ถ้าโลกใบนี้มีแต่สีชมพู "ดอยอ่างขาง ขุนแม่ยะ ขุนช่างเคี่ยน"
ช่วงตั้งแต่ปลายปีที่แล้วมาจนถึงช่วงต้นๆเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาอากาศเมืองไทยดีมากครับ อากาศหนาวเย็นทำให้ดอกไม้นานาชนิดออกดอกสวยงาม หนึ่งในนั้นก็คือ"ดอกนางพญาเสือโคร่ง"หรือที่หลายๆคนเรียกว่า"ซากุระเมืองไทย" นั่นเองครับ ผมเองมีโอกาสได้ไปชมแปลงปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยที่ภูลมโลมาแล้วเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา คิดว่าฤดูนี้คงได้ชมแค่นั้นแล้วฮะ แต่พอเริ่มมีข่าวว่าทางภาคเหนือดอกนางพญาเสือโคร่งกำลังบานและสวยที่สุดในรอบหลายๆปีที่ผ่านมา ความคิดก็เริ่มประมวลผลฮะว่าทำยังไงจะได้ไปดูดอกนางพญาเสือโคร่งกับเค้าได้อีก จนทุกอย่างลงตัวทริปนี้จึงเกิดขึ้นครับ ..
ปล.ถืออีกหนึ่งโอกาสเปลี่ยนหัวรีวิวเป็นชื่อ TravelHolic นะครับหลังจากทำ Around มาตั้ง 23 รีวิวแล้ว รบกวนติดตามกันต่อไปนะฮะ
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงสัปดาที่ 3 ของเดือนมกราคม จริงๆช่วงที่พีคที่สุดที่จะขึ้นไปชมดอกนางพญาเสือโคร่งตามจุดยอดนิยมต่างๆอยู่ที่สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนครับตอนนั้นกำลังสวยมากทีเดียว
การเดินทาง .. ผมเลือกที่จะเดินทางโดยสายการบินเจ้าประจำที่คุ้นเคยกันมานานอย่างแอร์เอเชียครับ แต่เนื่องจากระยะเวลาที่ไม่ค่อยลงตัวเพราะเพิ่งดำริทริปนี้ได้เอาเมื่ออาทิตย์ก่อนเดินทางทำให้ไฟล์ทเช้าๆเต็มหมดฮะไฟล์ทว่างก็ออกจากกรุงเทพฯเกือบๆเที่ยงแล้ว
วันนี้ได้นั่งมังกรไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยฮะ 5555
ทริปนี้ดูฉุกละหุกมากฮะ ผมมาหารถเช่าได้ก่อนวันเดินทางแค่วันเดียว เนื่องจากวันที่ไปเป็นวันเสาร์ด้วย แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่กันเยอะจริงๆ
อากาศดีมากฮะ
นั่งเครื่องมาแค่ชั่วโมงนิดๆก็ถึงเชียงใหม่ สวัสดี CNX จ้า วันแรกผมแพลนทริปว่าจะไปเที่ยวดอยอ่างขางฮะ แต่บอกแล้วว่าทุกอย่างคิดแบบรวดเร็วและฉุกละหุกมากๆ ทำให้ที่พักบนดอยอ่างขางค่อนข้างเต็มหมดผมเลยตัดสินใจจองที่พักที่อำเภอฝาง ซึ่งต้องขับเลยทางขึ้นดอยอ่างขางไปเกือบๆ 20 โล ซึ่งก็ดีไปอย่างตรงที่มีอาหารการกินสะดวกสบายกว่าอยู่บนดอยเยอะฮะ เช้าวันรุ่งขึ้นขับรถออกจากที่พักตี 5 นิดๆจุดหมายอยู่ที่บ้านนอแล บนดอยอ่างขางนั่นล่ะครับ ขับรถตะลุยเขาขึ้นไปถึงบ้านนอแลเกือบๆ 6 โมงเพื่อรอพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ สรุปพลาดเพราะจำผิดว่าเค้าให้ไปไร่สตรอว์เบอร์รี่ แต่เราดันไปไร่ชาแปลง 2000 ซะแทนแอบเซ็งแต่ก็ยังพอได้ภาพมาบ้าง คราวหน้าต้องไปแก้ตัว
ผมชอบดอกฝิ่นเป็นพิเศษถ่ายมาเยอะหน่อย
นี่เป็นการกลับไปเที่ยวปายครั้งที่สามของผมแล้วครับ ปายเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปมากเหลือเกินทั้งที่พัก ร้านค้า มีเกิดขึ้นมากมายตามความเจริญที่ขยายตัวเข้ามา ผมใช้เวลาให้กับการเดินดูของฝากของกินเล่นที่ถนนคนเดินซึ่งบอกตามตรงว่าเดี๋ยวนี้มันไม่ได้มีเสน่ห์เหมือนครั้งแรกๆที่มาอีกแล้ว ผมตื่นมาแต่เช้ามืดตั้งใจจะออกจากตัวเมืองปายตอน 6 โมงเช้า แต่หมอกหนาๆก็ทำเอาผมและคนข้างๆแอบขี้เกียจและออกสายกว่าเดิมไปอีกร่วมๆครึ่งชั่วโมง (สามครั้งที่มาปายเจอหมอกแบบนี้ตลอดเลย) จุดหมายของผมอยู่ที่หน่วยจัดการต้นน้ำขุนแม่ยะ ซึ่งจริงๆแล้วเมื่อวานตอนมาปายเราขับรถผ่านมันมาแล้ว ระหว่างทางที่เต็มไปด้วยหมอกหนาชนิดระยะการมองเห็นไม่เกิน 10 เมตรก็อดไม่ได้ที่จะจอดรถคว้ากล้องลงไปถ่ายรูปสะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย บรรยากาศดูแปลกประหลาดไปอีกอย่างเวลาที่สะพานนี้ไม่มีใครเดินอยู่บนสะพานเลย
ลาก่อนปาย นายกับเราไม่รู้จะมีโอกาสได้เจอกันเป็นครั้งที่ 4 มั๊ยแต่ก็ขอบคุณที่เคยสร้างความสุขให้เราทุกครั้งที่มาเยือน เราขับรถกลับไปตามทางเดิมที่ผ่านมาเมื่อวานนี้ ขุนแม่ยะอยู่ไม่ไกลกับทางเข้าห้วยน้ำดังเท่าไหร่นัก จริงๆทุกครั้งที่ผ่านก็คิดว่าเป็นแค่จุดตรวจของตำรวจที่สนธิกำลังกับทหารเท่านั้น ไม่คิดว่าตรงนั้นจะมีถนนเล็กๆลัดเลาะเข้าไปถึงสถานที่อีกแห่งที่มีต้นนางพญาเสือโคร่งสวยๆอยู่ จากที่ได้ศึกษามาก่อนแล้วทุกเสียงบอกว่า "รถเก๋ง.. เข้าขุนแม่ยะ ไม่ได้!!" การจะเข้าไปที่ขุนแม่ยะซึ่งอยู่ห่างจากถนนใหญ่ไปอีกร่วมๆ 10 กิโลเมตรต้องใช้รถกระบะ หรือรถ 4WD เท่านั้น ตรงจุดตรวจจะมีรถของชาวบ้านไม่ก็นายตำรวจที่ไม่ได้เข้าเวรให้บริการอยู่ ราคาการเช่าเหมาเป็นเที่ยวไป-กลับ 1200 บาทราคาเดียว เช้าวันนั้นผมโชคดีที่มีกลุ่มนักท่องเที่ยวอีก 4 