Group Blog
 
 
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
29 มกราคม 2555
 
All Blogs
 
ดูน้องแกะที่สวนผึ้ง ราชบุรี - The Scenery ตอนที่ 2





ในที่สุดก็ถึงเวลาแก้ตัวในการไป The Scenery Resort & Farm ที่สวนผึ้ง ราชบุรีแล้วค่ะ ออกเดินทางเวลา 8.00 น. วิ่งไปเส้นทางหลวงหมายเลข 35 (พระราม 2) เข้า AH2 (เพชรเกษม) ไปตามเส้นทาง 3208....(คราวนี้พิมพ์เส้นการเดินทางจาก Google เลย ทริปนี้เลยไม่หลง

พอถึงหน้าโรงพยาบาลสวนผึ้งตั้งใจจะถ่ายภาพ เสาหลักกิโลอันใหญ่ แต่...คนค่อนข้างแน่น เลยขอผ่าน ไม่ถ่ายมา

เปรียบเทียบจากครั้งแรกแล้ว คราวนี้การจราจรดีมากใช้เวลาวิ่งจากโรงพยาบาลสวนผึ้ง ไปถึง The Scenery Resort ไม่นาน ไปถึงที่นั่นเวลาประมาณ 11.00 น.

ระยะทางจากคราวก่อนที่เราตัดสินใจวกรถกลับก่อนถึง The Scenery Resort แค่ประมาณ 300 เมตรเอง แต่ถึงจะระยะสั้น ๆ ก็คงไม่สะดวก เพราะวันนี้หลังจากที่ขับถึง The Scenery เราพบว่าที่จอดรถน้อยมาก ค่อนข้างเล็ก ขนาดคนไม่ค่อยมากยังไม่แทบหาที่จอดรถไม่ได้เลย ที่สำคัญวันนี้อากาศร้อนมาก ๆ ร้อนจนแสบผิว

พอหาที่จอดรถได้ ก็ต้องถ่ายภาพด้านหน้าก่อนเพื่อเป็นหลักฐานว่าเรามาถึงแล้วน่ะ



เป็นภาพคุณแม่กับหลานสาวเป็นนางแบบให้

หลังจากที่เห็นชื่อ ก็ค่อนข้างงงว่าเรามาถูกหรือเปล่า เพราะมันไม่ใช่ The Scenery Resort and Farm แต่เขาเปลี่ยนชื่อเป็น The Scenery Vintage and Farm แล้วหลังจากที่เปลี่ยนจาก resort มาเป็นสถานที่เปิดให้เข้าชมแทน



ราคาบัตรเข้าสถานที่พร้อมหญ้าเลี้ยงแกะ ผู้ใหญ่ท่านละ 40 บาท เด็กส่วนสูงระหว่าง 90 - 120 ซ.ม. เสีย 20 บาท คณะเรามีผู้ใหญ่ 3 เด็ก 1 ดังนั้นเป็นค่าบัตรทั้งสิ้น 140 บาทค่ะ

ทางเข้าจะมีสองฝั่งคือทางด้านหน้าทางเข้าฟาร์ม กับทางห้องอาหาร คณะเราเข้าทางด้านหน้า ระหว่างเข้าจะมีคล้าย ๆ บ่อล้างเท้าแบบน้ำตื้นให้เดินผ่านเข้าไป เหมือนกับการฆ่าเชื้อโรคที่ติดมากับรองเท้า พอดีไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้



