เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
25 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
หนุ่มบ้านไร่ฯ ตอนที่ 5-2

หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ  ตอนที่ 5(ต่อ)

ปราบนั่งอ่านหนังสือวารสารเกษตรกรรมอยู่ มีเสียงกริ่งดัง ปราบลุกเดินมาเปิดประตู พบตะวันวาดกับสุนทรีที่ถือกระเช้าองุ่นมาด้วย

       “สวัสดีค่ะคุณปราบ”
       “สวัสดีครับคุณสุน ไง ตะวันวาด...เชิญครับ”
       ปราบนำสุนทรีกับตะวันวาดเข้ามาในบ้าน
       “คุณสุน มีธุระอะไรพิเศษรึเปล่าครับ”
       “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เห็นว่าช่วงนี้ตะวันเขามากวนบ้านคุณปราบอยู่บ่อยๆ ก็เลยแวะมาขอบคุณ
       น่ะค่ะ นี่องุ่นจากไร่น่ะค่ะ ออแกนิกด้วยนะคะ”
       “ขอบคุณมากครับ”
       ปราบรับมา สุนทรียิ้มให้ ตะวันวาดแอบจับตามองสุนทรีกับปราบ
       “อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันไหมครับ”
       “อย่าเลยค่ะ รบกวนเปล่าๆ...”
       ตะวันวาดรีบบอก
       “ก็ดีครับ กินที่นี่แหละแม่ฝีมือป้ายวงอร่อย”
       ปราบพยักหน้ารับ
       “งั้นทานกันซะทีนี่เลยละกันนะครับ เดี๋ยวผมจะบอกป้ายวงให้เตรียมอาหารให้ เสียดายน้อยหน่าไปอ่านหนังสือสอบ เลยไม่ได้อยู่กินด้วยกัน”
       สุนทรีแปลกใจ
       “อ้าว ไหนตะวันบอกสอบหมดแล้วไงลูก”
       ตะวันวาดอึ้งไป
       “เอ่อ...”
       ปราบเขม้นมอง ตะวันวาดหน้าแหย ปราบกลับยิ้มออกมา
       “ผมคงฟังผิด รู้สึกจะไปทำรายงานอะไรสักอย่างน่ะครับ”
       ปราบยิ้มให้สุนทรี สุนทรียิ้มตอบ

       บริเวณล็อบบี้โรงแรม...เอมี่เดินออกมาจากลิฟต์ เจอโจโจ้พอดี
       “ต๊าย เพื่อนเลิฟมาทำอะไรยะ” เอมี่แปลกใจ
       “มาทำข่าวงานเปิดตัวสินค้าค่ะคุณเพื่อนขา คุณเพื่อนล่ะคะ”
       “นัดญาติกินข้าวที่ร้านอาหารญี่ปุ่นน่ะ”
       “นี่...คุณเพื่อนอยากไปเจอหน้าเพื่อนเลิฟอีกคนไหมล่ะ”
       คำถามนั้น เอมี่รู้สึกสนใจ
       “ใครยะ ฟังน้ำเสียงเหมือนไม่เลิฟเท่าไหร่”
       “เลิฟสิ ถ้าไม่เลิฟเขาจะซื้อกระเป๋าใบละสามแสนให้เธอเหรอยะ”
       “ยัยนับดาว...ไหนบอกหนีไปบวชชีพราหมณ์ไม่ใช่เหรอ แล้วมาทำอะไรที่นี่”
       “มาเป็นพิธีกรงานอีเว้นต์ อยากรู้มั้ยสินค้าอะไร”
       “อะไรเหรอ”
       “ซอสพริก”
       “ซอสพริก...สีส้มๆเนี่ยนะ”
       โจโจ้พยักหน้า เอมี่หัวเราะก๊าก
       “ยัยนับดาว โถๆๆ รับงานไม่เลือกเลยนะ อีกหน่อยก็คงเป็นพวกซอสเย็นตาโฟ เต้าหู้ยี้
       ซี่อิ๊ว เต้าเจี้ยว จิ๊กโฉ่ว บี่เจ็ง เพ่งแซ”
       “พอแล้ว”
       “ดี อย่างงี้ต้องไปทักทายซะหน่อย ...ครั้งที่แล้วเสียท่ามัน วันนี้ต้องเอาคืน”
       เอมี่ยิ้มกระหยิ่ม

