลายเท่า



แน่นอนว่าคนที่มาภูทับเบิกต้องอยากเห็นแปลงปลูกกะหล่ำปลีฮะ ที่นี่เป็นแหล่งปลูกกะหล่ำปลีที่ใหญ่ที่สุดแห่งนึงในเมืองไทย











ใครที่อยากซื้อกะหล่ำปลีหรือพืชผลทางการเกษตรอื่นๆริมทางก็มีชาวบ้านมาขายของนะครับ



จริงๆผมว่าลานกางเต้นท์บางลานนี่ได้วิวที่สวยมากๆเลยทีเดียว







ที่ทับเบิกนี่ก็มีดอกางพญาเสือโคร่งนะฮะขึ้นอยู่ทั่วเขาเหมือนกัน ตอนนี้ได้ข่าวว่าบานสะพรั่งไปทั้งเขาเหมือนกันนะครับ



ช่วงนี้ที่ภูทับเบิกยังมีอีกหนึ่งที่เปิดให้เข้าชมนั่นก็คือ สวนดอกไม้เมืองหนาวภูทับเบิก ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับวัดป่าภูทับเบิกฮะ แต่เป็นของเอกชนต้องเสียค่าเข้า 50 บาทครับ 















จริงๆถามว่ามันน่าสนใจมั๊ยแอบบอกว่าเฉยๆฮะ รู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้ม 50 บาทที่เข้าไปชมเท่าไหร่

ก่อนกลับก็แวะไปชมวิวที่จุดชมวิวบนยอดสุดของภูทับเบิกกันก่อน วันนั้นตอนเที่ยงอากาศที่บนภูแค่ 14 องศาเองฮะ เย็นมากกกกกก

วิวที่คุ้นเคยอีกแล้ว จุดนี้เราจะเห็นถนนที่คิดเคี้ยวไปตามไหล่เขาและถ้าอากาศเคลียร์ๆก็จะมองเห็นตัวอำเภอหล่มสัก ของจังหวัดเพชรบูรณ์ได้อย่างชัดเจนฮะ เดี๋ยวทางกลับเราก็ต้องขับรถลงไปทางที่เห็นนี่ล่ะครับ







ถือว่านี่เป็นการปิดทริป 3 วัน 2 คืนเที่ยวเพชรบูรณ์ พิษณุโลก บนเส้นทางขับรถทะลุเมฆ (ภูทับเบิก-เขาค้อ เพชรบูรณ์) และเส้นทาง 130 ปี ลานหินปุ่ม (อช.ภูหินร่องกล้า พิษณุโลก) ครับ

เส้นทางที่เราใช้กลับจากภูทับเบิกก็คือเส้น 21 จะผ่านหล่มสัก และตัวเมืองเพชรบูรณ์ย้อนกลับไปเหมือนเดิมเลยฮะ ข้างทางจะมีพวกมะขามหวานของดีของเพชรบูรณ์ขายตลอดทางฮะ

ส่วนใครที่ยังพอมีเวลาเที่ยวอีกซักคืนผมขอแนะนำให้แวะไปเที่ยวเมืองชาละวัน พิจิตรครับ

จังหวัดพิจิตรนี่จะว่าไปน่าสงสารนะฮะ คล้ายๆสิงห์บุรีบ้านเกิดผมเลย คือมักจะเป็นแค่เมืองผ่านคือขับรถผ่านๆไปไม่ค่อยมีคนแวะเที่ยวซึ่งจริงๆแล้วทั้งสองจังหวัดที่ว่ามีที่เที่ยวเยอะเหมือนกันครับ

อย่างที่อำเภอแรกที่เราจะแวะเที่ยวพิจิตรนี่คืออำเภอตะพานหินครับตะพานหินเป็นอำเภอที่อยู่ทางใต้ของอำเภอเมืองครับ ที่แรกแวะวัดก่อนเลยวัดนี้ชื่อว่า "วัดเทวปราสาท" อยู่ริมแม่น้ำน่านฝั่งตรงข้ามกับตลาดตะพานหิน