ทางขึ้นก่อนจะเข้าส่วนที่เป็นฟาร์ม



ทางเข้าฟาร์มค่ะ เสียดายไม่ได้ถ่ายภาพโดยรวมของฟาร์มมา ความรู้สึกแรกที่เห็นทุกส่วนของฟาร์มจากตรงจุดนี้ มัน...ผิดหวังนิดหน่อย...จากภาพ จากข้อมูลที่ได้จากเว็บ จากปากคนรู้จัก มันน่าจะน่าประทับใจมากกว่านี้ มันต่างจากความรู้สึกแรกที่เห็นภาพด้านหน้าของ Swiss Valley Hip Resort ที่เห็นแล้ว โอ้ว..แม่เจ้ามันสวยจัง มันเหมือนภาพของฟาร์มในต่างประเทศเลย ดูสะอาดตา กว้างใหญ่เป็นระเบียบมาก มันออกแนวหรู สำหรับคนมีเงินไปเที่ยว ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขาให้เข้าไปถ่ายรูปได้เหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า เพราะไม่เห็นมีใครเข้าไปเลย ค่อนข้างจะเป็นสถานที่ให้ความเป็นส่วนตัวลูกค้ามาก เสียดายอีกครั้งว่าไม่ได้ถ่ายรูปด้านหน้าของ Swiss Valley Hip Resort มา ที่นี่จะถึงก่อน The Scenery ประมาณ 200 เมตรได้น่ะ อยู่ใกล้กันมากเลย

กลับมาที่ The Scenery ดีกว่า รูปแบบของ The Scenery จะเป็นแบบลูกทุ่ง เหมือนฟาร์มในชนบทมากกว่าจะเป็นฟาร์มของคนมีฐานะ แต่ก็ทำให้เราไม่เกร็งดี ทำตัวตามสบาย ๆ ได้ (นี่คือความรู้สึกของเรา คนอื่นอาจจะคิดไม่เหมือนกัน)

ลักษณะของ The Scenery จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ ๆ คือ 1. โซนถ่ายรูปก่อนเข้าไปโซนเลี้ยงแกะ 2. โซนให้อาหารและถ่ายรูปกับแกะ 3. โซนเกมส์ เช่นปาเป้า โยนบอล (คล้ายงานวัดที่มีตุ๊กตาเป็นของรางวัล) 4. ร้านอาหารจะอยู่ด้านหน้า

โซนที่ให้ถ่ายรูปจะมีการวางสร้างจุดถ่ายรูปเอาไว้ให้นักท่องเที่ยว มีรูปปั้นแบบต่าง ๆ มีซุ้ม กำแพงโรงนา มีการปั้นฟางมาตัวตุ๊กตา มีการเอาหินสี ๆ ก้อนกลม ๆ (สถาปัตยกรรมมีสีสัน) มาวางเพื่อให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูป ตัวอย่างหลาย ๆ จุดที่เขาเตรียมไว้ให้ ด้านล่างเป็นจุดแรกของโซนถ่ายรูป



ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร น่าจะรังนกขนาดใหญ่หรือเปล่า?



หลานชายคงมองด้วยความสงสัยว่ามันคืออะไร... มันเป็นถังเปล่าที่เอาเชือกสีน้ำตาลมาพันให้ติดกันเป็นรูปทรงอย่างที่เห็น ไอเดียร์ดีเหมือนกัน ลงทุนไม่มาก แต่ก็เอามาเป็นจุดใช้ถ่ายรูปได้



อีกรูป ฉากด้านหลังเป็นร้านอาหารของ The Scenery นะคะ



อันนี้เหมือนแจกันขนาดใหญ่ที่เอาห่วงสีมาคล้องให้มีสีสัน เอ๋...แต่รูปร่างมันก็คล้าย ๆ กับถังนมที่เอาไว้ใส่ตอนรีดนมวัวน่ะ แต่มันสูงใหญ่ไปหน่อย ด้านข้างจะมีรูปปั้นคน แต่ไม่ได้ถ่ายไว้ เพราะมีคนกลุ่มใหญ่ถ่ายกันอยู่ ไม่อยากรอ เพราะแดดร้อนมาก



ภาพนี้จากที่บอกไว้ข้างบน อากาศมันร้อนมาก แดดค่อนข้างแรง ดังนั้นขอเตือนนักท่องเที่ยวที่จะไปแล้วตั้งใจจะถ่ายรูปกับหินกลม ๆ พวกนี้ ควรจะตรวจสอบความร้อนของก้อนหินก่อนนั่งลงไป ไม่งั้นจะเป็นอย่างหลานสาว พอนั่งปรุ๊ป เด้งตัวขึ้นแทบไม่ทัน เพราะก้อนหินมันร้อนมาก รูปที่ออกมาเลยกลายเป็นอย่างข้างบนแทน เพราะนั่งไม่ได้