       ในห้องจัดงาน...เป็นห้องจัดเลี้ยงห้องเล็ก มีสื่อมวลชนสิบกว่าคน และแขกเหรื่ออีกจำนวนหนึ่งซึ่งไม่มากนัก เพราะรูปแบบงานไม่ใหญ่มาก เมื่อถึงเวลางานเริ่ม ดนตรีดังเร้าใจ นับดาวเดินขึ้นเวที
       “สวัสดีค่ะ นับดาวว้าวแซบค่า”
       คนในงานปรบมือให้
       “วันนี้ นับดาวรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้เป็นผู้แนะนำสินค้าผลิตภัณฑ์หนึ่งที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย เป็นสินค้าที่เราๆท่านๆอาจจะคุ้นเคยเสียจนมองข้ามคุณค่าที่แท้จริงของสินค้าตัวนี้”
       ลูกค้าเป็นอาแปะยืนอยู่ข้างๆออแกไน้ซ์ อาแปะพยักหน้าเห็นด้วยกับนับดาวตลอด
       “พูกล่ายลี...ดาราคงนี้พูกลี...พูกไล่ลีมากๆ...”
       “คุณนับดาวเธอเป็นคนคิดยังไงพูดอย่างงั้น”
       “พูกล่ายจับใจ อย่างงี้เส็ดงานแล้วเยียะต้องให้ทิป” อาแปะยิ้มอย่างพอใจ
       นับดาวบนเวทียังคงยิ้มแย้มแจ่มใส...
       “วันนี้...สินค้าตัวนี้ได้พิสูจน์ตัวเองอย่างเกรียงไกรไร้ข้อกังขาใดๆทั้งสิ้น เมื่อสินค้าตัวนี้ได้รางวัลจากสมาคมปาปิญอง ซึ่งเป็นสมาคมอาหารและการโรงแรมของฝรั่งเศสที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดในโลก และรางวัลนั้นคือรางวัลปาปิญองห้าดาว อันเป็นรางวัลสูงสุดของสมาคมนี้ และเจ้าของรางวัลก็คือ...ซอสพริกตราแม่กิมหยีนั่นเอง”
       นับดาวหยิบถ้วยรางวัลที่เตรียมไว้บนโพเดียวยกชู ช่างภาพถ่ายรูปกันเนือยๆ
       “และเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ซอสพริกตราแม่กิมหยีขออวาตาตัวเองใน
       รูปแบบใหม่...ขอเชิญพบกับรูปโฉมใหม่ของซอสพริกแม่กิมหยีเลยค่ะ”
       สายรุ้งระเบิด 3-4 อัน เพลงกระหึ่ม มาสค็อตขวดซอสพริกแม่กิมหยีแบบฝาปั๊มเดินขึ้นเวที รูปทรงขวดดูเฟี้ยวฟ้าวไม่เบา นับดาวถอยมาข้างเวที ปล่อยให้ช่างภาพถ่ายรูปกัน มีเสียงหัวเราะแหลมดังขึ้น ทุกคนหันขวับ เจอเอมี่เดินถือถุงพลาสติกมีกล่องโฟมหนึ่งกล่องเข้ามา
       “หวัดดีจ้ะเพื่อนนับดาว”
       นับดาวหันมามองเอมี่ อึ้งไปเหมือนกันไม่คิดว่าจะเจอ
       “หวัดดีเอมี่ ฉันทำงานอยู่นะ เดี๋ยวเสร็จแล้วค่อยคุยกัน”
       “อุ๊ย ไม่ได้ตาบอด เห็นจ้ะว่าทำงานอยู่”
       นักข่าวเริ่มหันมาสนใจเอมี่ นับดาวสีหน้าไม่ดี หันไปมองออแกไน้ซ์กับฟู่ ออแกไน้ซ์หน้าบึ้งตึง นับดาวลงเวทีมาหาเอมี่ ยิ้มหวาน เดินเข้าไปสวมกอด เอมี่ก็ยิ้มหวาน กอดด้วย นับดาวกระซิบ