เป็นวัดที่มีพระพุทธเกตุมงคล หรือ หลวงพ่อโตตะพานหิน พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดของจังหวัดพิจิตรหน้าตักยาวถึง 20 เมตรประดิษฐานอยู่

ที่ท่าน้ำหน้าวัดมีสะพานแขวนขนาดพอที่รถมอเตอร์ไซค์สามารถข้ามได้อยู่ เราสามารถเดินจากฝั่งนี้ข้ามแม่น้ำน่านไปเที่ยวตลาดตะพานหินได้ครับ

ฝั่งตลาดแน่นอนว่ามีของกินฮะ เราแวะกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังของตลาดตะพานหินกันก่อน ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ถามคนในตลาดรู้จักหมดครับ

" เซียมชวนชิม " ฉายาบะหมี่ชาละวัน ก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยของเมืองพิจิตร เป็นก๋วยเตี๋ยวหมูแดงครับ ให้เด็ดต้องสั่งเป็นบะหมี่จะแห้งหรือน้ำก็ตามใจชอบ



เคล็ดลับความอร่อยผมชะโงกหน้าเข้าไปดูหลังร้านมาแล้วฮะ ที่นี่ตีบะหมี่เองครับเลยได้เส้นที่เหนียวนุ่มอร่อยแปลกไม่เหมือนก๋วยเตี๋ยวในกรุงเทพฯ





แน่นอนว่าสองชามนี้ของผมเองฮะ ร้านนี้มาบ่ายๆอาจจะอดกินนะครับเพราะว่าขายดี โต๊ะในร้านก็มีน้อยเพราะเปิดแค่ในห้องแถวห้องเดียวเท่านั้น

อีกร้านที่มาตะพานหินแล้วไม่แวะไม่ได้คือร้าน " กาแฟโกยี " ฮะ ร้านนี้จะอยู่ในซอยเดียวกันกับร้านก๋วยเตี๋ยวแต่อยู่ติดตีนสะพานข้ามแม่น้ำน่านเลย

ด้วยกาแฟรสชาติกลมกล่อมขายมานานหลายสิบปีตั้งแต่รุ่นเตี่ย ร้านนี้เด็ดตรงมีสูตรการคั่วกาแฟเองทำให้หอมและเข้มข้นมากๆฮะ ที่ร้านนี้เรียกว่าเป็นสภากาแฟของชาวตะพานหินเลยก็ว่าได้ฮะ



หลังจากนั้นเราจะขับรถเข้าตัวเมืองพิจิตรกันครับ ถนนสายตะพานหิน-พิจิตรนี้จะผ่านวัดเขารูปช้าง วัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา สามารถเข้าไปไหวเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุบนยอดเขาพร้อมทั้งชมทิวทัศน์ของอำเภอตะพานหินและอำเภอเมืองพิจิตรในมุมสูงได้

ผ่านเข้ามาในตัวเมืองเราแวะเที่ยว "วัดท่าหลวง" กันก่อนฮะ วัดนี้จะเรียกเป็นวัดประจำจังหวัดก็ได้ ที่เราคุ้นเคยวัดนี้กันก็คงจะเป็นการแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานฯที่แม่น้ำน่านหน้าวัดครับ



ที่สำคัญเลยคือการเข้ามานมัสการหลวงพ่อเพชร พระพุทธรูปสมัยเชียงแสนที่มีพุทธลักษณะงดงาม และเป็นที่เคารพสักการะของชาวพิจิตรแล้วชาวจังหวัดใกล้เคียงฮะ



ในเมืองพิจิตร เราหาที่พักแถวๆ "บึงสีไฟ" บึงน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเมืองไทย

ริมบึงสีไฟเป็นสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ สวนสาธารณะของชาวเมืองพิจิตร มีจระเข้สัญลักษณ์ประจำจังหวัดตัวใหญ่รอต้อนรับอยู่ด้วยฮะ



เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวพิจิตร



เย็นๆยังมานั่งรับลมหรืออกกำลังกายกันได้อีกด้วย



เช้าวันต่อมาออกไปเที่ยวรอบๆเมืองดีกว่า เห็นบอกว่ามี "ถ้ำชาละวัน" ด้วย

เราจะไปเที่ยว "อุทยานเมืองเก่าพิจิตร" กันฮะ เมืองเก่านี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองพิจิตร 7 กิโลเมตรฮะ ตลอดทางขับไปก็ชมทิวทัศน์บึงสีไฟไปเรื่อย มีทุ่งนาที่กำลังแตกยอดข้าวออกมาอวดโฉมก็เยอะ



เมืองเก่าเป็นป่าครึ้มเชียวฮะแต่ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวเพราะมีถนนทางเข้าที่ดี ไฮไลท์ของเมืองเก่าคงเป็น "วัดมหาธาตุ" ที่เห็นนี่ล่ะครับ





อีกหนึ่งอย่างที่อยากเห็นมากคือ "ถ้ำชาละวัน" เนี่ยล่ะครับ อยู่ตรงบึงข้างวัดนั่นล่ะฮะ มีการทำรูปปั้นเป็นรูปชาละวันกำลังจะถูกหอกแทงด้วย แต่พอดีมีพราน 2 คน ถ้าคนเดียวผมอาจจะคิดว่าเป็นไกรทองก็เป็นได้



จริงๆน่าจะเป็นกิมมิคที่ทำให้สถานที่ดูน่าสนใจมากกว่าฮะ แอบๆถามคนที่พาไปเที่ยวเค้าบอกว่าถ้ำที่เห็นมีจริง เป็นถ้ำลึกด้วยแต่น่าจะเอาไว้เป็นช่องทางหลบหนีของเจ้าเมืองหรือคนใหญ่คนโตในเมืองเก่านี้ล่ะแต่ไปโผล่ที่ไหนก็ไม่ทราบได้ มีเรื่องเล่ากันว่าเคยมีคนเข้าไปเพราะความอยากรู้สรุปก็ไม่ได้ออกมา ตอนหลังถ้ำนี้เลยถูกปิดปากถ้ำไม่สามารถเข้าไปได้อีก .. ฟังแล้วแอบขนลุก

ในเมืองเก่านี้ยังเป็นที่ตั้งของศาลหลักเมืองพิจิตร ที่แปลกคือเป็นศาลที่มี 2 ชั้น ชั้นบนเป็นที่ตั้งเสาหลักเมือง แต่ด้านล่างเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของพระยาโคตรตะบอง

ออกจากอุทยานเมืองเก่าเดี๋ยวเราจะไปทานก๋วยเตี๋ยวเจ้าเด็ดที่ "ตลาดเก่าวังกรด" กัน

"ตลาดวังกรด" เดิมชื่อ "บ้านวังกลม" ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน และมีสถานีรถไฟ ตลาดตั้งขึ้นโดย "หลวงประเทืองคดี" เนื่องจากเป็นชุมทางรถไฟตอนนั้นกิจการต่างๆรวมถึงการค้าขายดีมาก กาลเวลาผ่านไปตอนนี้ตลาดนี้กลายเป็นตลาดเก่าที่ยังคงหลงเหลือกลิ่นอายความเจริญอยู่ให้เราได้มาเที่ยวแวะชม



บ้านหลวงประเทืองคดี





ศาลเจ้าริมแม่น้ำน่าน





บรรยากาศร้านค้าในตลาด



บ้านเฮียเคนเนดี้ บ้านนี้ต้องแวะครับ เป็นบ้านที่เปิดเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์เล็กๆ มีของเก่าเก็บหลายอย่างโชว์ให้เราได้ดู คุณลุงและลูกชายเป็นคนดูแลและคอยเล่าประวัติและให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องของตลาดวังกรดให้พวกเราได้รับทราบ



เฮียเคนเนดี้ตอนกำลังเอาเสื่อจีนเก่าแก่ออกมาเล่าเรื่องราวให้เราฟัง



และอาหารเด็ดที่เราต้องแวะมาชิมเลยก็คือ "ก๋วยเตี๋ยวต้ม" ฮะ คุณยายสองคนพี่น้องช่วยกันทำแข่งกับออเดอร์ ที่ตอนเที่ยงๆคนเต็มร้านทุกวัน



ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้แปลกฮะ แค่ฟังชื่อก็อยากรู้แล้วว่ามันเป็นยังไง ก๋วยเตี๋ยวต้มตามนิยามของผมเรียกว่า "ก๋วยเตี๋ยวหมูพริกสด" ฮะ หากินที่ไหนไม่ได้นอกจากที่ตลาดวังกรดนี่ล่ะครับ

เส้นก๋วยเตี๋ยวเลือกได้ตามใจชอบส่วนเวลาสั่งถ้าอยากได้พริกประมาณไหนบอกได้ตาม "ระดับการศึกษา" ฮะไม่ใช่ระดับการศึกษาของเรานะ แต่คุณยายเค้าเปรียบเทียบความเผ็ดตามระดับการศึกษาฮะไล่ตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย เรียกว่าเผ็ดน้อยไปจนเผ็ดจี๊ดเลยล่ะฮะ

รูปร่างของก๋วยเตี๋ยวก็ประมาณนี้เลย ใช้หมูชิ้น ใส่พริกสด เวลาต้มก็ใส่หม้อเล็กๆต้มทีละนิดไม่ได้ใช้หม้อก๋วยเตี๋ยวแบบปกติฮะ จานนี้ระดับเตรียมอนุบาลเลยฮะ (ขอบอกว่ายังเผ็ดเลยยยยย)



ต่อไปเราไปเที่ยวต่อกันที่อำเภอโพธิ์ประทับช้าง ซึ่งที่ที่เราจะไปเที่ยวคือวัดโพธิ์ประทับช้างฮะ ซึ่งทางเส้นนี้เรียกกันว่าเป็นเส้นทางดอกรักฮะ

" วัดโพธิ์ประทับช้าง " วัดเก่าแก่ที่พระเจ้าเสือ หรือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 8 ทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงที่ประสูตรของพระองค์ วัดนี้ห่างจากตัวเมืองพิจิตรออกไปประมาณเกือบๆ 30 กิโลเมตรฮะ







ตอนนี้ทางกรมศิลปากรกำลังทำการบูรณะซ่อมแซมอยู่ครับ

ก่อนกลับมีอีกหนึ่งร้านอาหารที่ถ้ามาถึงพิจิตรแล้วไม่มากินถือว่าผิดฮะ ร้านนี้ชื่อว่า "ร้านปลาใหญ่" ฮะ

ร้านนี้จะอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 117 (นครสวรรค์-พิษณุโลก) เราขับรถออกมาจากวัดโพธิ์ประทับช้างไม่นานก็ถึงแต่พอออกมาถนนใหญ่แล้วต้องกลับรถก็ถึงเลย

ร้านนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของปลาแม่น้ำสารพัดชนิดฮะ

ต้มยำปลาม้าหม้อยักษ์



ปลาเค้าสามรส



นี่น่าจะเป็น ผัดฉ่าปลาคัง



ทอดมันปลากราย



และปลาเนื้ออ่อนทอด



อาหารทั้งหมดจานใหญ่มากกกกกกก ปลาสดและอร่อยฮะแนะนำจริงๆสำหรับร้านบ้านๆร้านนี้ ราคาอาหารก็ไม่ได้แพงเลยครับ

ก่อนจะขับรถยิงยาวกลับทางเส้น 117 แวะทำบุญกันอีกรอบฮะ วัดสุดท้ายที่จะแวะคือ "วัดบางคลาน" ที่อยู่ในเขตอำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตรเนี่ยล่ะฮะ

วัดนี้เป็นวัดดังของจังหวัดอีกวัดครับ เคยเป็นที่จำพรรษาของ "หลวงพ่อเงิน" เกจิดังของพิจิตร วันนี้เราได้มานมัสการแล้ว



จำได้ว่าผมชอบถนนทางเข้าวัดมากฮะ ชาวบ้านแถวนี้มีรั้วบ้านสีฟ้าสีเดียวกันทั้งถนนเลยยาวหลายกิโลฮะขับรถชมรั้วมีความสุขแปลกๆฮะ 5555



ใช้เวลาเดินชมวัด ดูพิพิธภัณฑ์ของเก่า และให้อาหารปลาแล้วก็ขับรถยิงยาวเข้ากรุงเทพฯ จบทริปแบบมีความสุข





อย่าลืมครับ ..