แต่ก็ไม่ใช่ว่าหินทุกก้อนจะร้อนจนนั่งไม่ได้นะคะ บางก้อนมันจะไม่ร้อนต้องตรวจสอบก่อน



อย่างหินก้อนข้างบนนั่งได้ค่ะ เห็นความแตกต่างของการวางสมดุลของภาพไหมค่ะ ภาพแรกหลานสาวถ่ายให้ ไม่ค่อยชอบเพราะมันใกล้ไป ทำให้ภาพไม่ค่อยสวย เพราะขาดองค์ประกอบของภาพโดยรวม ส่วนภาพด้านขวา เราถ่ายเอง มันรู้สึกให้บรรกาศของภาพที่แตกต่างจากภาพด้านซ้ายซึ่งเน้นคนมากเกินไป ทำให้ภาพแข็ง ๆ ถ้าต้องการเน้นที่คนเราชอบถ่ายแบบเน้นไปที่การแสดงออกที่ใบหน้ามากกว่า แต่ไปเที่ยวที่สวย ๆ ก็อยากให้มีภาพของทิวทัศน์อยู่ในภาพด้วยจะได้รู้ว่าไปที่ไหนมา มีอีกหลายรูปเลยที่เป็นอย่างนี้... แต่คนที่เน้นทางแบบอาจจะชอบการถ่ายแบบนี้ก็ได้



รูปปั้นแกะซึ่งจะมีหลายตัวในต่างอริยาบทให้ได้ถ่ายรูปกัน



ภาพข้างบนต้องวางมุนกล้อง และระยะการถ่ายให้หลานสาว กลัวจะออกแล้วเห็นแต่ภาพนางแบบ แต่ไม่เห็นองค์ประกอบอื่นเลย ที่อยากถ่ายภาพนี้ก็เพราะพวกถ้วยกับกาน้ำชาพวกนี้แหละ ก็สีมันสวยดี



ข้างบนนี้น่าจะเป็นรถเทียมม้าน่ะ เสียดายน่าจะเอารูปปั้นม้ายืนด้วยก็น่าจะสวยขึ้น



ช่างทำไปได้ หลานสาวคนนี้ แต่ละท่าของการถ่ายรูปไม่ค่อยซ้ำกันเลย ไม่ค่อยอายให้การโพสท่าเลย แต่ก็ดีเวลาไปเที่ยวแล้วมันน่าสนุกว่าไปกับคนที่ไม่ชอบถ่ายรูปซึ่งมันจะทำให้บรรยากาศในการเที่ยวกร่อยไป แต่ถ้าเอาม้าตัวนี้ไปยืนตรงที่รถเทียมม้าน่าจะดีน่ะ น่าจะเข้ากันดี









ภาพข้างบนทั้งหมดเป็นจุดสุดท้ายของโซนแรกที่เราถ่าย เป็นบริเวณของบ้านนกละเมอ อันนี้ต้องตั้งกล้องให้หลานเลยว่าต้องการอย่างนี้น่ะ ไม่เอาแค่นางแบบ เอาภาพประกอบด้วย ไม่งั้นมันไม่เห็นว่าที่นี่ที่ไหน

ต่อไปก็ไปที่โซนเลี้ยงแกะกันดีกว่า



รูปถ่ายกับคุณหลานชาย กับ คุณแม่ ก่อนเข้าไปให้อาหารแกะ



ขอรูปเดี่ยวซักภาพ ถ่ายทีไรหลานชายเข้ามามีส่วนร่วมแทบทุกภาพ



ถ่ายรูปลำบากจริง ๆ เพราะแกะหลายตัวมันเข้ามากินหญ้าที่มือ ทำให้ต้องใช้แค่มือเดียวถ่าย เปลี่ยนมุมไม่ได้ด้วย เพราะแกะขวางทางอยู่ แกะมันเข้ามามากจนหลานชายกลัว ปีนขึ้นไปยืนบนรั้ว ที่นี่เขามีเวลาที่อนุญาตให้หญ้าเลี้ยงแกะนะคะ พอดีเข้าไปเป็นกลุ่มสุดท้ายพอดี แกะก็เลยมารุมที่คณะของเราเยอะหน่อย เพราะของคนอื่นเขาให้หมดแล้ว





