ในที่สุดก็ถึงเวลาแก้ตัวในการไป The Scenery Resort & Farm ที่สวนผึ้ง ราชบุรีแล้วค่ะ ออกเดินทางเวลา 8.00 น. วิ่งไปเส้นทางหลวงหมายเลข 35 (พระราม 2) เข้า AH2 (เพชรเกษม) ไปตามเส้นทาง 3208....(คราวนี้พิมพ์เส้นการเดินทางจาก Google เลย ทริปนี้เลยไม่หลงพอถึงหน้าโรงพยาบาลสวนผึ้งตั้งใจจะถ่ายภาพ เสาหลักกิโลอันใหญ่ แต่...คนค่อนข้างแน่น เลยขอผ่าน ไม่ถ่ายมาเปรียบเทียบจากครั้งแรกแล้ว คราวนี้การจราจรดีมากใช้เวลาวิ่งจากโรงพยาบาลสวนผึ้ง ไปถึง The Scenery Resort ไม่นาน ไปถึงที่นั่นเวลาประมาณ 11.00 น.ระยะทางจากคราวก่อนที่เราตัดสินใจวกรถกลับก่อนถึง The Scenery Resort แค่ประมาณ 300 เมตรเอง แต่ถึงจะระยะสั้น ๆ ก็คงไม่สะดวก เพราะวันนี้หลังจากที่ขับถึง The Scenery เราพบว่าที่จอดรถน้อยมาก ค่อนข้างเล็ก ขนาดคนไม่ค่อยมากยังไม่แทบหาที่จอดรถไม่ได้เลย ที่สำคัญวันนี้อากาศร้อนมาก ๆ ร้อนจนแสบผิวพอหาที่จอดรถได้ ก็ต้องถ่ายภาพด้านหน้าก่อนเพื่อเป็นหลักฐานว่าเรามาถึงแล้วน่ะเป็นภาพคุณแม่กับหลานสาวเป็นนางแบบให้ หลังจากที่เห็นชื่อ ก็ค่อนข้างงงว่าเรามาถูกหรือเปล่า เพราะมันไม่ใช่ The Scenery Resort and Farm แต่เขาเปลี่ยนชื่อเป็น The Scenery Vintage and Farm แล้วหลังจากที่เปลี่ยนจาก resort มาเป็นสถานที่เปิดให้เข้าชมแทนราคาบัตรเข้าสถานที่พร้อมหญ้าเลี้ยงแกะ ผู้ใหญ่ท่านละ 40 บาท เด็กส่วนสูงระหว่าง 90 - 120 ซ.ม. เสีย 20 บาท คณะเรามีผู้ใหญ่ 3 เด็ก 1 ดังนั้นเป็นค่าบัตรทั้งสิ้น 140 บาทค่ะทางเข้าจะมีสองฝั่งคือทางด้านหน้าทางเข้าฟาร์ม กับทางห้องอาหาร คณะเราเข้าทางด้านหน้า ระหว่างเข้าจะมีคล้าย ๆ บ่อล้างเท้าแบบน้ำตื้นให้เดินผ่านเข้าไป เหมือนกับการฆ่าเชื้อโรคที่ติดมากับรองเท้า พอดีไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้ทางขึ้นก่อนจะเข้าส่วนที่เป็นฟาร์มทางเข้าฟาร์มค่ะ เสียดายไม่ได้ถ่ายภาพโดยรวมของฟาร์มมา ความรู้สึกแรกที่เห็นทุกส่วนของฟาร์มจากตรงจุดนี้ มัน...ผิดหวังนิดหน่อย...จากภาพ จากข้อมูลที่ได้จากเว็บ จากปากคนรู้จัก มันน่าจะน่าประทับใจมากกว่านี้ มันต่างจากความรู้สึกแรกที่เห็นภาพด้านหน้าของ Swiss Valley Hip Resort ที่เห็นแล้ว โอ้ว..