       “บ้าหรือป่าว นี่มันงานคนอื่นนะ อย่ามาป่วนนะ”
       เอมี่กระซิบตอบ
       “ป่วนสิยะ ป่วนให้เจ๊งด้วย แล้วต่อไปก็จะไม่มีใครจ้างแกไปงานหรูๆอีก”
       นับดาวกระซิบ
       “แกมาป่วนแบบนี้ แกนั่นแหละจะเสีย”
       “ฉันเสียอิมเมจ แต่แกเสียรายได้ โฮะๆๆ”
       นับดาวมองหน้า เอมี่แยกตัวออกห่าง นักข่าวเริ่มหันมาให้ความสนใจกับคู่นี้แทน
       “ว่าแต่ว่า งานแบบนี้มันไม่เล็กไปหน่อยเหรอคะ สำหรับไฮโซอย่างนับดาวเนี่ย...งานเปิดตัวขวด
       ซอสพริกเนี่ยนะ”
       “ไม่เล็กหรอกค่ะ เขาได้รางวัลระดับโลกนะคะ ฟังรึเปล่าเนี่ย”
       เอมี่ฉีกยิ้ม
       “ฟังสิคะ ขำจะตาย ปาปิญองปิรันย่าป๊อกๆอะไรก็ไม่รู้ แต่เอาเถอะ นับดาวมีงานเอมี่ก็ดีใจ
       อ้ะ เอมี่เลยขอสนับสนุนงานของเพื่อนนะคะ”
       เอมี่ยื่นถุงพลาสติกให้
       “ขอเอมี่แฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์นับดาว ล่วงหน้าบ้างนะคะ”
       นับดาวยิ้ม รับถุงพลาสติกมา นักข่าวเชียร์ให้เปิด
       “เปิดเลยค่ะคุณนับดาว เปิดเลยค่ะ”
       นับดาวจำใจต้องหยิบกล่องโฟมออกมาเปิด เป็นหอยทอด
       “หอยทอดค่ะ เจ้าอร่อยด้วยนะ เอาไว้กินกะซอสพริกไงคะ”
       นักข่าวถ่ายรูปกันแบบพรึ่บพั่บ เอมี่หันไปบอก
       “นี่ พวกเรา ต่อไปนี้จะเรียกเพื่อนเอมี่ว่านับดาวว้าวแซ่บไม่ได้แล้วนะ ต้องเรียกว่านับดาว ซอสพริกนะจ๊ะ”
       นับดาวโต้ทันที
       “ขอบคุณนะ แหม กินหอยทอดไม่มีซอสพริกมันก็เหมือนขาดอะไรไปเนอะ เหมือนฉันกับเธอไง ถ้าฉันเป็นนับดาวซอสพริก ...เธอก็เอมี่ทอดหอย เอ๊ย หอยทอดนั่นแหละจ้ะ”
       “เสียใจ จะทอดหอยหรือหอยทอดฉันไม่ชอบทั้งนั้น ... แต่ซอสพริกน่ะ ยังไงมันก็เป็นซอสพริก ต่อให้ไปได้รางวัลอะไรมา เปลี่ยนลุคยังไง สุดท้ายมันก็แค่ซอสพริก”
       “ซอสพริกไม่ดีไงเหรอ วันไหนขาดซอสพริกแล้วเธอจะรู้สึก”
       “ไม่เถียงหรอกย่ะ แต่มันก็แค่ของที่เก็บไว้ในตู้กับข้าว มันเหมาะสมกับเธอมากเลยจ้ะดาว เหมาะกับเธอมากกว่ากระเป๋าแบรนด์เนมซะอีกนะเนี่ย”
       เอมี่ยิ้มเยาะ นับดาวเงียบไป
       “ไงจ๊ะ เงียบนี่แปลว่ายอมรับใช่มั้ย”
       “ก็ยอมรับน่ะสิ”
       เอมี่งง
       “ต่อให้ฉันรับงานซอสพริก ก็เป็นซอสพริกแบรนด์เนมย่ะ... ซอสพริกแม่กิมหยีก็มีมาตรฐาน
       ของของแบรนด์เนมเหมือนกัน ซอสพริกยี่ห้อนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ.2462 พัฒนาและปรับปรุง