เหล่าก้อนหินที่เอามาประดับในโซนเลี้ยงแกะ



เอาฟางมาทำคล้ายคุ๊กกี้ขิงรูปคน จริง ๆ มันมีสองตัว อึกตัวข้าง ๆ เขาทำเป็นรูปหัวตุ๊กตาหลุด แล้วหน้าตุ๊กตาทำคล้าย ๆ กับกำลังจะร้องไห้



จริง ๆ แล้วตอนถ่ายไม่ได้สังเกตุ มาดูออกตอนที่ทำ Blog นี่แหละ



ปฏิมากรรมอีกหนึ่งอย่างในโซนนี้



ตู้จดหมาย...มีหลายสถานที่เลย



รูปศาลพระภูมิ ที่หลาย ๆ คนน่าจะเคยเห็นจากเว็บไซด์ของหลาย ๆ คนที่โพสมาแล้ว



ฉากหลังของรูปภาพจะเป็นโซนเกมส์ รางวัลจะเป็นตุ๊กตาแกะ แต่ไม่ได้เล่น เพราะคิดว่า เล่นแล้วเสียเงินเปล่าแน่ ๆ ขอเอาเงินไปซื้อแกะเองข้างนอกดีกว่า



ด้านหน้าร้านอาหารของ The Scenery





ก่อนกลับก็แวะซื้อแกะกลับไปเลี้ยงที่บ้านสักหนึ่งตัว ราคาตัวละ 390 บาทแต่ขอส่วนลดแล้วเหลือ 350 บาทขาดตัว แล้วก็ซื้อเสื้อเด็กสกรีนลายแกะ ตัวละ 70 บาท บริเวณที่ซื้ออยู่ด้านหน้า Swiss Valley Hip Resort

ขากลับก็แวะดอนหอยหลอด นั่งทานข้าวที่ร้านน้ำทิพย์ รสชาติอาหารอร่อยดี โดยเฉพาะส้มตำปูไข่ดอง ตำได้เด็ดดวงจริง ๆ แต่ไม่ค่อยประทับใจอยู่สองจานคือ ปลากระพงทอดน้ำปลา ปลาแห้งเกินไป และจืดด้วย อีกจานคือกรรเชียงปู เขาทำแบบเอาไปอบกับซีอิ้วขาวมันทำให้เสียลดชาติของเนื้อปูสด ๆ ไปเลย

เสียค่าอาหารไปอีก 1,335 บาท สำหรับอาหาร 7 จาน (ปลากระพงทอดน้ำปลา 250 บาท, กรรเชียงปูนึ่ง 230 บาท, หอยหลอดผัดฉ่า ข้าวผัดปูจานใหญ่ (ขอบอกว่าข้าวผัดเยอะมาก ๆ เห็นแล้วตกใจเลย จะกินหมดไหมเนี่ย) ส้มตำปูไข่ดอง ปูทะเลไข่ดองหลน จานละประมาณ 120 - 150 บาท

ตอนนี้ก็รู้แล้วว่า The Scenery เป็นอย่างไร ถ้ามีใครมาชวนไปอีกขอบอกว่า ไม่ดีกว่า มันเป็นที่ที่เที่ยวได้แค่ครั้งเดียวจริง ๆ มันไม่มีอะไรดึงดูดเราเพียงพอให้คิดที่จะกลับไปเที่ยวอีก (อีกครั้ง...แต่อาจจะมีคนคิดไม่เหมือนเราก็ได้......)

รวมเบ็ดสร็จค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นของทริปนี้คือ 4,044 บาท (รวม The Scenery, บ้านหอมเทียน และ ดอนหอยหลอด) แต่ยังไม่รวมค่าน้ำมันที่ใช้เกือบหมดถัง สมาชิกมีผู้ใหญ่ 3 คน เด็กอีก 1 คน








Create Date : 29 มกราคม 2555
Last Update : 24 กันยายน 2555 22:19:06 น. 0 comments
Counter : 6071 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

LcWitch
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 127 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add LcWitch's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.