แม่เจ้ามันสวยจัง มันเหมือนภาพของฟาร์มในต่างประเทศเลย ดูสะอาดตา กว้างใหญ่เป็นระเบียบมาก มันออกแนวหรู สำหรับคนมีเงินไปเที่ยว ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขาให้เข้าไปถ่ายรูปได้เหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า เพราะไม่เห็นมีใครเข้าไปเลย ค่อนข้างจะเป็นสถานที่ให้ความเป็นส่วนตัวลูกค้ามาก เสียดายอีกครั้งว่าไม่ได้ถ่ายรูปด้านหน้าของ Swiss Valley Hip Resort มา ที่นี่จะถึงก่อน The Scenery ประมาณ 200 เมตรได้น่ะ อยู่ใกล้กันมากเลยกลับมาที่ The Scenery ดีกว่า รูปแบบของ The Scenery จะเป็นแบบลูกทุ่ง เหมือนฟาร์มในชนบทมากกว่าจะเป็นฟาร์มของคนมีฐานะ แต่ก็ทำให้เราไม่เกร็งดี ทำตัวตามสบาย ๆ ได้ (นี่คือความรู้สึกของเรา คนอื่นอาจจะคิดไม่เหมือนกัน)ลักษณะของ The Scenery จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ ๆ คือ 1. โซนถ่ายรูปก่อนเข้าไปโซนเลี้ยงแกะ 2. โซนให้อาหารและถ่ายรูปกับแกะ 3. โซนเกมส์ เช่นปาเป้า โยนบอล (คล้ายงานวัดที่มีตุ๊กตาเป็นของรางวัล) 4. ร้านอาหารจะอยู่ด้านหน้าโซนที่ให้ถ่ายรูปจะมีการวางสร้างจุดถ่ายรูปเอาไว้ให้นักท่องเที่ยว มีรูปปั้นแบบต่าง ๆ มีซุ้ม กำแพงโรงนา มีการปั้นฟางมาตัวตุ๊กตา มีการเอาหินสี ๆ ก้อนกลม ๆ (สถาปัตยกรรมมีสีสัน) มาวางเพื่อให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูป ตัวอย่างหลาย ๆ จุดที่เขาเตรียมไว้ให้ ด้านล่างเป็นจุดแรกของโซนถ่ายรูปไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร น่าจะรังนกขนาดใหญ่หรือเปล่า? หลานชายคงมองด้วยความสงสัยว่ามันคืออะไร... มันเป็นถังเปล่าที่เอาเชือกสีน้ำตาลมาพันให้ติดกันเป็นรูปทรงอย่างที่เห็น ไอเดียร์ดีเหมือนกัน ลงทุนไม่มาก แต่ก็เอามาเป็นจุดใช้ถ่ายรูปได้อีกรูป ฉากด้านหลังเป็นร้านอาหารของ The Scenery นะคะอันนี้เหมือนแจกันขนาดใหญ่ที่เอาห่วงสีมาคล้องให้มีสีสัน เอ๋...แต่รูปร่างมันก็คล้าย ๆ กับถังนมที่เอาไว้ใส่ตอนรีดนมวัวน่ะ แต่มันสูงใหญ่ไปหน่อย ด้านข้างจะมีรูปปั้นคน แต่ไม่ได้ถ่ายไว้ เพราะมีคนกลุ่มใหญ่ถ่ายกันอยู่ ไม่อยากรอ เพราะแดดร้อนมากภาพนี้จากที่บอกไว้ข้างบน อากาศมันร้อนมาก แดดค่อนข้างแรง ดังนั้นขอเตือนนักท่องเที่ยวที่จะไปแล้วตั้งใจจะถ่ายรูปกับหินกลม