       คุณภาพตัวเองอยู่ตลอดเวลา ได้รางวัลมากมายทั้งจากหน่วยงานรัฐและเอกชน ไม่เรียกซอส
       พริกแบรนด์เนมแล้วจะเรียกอะไร”
       เอมี่อึ้ง มีเสียงปรบมือดังขึ้น ทุกคนหันไปเจออาแปะ เดินหน้าตาขึงขังเข้ามา อาแปะพูดช้าๆ พยายามพูดไทยให้ชัด
       “ผมคือทายาทรุ่นที่สามของซอสพริกแม่กิมหยี มีบางคนบอกซอสพริกเป็นแค่ซอสพริก ผมบอกไม่จริง อาเหล่าโกวผมก่อตั้ง เตี่ยผมดูแล มาถึงรุ่นผม จึงค่อยต่อยอดพัฒนาขึ้นมา ซอสพริกจึงไม่ใช่แค่ซอสพริก แต่เป็นหยาดเหงื่อความพากเพียรของคนสามรุ่น คนที่ไม่เข้าใจไม่ควรพูดจาดูถูกคนอื่น”
       ประโยคสุดท้ายอาแปะตวาดลั่นยังกะกวนอู เงียบไปทั้งฮอลล์ โดยเฉพาะเอมี่ นับดาวปรบมือนำ พวกนักข่าวกับแขกปรบมือตาม นับดาวรีบวิ่งขึ้นไปบนเวที
       “ดิฉันคงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้วนะคะ ทุกคนได้ยินจากปากคุณสมชายแล้วถึงความตั้งใจจริง
       ดิฉันต้องขอขอบคุณเพื่อนเอมี่มากที่ได้ให้เกียรติเอาหอยทอดมาร่วมในงานนี้ แต่นอกจากหอยของเอมี่แล้ว ซอสพริกแม่กิมหลียังกินได้อร่อยกับอาหารอีกมากมายหลายอย่าง อาทิ ไข่เจียว ปลาทอด ไส้กรอก และอื่นๆอีกมากมาย อุ๊ย พูดแล้วต่อมหิวทำงานเลยค่ะ งั้นขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเชิญลิ้มลองความอร่อยที่ว่าได้ที่บู๊ธอาหารเลยค่ะ”
       นักข่าว และแขกปรบมือกัน เจ้าหน้าที่เปิดฝาภาชนะสแตนเลสที่เตรียมไว้ เป็นอาหารนานาชนิดไว้กินกับซอสพริกโดยเฉพาะ สื่อและแขกเดินมากินกัน
       อลิสากับน้อยหน่ายืนอยู่ที่มุมหนึ่งของงาน
       “หิวรึยังจ๊ะน้อยหน่า ไปกินกันมั้ย”
       อลิสาเดินไปจิ้มกิน ขณะที่น้อยหน่ายังยืนนิ่ง ดูนับดาวที่อยู่บนเวทีกับมาสค็อตซอสพริกและอาแปะ ให้นักข่าวถ่ายรูปกัน น้อยหน่าชื่นชมนับดาวมาก ขณะที่เอมี่มองไปบนเวที
       “ยัยนับดาว...ฮึ่ม...ครั้งหน้าฉันไม่พลาดแน่”
       เอมี่เดินออกไปอย่างหัวเสีย พวกนักข่าวถ่ายรูปนับดาว อาแปะ กับมาสค็อจนพอใจ ก็แยกกันออกไปหาของกินบ้าง มาสค็อตเดินลงจากเวที เหลืออาแปะกับนับดาว
       “คุงนับดาว คุงเก่งมั่ก ผมขอชมคุงจากใจจริง และขอขอบคุงคุงมากๆที่ช่วยปกป้องศักดิ์ศรีของ
       ตระกูลผม”
       “ขอบคุณมากค่ะ แต่ว่า...ต้นเหตุของเรื่องนี้ก็คือดาวเองแหละค่ะ”
       “ไม่ๆๆ อย่าถ่อมตัว ผมไม่ชมใครง่ายๆ คุณเก่งจริง”
       “ขอบคุณเช่นกันค่ะ”
       อาแปะยกนิ้วโป้งให้ นับดาวยิ้มหวานไหว้ขอบคุณอาแปะ

       นับดาวเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาชุดเดิม แล้วทำหน้าที่ขับรถ อลิสานั่งหลับอยู่หลังรถ น้อยหน่านั่งอยู่ข้างๆนับดาวหันไปชื่นชม
       “พี่ดาวเก่งจังเลยค่ะ”
       “หือ...เรื่องอะไร”
       “ที่ตอนเอมี่มาหาเรื่องพี่ แต่พี่เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เอามาเล่าประวัติโรงงานซอสพริกได้
       รางวัลนู่นรางวัลนี่ กลายเป็นดีไปเลย หน่าอยากทำอย่างพี่ได้มั่งจัง”
       “ทำไมพี่ทำได้รู้มั้ย”
       “เพราะพี่หัวดีมั้งคะ”
       นับดาวส่ายหน้า
       “เพราะตอนพี่เป็นนักเรียนพี่เป็นคนตั้งใจเรียนหนังสือมาก เวลาได้คะแนนดีกว่าเพื่อนๆพี่จะดีใจ
       มาก อันนั้นเป็นความคิดแบบเด็กๆน่ะ แต่ผลพลอยได้ของการตั้งใจเรียนคือพี่เป็นคนความจำดี วิเคราะห์และเข้าใจเรื่องได้เร็ว ใครที่บอกว่าตั้งใจเรียนไปก็เท่านั้นน่ะ เอาไปใช้ใชีวิตประจำวันไม่ได้น่ะ เข้าใจผิดอย่างแรงเลย”
       น้อยหน่านิ่งไปสักพัก
       “ขอบคุณค่ะ”