คนที่กำลังรอรถอยู่ชักชวนให้แชร์ค่ารถกันเข้าไป ดีเหมือนกันประหยัดไปเยอะเลย .. ทางเข้าไปเป็นทางดินลูกรังสลับกับทางฝุ่นฮะ ทางที่รถวิ่งไปมีทั้งขึ้นยอดเขาสุดแล้วก็ลงเขาล่างสุดมาเจอธารน้ำบางจุดเป็นทางกรวด รถกระบะธรรมดาคนขับที่ไม่ชำนาญผมว่ายังขึ้นยากเลย แล้วก็จริงอย่างที่บอกว่ารถเก๋งเข้าไม่ได้เพราะแค่เข้าไปไม่กี่สิบเมตรก็มีหินก้อนโตๆขวางอยู่กลางถนนแล้ว ผมคิดว่าถ้าเอารถ fortuner ของตัวเองมาก็ไม่เอาเข้านะสภาพนี้สงสารรถ กว่าจะเข้าไปถึงหน่วยฯทุกอย่างในท้องก็กองรวมกันเพราะแรงเขย่าแรงโยกของรถไปหมดแล้ว ภาพแรกก็ทำเอาร้องว๊าววววเบาๆ ความที่ที่นี่เข้ามาลำบากทำให้ไม่ค่อยได้เห็นภาพจากที่นี่เท่าไหร่นัก
ผมว่าเสน่ห์ของนางพญาเสือโคร่งแห่งขุนแม่ยะอยู่ตรงนี้ฮะ เสียดายที่ผมใช้เวลาตรงจุดอื่นมากเกินไป ไม่อย่างนั้นคงได้ภาพจากจุดนี้มาเยอะกว่านี้ ถ่ายได้ไม่กี่ใบก็ต้องรีบลงไปที่รถเพราะกลัวว่าคนที่แชร์รถมาด้วยกันจะรอนานซึ่งเค้าก็รอเราแล้วจริงๆ กลับออกจากขุนแม่ยะผมจะเข้าตัวเมืองเชียงใหม่แล้วครับ วันรุ่งขึ้นผมจะขึ้นไปบนดอย ไปเที่ยวขุนช่างเคี่ยนกัน วันต่อมาผมขึ้นไปขุนช่างเคี่ยนแต่เช้า ขุนช่างเคี่ยนเป็นหมู่บ้านม้งครับ อยู่เลยดอยปุยเข้าไปอีกไม่กี่กิโล ผมเลือกที่จะขึ้นขุนช่างเคี่ยนในเช้าวันธรรมดาเนื่องจากข่าวก่อนหน้านี้คือรถติดมหาวินาศสันตะโรเนื่องจากทางเข้าไปเป็นถนนเล็กๆเลนเดียวทางก็คดเคี้ยว รถติดเพราะรถจะเข้าก็มารถจะออกก็มีหลบกันไม่พ้นก็ติดกันไม่ต้องขยับไปไหน ทางลงตรงห้วยตึงเฒ่าก็อันตราย มาวันธรรมดาช่วงเช้ามากๆแบบนี้ยังเข้ามาสบายๆครับ โค้งมหาชน ไม่มีคนซะด้วย
ที่ขุนช่างเคี่ยนจะมีจุดให้เราเที่ยวชมอยู่ 2-3 จุดครับเมื่อปีที่แล้วผมก็ขึ้นมาช่วงปลายๆธันวาปี 55 ไม่มีให้เห็นซักดอก ปีนี้มาเต็มจริงๆสำหรับที่นี่
จบทริปอย่างเป็นทางการในการล่าเสือในครั้งนี้ จริงๆถ่ายรูปมาเยอะมากเหมือนกันครับ แต่อยากทำรีวิวนี้เป็นมินิรีวิวไม่อยากให้รูปเยอะไป ขอบคุณทุกๆคน ทุกๆคอมเม้นท์ที่ตามชมจนจบนะครับ ขอบคุณมากๆครับ ฝากติดตามแฟนเพจผมได้ที่ https://www.facebook.com/travelholicbigboy นะครับ
Create Date : 16 กันยายน 2557 |
Last Update : 16 กันยายน 2557 17:15:51 น. |
|
8 comments
|
Counter : 2105 Pageviews. |
|
|
ตามเที่ยวดอยชมพูด้วยคนค่า