ๆ พวกนี้ ควรจะตรวจสอบความร้อนของก้อนหินก่อนนั่งลงไป ไม่งั้นจะเป็นอย่างหลานสาว พอนั่งปรุ๊ป เด้งตัวขึ้นแทบไม่ทัน เพราะก้อนหินมันร้อนมาก รูปที่ออกมาเลยกลายเป็นอย่างข้างบนแทน เพราะนั่งไม่ได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าหินทุกก้อนจะร้อนจนนั่งไม่ได้นะคะ บางก้อนมันจะไม่ร้อนต้องตรวจสอบก่อนอย่างหินก้อนข้างบนนั่งได้ค่ะ เห็นความแตกต่างของการวางสมดุลของภาพไหมค่ะ ภาพแรกหลานสาวถ่ายให้ ไม่ค่อยชอบเพราะมันใกล้ไป ทำให้ภาพไม่ค่อยสวย เพราะขาดองค์ประกอบของภาพโดยรวม ส่วนภาพด้านขวา เราถ่ายเอง มันรู้สึกให้บรรกาศของภาพที่แตกต่างจากภาพด้านซ้ายซึ่งเน้นคนมากเกินไป ทำให้ภาพแข็ง ๆ ถ้าต้องการเน้นที่คนเราชอบถ่ายแบบเน้นไปที่การแสดงออกที่ใบหน้ามากกว่า แต่ไปเที่ยวที่สวย ๆ ก็อยากให้มีภาพของทิวทัศน์อยู่ในภาพด้วยจะได้รู้ว่าไปที่ไหนมา มีอีกหลายรูปเลยที่เป็นอย่างนี้... แต่คนที่เน้นทางแบบอาจจะชอบการถ่ายแบบนี้ก็ได้รูปปั้นแกะซึ่งจะมีหลายตัวในต่างอริยาบทให้ได้ถ่ายรูปกันภาพข้างบนต้องวางมุนกล้อง และระยะการถ่ายให้หลานสาว กลัวจะออกแล้วเห็นแต่ภาพนางแบบ แต่ไม่เห็นองค์ประกอบอื่นเลย ที่อยากถ่ายภาพนี้ก็เพราะพวกถ้วยกับกาน้ำชาพวกนี้แหละ ก็สีมันสวยดีข้างบนนี้น่าจะเป็นรถเทียมม้าน่ะ เสียดายน่าจะเอารูปปั้นม้ายืนด้วยก็น่าจะสวยขึ้น ช่างทำไปได้ หลานสาวคนนี้ แต่ละท่าของการถ่ายรูปไม่ค่อยซ้ำกันเลย ไม่ค่อยอายให้การโพสท่าเลย แต่ก็ดีเวลาไปเที่ยวแล้วมันน่าสนุกว่าไปกับคนที่ไม่ชอบถ่ายรูปซึ่งมันจะทำให้บรรยากาศในการเที่ยวกร่อยไป แต่ถ้าเอาม้าตัวนี้ไปยืนตรงที่รถเทียมม้าน่าจะดีน่ะ น่าจะเข้ากันดีภาพข้างบนทั้งหมดเป็นจุดสุดท้ายของโซนแรกที่เราถ่าย เป็นบริเวณของบ้านนกละเมอ อันนี้ต้องตั้งกล้องให้หลานเลยว่าต้องการอย่างนี้น่ะ ไม่เอาแค่นางแบบ เอาภาพประกอบด้วย ไม่งั้นมันไม่เห็นว่าที่นี่ที่ไหนต่อไปก็ไปที่โซนเลี้ยงแกะกันดีกว่ารูปถ่ายกับคุณหลานชาย กับ คุณแม่ ก่อนเข้าไปให้อาหารแกะขอรูปเดี่ยวซักภาพ ถ่ายทีไรหลานชายเข้ามามีส่วนร่วมแทบทุกภาพถ่ายรูปลำบากจริง ๆ เพราะแกะหลายตัวมันเข้ามากินหญ้าที่มือ ทำให้ต้องใช้แค่มือเดียวถ่าย เปลี่ยนมุมไม่ได้ด้วย เพราะแกะขวางทางอยู่ แกะมันเข้ามามากจนหลานชายกลัว