น้อยหน่ามองไปเบื้องหน้า ครุ่นคิดตามที่นับดาวพูด นับดาวชำเลืองมองน้อยหน่าแล้วยิ้มๆ

นับดาวกับน้อยหน่าเดินกลับเข้ามาบ้าน เจอปราบนั่งรออยู่ หน้าตาบึ้งตึง

       “ไปไหนกันมา”
       นับดาวเอะใจ หันมามองน้อยหน่า
       “ก็บอกแล้วไงคะว่า...”
       “ถ้าจะโกหกเรื่องเดิมน่ะหยุดเลย”
       น้อยหน่าเงียบ นับดาวตอบแทน
       “ฉันพาน้อยหน่าไปงานอีเว้นต์มา”
       “ทำไมไม่บอกผมก่อน”
       น้อยหน่ารีบแก้ตัว
       “พี่ดาวเค้าให้หน่าบอกพ่อแล้ว แต่หน่ารู้ว่าพ่อไม่ให้ไปแน่ๆ ก็เลยบอกว่าไปติวหนังสือ
       ไม่เกี่ยวกับพี่ดาวหรอก”
       “ก็เลยโกหกพ่องั้นสิ”
       “ค่ะ”
       “พ่อเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามโกหก”
       “ค่ะ แต่หน่าโกหกไปแล้ว พ่อจะทำอะไรหน่าก็เชิญ”
       “ได้...”
       ก่อนที่ปราบจะพูดอะไร นับดาวลุกขึ้นมาขวางระหว่างทั้งสองคนก่อน
       “น้อยหน่า ขึ้นไปบนห้องก่อน”
       “เดี๋ยว...”
       ปราบเขยิบมาจะไปหาน้อยหน่า นับดาวขยับมาขวางหน้าปราบ
       “ถอยไป คุณไม่เกี่ยว นี่เป็นเรื่องของผมกับลูก”
       “อย่าลืมสิ คุณให้ฉันเป็นพี่เลี้ยงน้อยหน่า ฉันจะไม่เกี่ยวได้ไง”
       “ถ้าอย่างนั้น...”
       นับดาวแทรก...
       “ถ้าจะไล่ฉันออกก็ได้ แต่นั่นหมายความว่าคุณเป็นฝ่ายผิดสัญญานะ จำได้ใช่ไหมว่าเรา
       ตกลงกันว่ายังไง”
       ปราบเม้มปาก ไม่พูดอะไรอีก
       “น้อยหน่า เธอขึ้นไปที่ห้องก่อนเถอะ”
       น้อยหน่าเดินขึ้นห้องไป นับดาวรอจนได้ยินเสียงประตูห้องปิด ค่อยคุยกับปราบ
       “คุณคิดจะลงโทษเขายังไง”
       “ผมจะกักบริเวณ ถ้ายังไม่เชื่อ ก็ไล่ออกจากบ้านไป ผมเคยคุยกับเขาแล้วว่าห้ามโกหกเด็ดขาด”
       นับดาวถอนใจ...
       “เอาเป็นว่าฉันขอคุยกับเขาก่อนได้ไหม ส่วนเรื่องกักบริเวณอะไรนั่น เก็บไว้ก่อน”
       ปราบมองหน้านับดาว ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง
       “ได้”
       ปราบจะเดินออกไป
       “คุณไม่ต้องไปไหนหรอก รออยู่นี่แหละ” นับดาบบอก แล้วตามน้อยหน่าไป

       นับดาวเคาะประตู น้อยหน่ามาเปิดประตูให้ นับดาวเข้ามาในห้องแล้วหาว...
       “อยากพูดอะไรก็พูดเถอะ รอฟังอยู่”
       นับดาวมองหน้าน้อยหน่า
       “ฉันทั้งเหนื่อยแล้วก็ง่วงมาก เอาสั้นๆละกัน อย่าทำอีก โอเคมั้ย”
       น้อยหน่าเงียบ นับดาวก็เงียบไปครู่ แล้วตัดสินใจ...
       “ได้ค่ะ”
       “ดี”
       นับดาวลุก เดินไปเปิดประตูออกไปจากห้อง
       “แค่นี้เองเหรอ”
       “อื้อ”
       นับดาวออกไป น้อยหน่านั่งอยู่คนเดียวพูดขึ้นอย่างรู้สึกดีกับนับดาว
       “ขอบคุณค่ะที่ให้เกียรติหนู”

       นับดาวเดินลงมา ปราบขมวดคิ้ว
       “อย่าบอกนะว่าคุยเสร็จแล้ว”
       “คุยเสร็จแล้ว”
       “คุณเข้าไปคุยหรือเข้าไปตดกันแน่”
       นับดาวค้อน...
       “เข้าไปคุยย่ะ เรียบร้อยแล้ว ต่อไปนี้เขาจะไม่โกหกคุณอีก ไม่ต้องมีกักบริเวณ โอเคมั้ย”
       ปราบงง
       “ทำไมเร็วจัง แล้วทำไมมั่นใจนัก”
       “ลูกคุณโตแล้วนะ คุยกันแบบผู้ใหญ่ก็ได้ อ้อ แล้วช่วยเปลี่ยนความคิดซะด้วยนะ”
       นับดาวเดินเข้าห้องไป ปราบนึกทบทวนสิ่งที่นับดาวพูด