ถ้าคุณมีเวลาเที่ยวซัก 4-5 วันอยากแนะนำให้ขับรถเที่ยวเส้นทางนี้ เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่น่าขับรถเที่ยวมากโดยเฉพาะคนที่ชอบธรรมชาติป่าเขาวิวทิวทัศน์สวยๆ อาหารอร่อยๆ ร่วมไปถึงอยากเที่ยวชมความเป็นอยู่ของคอมมิวนิสต์ที่หนีเข้าป่า และทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่งที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ลองจัดเส้นทางและขับรถเที่ยวดูฮะ นอกจากทริปที่ผมจัดนี้ก็ยังสามารถสลับเส้นทางหรือไปเที่ยวที่อื่นๆเพิ่มเติมถ้ามีเวลาเช่นอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ซึ่งก็อยู่ในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ แวะกินไก่ย่างวิเชียรบุรี ไปไหว้พระพุทธชินราชที่พิษณุโลกก็ทำได้หมดฮะ

ถ้าสนใจการท่องเที่ยว 3 จังหวัด พ.พาน ที่ผมพาเที่ยวนี้โทรไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพิษณุโลก ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ 3 จังหวัด พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์นี้ได้ตลอดเวลาครับ

หรือถ้าอยากติดตามกิจกรรมต่างๆแบบเรียลไทม์ก็เข้าไปดูได้ที่ https://www.facebook.com/GreenSeasonFunAll

ขอขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาชม หลายๆคนติดตามรีวิวนี้มาแต่ต้น เป็นรีวิวที่ใช้พลังงานมากจริงๆฮะ ตั้งแต่ตั้งกระทู้จนถึงตอนนี้ใช้เวลาไป 30 ชั่วโมงซึ่งผมเองก็ไม่เคยทำรีวิวที่รูปในตอนเดียวเยอะสุดขนาดนี้มาก่อน ขอบคุณผู้ร่วมทริปทุกๆคน ผบ.ทบ.ที่น่ารักของผม ป้ามาเรีย แพมมี่ ที่ไปเดินเสียเหงื่อกัน ไปหนาวเหน็บด้วยกัน ขอบคุณมากๆสำหรับทริปประทับใจทริปนี้

**** สำคัญเลยครับ ช่วงนี้ที่ภูลมโลดอกพญาเสือโคร่งกำลังบานสะพรั่งทั่วหุบเขา ใครชอบถ่ายรูปอยากเห็นดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือแม้กระทั่งแม่คะนิ้ง รีบไปครับ คุณอาจจะได้เจออากาศหนาวเหน็บแบบไม่คิดว่าทางตอนกลางของประเทศก็มีอากาศแบบนี้ ไม่ต้องขับรถขึ้นเหนือไปเที่ยวให้เหนื่อยเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว เส้นทางนี้คงเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่จะมีคนรู้จักมากขึ้นในอนาคตฮะ แล้วอย่าลืม .. รักษ์ป่า รักษ์ธรรมชาติ เราจะได้มีสถานที่สวยๆไว้ให้พวกเราและลูกหลานได้เที่ยวกันต่อไปในอนาคตครับ

ขอบคุณมากๆครับ



ฝากติดตามแฟนเพจผมได้ที่ https://www.facebook.com/travelholicbigboy นะครับ



Create Date : 11 กันยายน 2557
Last Update : 11 กันยายน 2557 14:54:26 น. 1 comments
Counter : 13533 Pageviews.

 
Thank you very much


โดย: arm IP: 157.7.52.183 วันที่: 17 ตุลาคม 2560 เวลา:12:43:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biGbOySalaDbAr
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 23 คน [?]




Group Blog
 
<<
กันยายน 2557
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
11 กันยายน 2557
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add biGbOySalaDbAr's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.