ปีนขึ้นไปยืนบนรั้ว ที่นี่เขามีเวลาที่อนุญาตให้หญ้าเลี้ยงแกะนะคะ พอดีเข้าไปเป็นกลุ่มสุดท้ายพอดี แกะก็เลยมารุมที่คณะของเราเยอะหน่อย เพราะของคนอื่นเขาให้หมดแล้วเหล่าก้อนหินที่เอามาประดับในโซนเลี้ยงแกะเอาฟางมาทำคล้ายคุ๊กกี้ขิงรูปคน จริง ๆ มันมีสองตัว อึกตัวข้าง ๆ เขาทำเป็นรูปหัวตุ๊กตาหลุด แล้วหน้าตุ๊กตาทำคล้าย ๆ กับกำลังจะร้องไห้จริง ๆ แล้วตอนถ่ายไม่ได้สังเกตุ มาดูออกตอนที่ทำ Blog นี่แหละปฏิมากรรมอีกหนึ่งอย่างในโซนนี้ตู้จดหมาย...มีหลายสถานที่เลย รูปศาลพระภูมิ ที่หลาย ๆ คนน่าจะเคยเห็นจากเว็บไซด์ของหลาย ๆ คนที่โพสมาแล้ว ฉากหลังของรูปภาพจะเป็นโซนเกมส์ รางวัลจะเป็นตุ๊กตาแกะ แต่ไม่ได้เล่น เพราะคิดว่า เล่นแล้วเสียเงินเปล่าแน่ ๆ ขอเอาเงินไปซื้อแกะเองข้างนอกดีกว่าด้านหน้าร้านอาหารของ The Sceneryก่อนกลับก็แวะซื้อแกะกลับไปเลี้ยงที่บ้านสักหนึ่งตัว ราคาตัวละ 390 บาทแต่ขอส่วนลดแล้วเหลือ 350 บาทขาดตัว แล้วก็ซื้อเสื้อเด็กสกรีนลายแกะ ตัวละ 70 บาท บริเวณที่ซื้ออยู่ด้านหน้า Swiss Valley Hip Resort ขากลับก็แวะดอนหอยหลอด นั่งทานข้าวที่ร้านน้ำทิพย์ รสชาติอาหารอร่อยดี โดยเฉพาะส้มตำปูไข่ดอง ตำได้เด็ดดวงจริง ๆ แต่ไม่ค่อยประทับใจอยู่สองจานคือ ปลากระพงทอดน้ำปลา ปลาแห้งเกินไป และจืดด้วย อีกจานคือกรรเชียงปู เขาทำแบบเอาไปอบกับซีอิ้วขาวมันทำให้เสียลดชาติของเนื้อปูสด ๆ ไปเลย
เสียค่าอาหารไปอีก 1,335 บาท สำหรับอาหาร 7 จาน (ปลากระพงทอดน้ำปลา 250 บาท, กรรเชียงปูนึ่ง 230 บาท, หอยหลอดผัดฉ่า ข้าวผัดปูจานใหญ่ (ขอบอกว่าข้าวผัดเยอะมาก ๆ เห็นแล้วตกใจเลย จะกินหมดไหมเนี่ย) ส้มตำปูไข่ดอง ปูทะเลไข่ดองหลน จานละประมาณ 120 - 150 บาทตอนนี้ก็รู้แล้วว่า The Scenery เป็นอย่างไร ถ้ามีใครมาชวนไปอีกขอบอกว่า ไม่ดีกว่า มันเป็นที่ที่เที่ยวได้แค่ครั้งเดียวจริง ๆ มันไม่มีอะไรดึงดูดเราเพียงพอให้คิดที่จะกลับไปเที่ยวอีก (อีกครั้ง...แต่อาจจะมีคนคิดไม่เหมือนเราก็ได้......) รวมเบ็ดสร็จค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นของทริปนี้คือ 4,044 บาท (รวม The Scenery, บ้านหอมเทียน และ ดอนหอยหลอด) แต่ยังไม่รวมค่าน้ำมันที่ใช้เกือบหมดถัง สมาชิกมีผู้ใหญ่ 3 คน เด็กอีก 1 คน