       ที่คาร์แคร์หรู...เอมี่ยื่นกุญแจรถให้พนักงาน
       “รีบๆหน่อยนะ ฉันมีธุระ”
       “ไม่เกินครึ่งชั่วโมงครับ เชิญคุณผู้หญิงดื่มกาแฟรอได้เลยครับ”
       เอมี่เดินไปยังโซนรอรับรถ พร้อมๆพนักงานอีกคน ที่เดินเข้าไปหาชนะชัย
       “รถคุณผู้ชายเสร็จแล้วครับ”
       เอมี่มองตามชนะชัยไป แล้วพึมพำ
       “ยัยนับดาว...ฉันรู้ละว่าจะเอาคืนแกยังไง”
       เอมี่หยิบมือถือขึ้นมา แกล้งพูดเสียงดังเผื่อให้ชนะชัยได้ยิน
       “อะไรนะคะ เลื่อนนัดเป็นตอนเที่ยง...เอ่อ...แต่ว่า...ค่ะๆๆ”
       เอมี่ถอนใจ ชนะชัยหันมา
       “อ้าวคุณเอมี่”
       “สวัสดีค่ะ คุณจ๊อบ บังเอิญจังนะคะ”
       “คุณเอมี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ สีหน้าดูไม่ดีเลย”
       เอมี่แสร้งถอนใจ เพื่อจะขอความช่วยเหลือ

       เอมี่กับชนะชัยเข้ามาในล็อบบี้โรงแรม เอมี่ทำเป็นดูนาฬิกา
       “คุณจ๊อบเนี่ยบ้าจัง”
       “ทำไมล่ะครับ”
       “แหม ก็คุณเล่นพาเอมี่มาถึงก่อนเวลาตั้งนาน เหลืออีกตั้งชั่วโมง แล้วเอมี่จะทำอะไรล่ะคะทีนี้”
       “อ้าว ก็คุณเอมี่บอกไม่ทันประชุมนัดสำคัญ ผมก็เลยรีบซิ่งมาเลย”
       เอมี่ย้มหวานให้
       “ไม่รู้ล่ะ คุณจ๊อบต้องรับผิดชอบด้วย”
       “จะให้ผมรับผิดชอบยังไงเหรอครับ”
       “ต้องทานข้าวกลางวันกับเอมี่ด้วยค่ะ แล้วต้องให้เอมี่เลี้ยงด้วย ไม่งั้นเอมี่ไม่ยอม”
       “เอ่อ...”
       “นะคะ ให้โอกาสเอมี่ได้ตอบแทนความมีน้ำใจของคุณบ้างนะคะ”
       “ครับ”
       “ขอบคุณค่ะ”

เอมี่ยิ้มชอบอกชอบใจ

//www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9550000063716&Page=4
เวลานั้น นับดาวขี่จักรยานมาที่คอกวัว เดินอารมณ์ดี เข้าไปหยิบคราดมา ตักหญ้าที่อยู่อีกมุมหนึ่ง

       “หิวรึยังจ๊ะพี่กะทิ”
       นับดาวเดินถือคราดเสียบหญ้ามาที่คอก แล้วก็งง มีแต่คอกเปล่าๆ
       “อ้าว พี่กะทิไปไหนล่ะเนี่ย”
       นับดาวเดินหา เจอคนงานเดินมา
       “พี่คะ พี่กะทิไปไหนเหรอคะ”
       “อ๋อ เอาไปเชือดแล้วครับ”
       “อะไรนะคะ”
       “เอาไปเชือดครับ ขนขึ้นรถไปเมื่อกี้นี่เองครับ”
       นับดาวปล่อยคราดตกจากมือ
       “พี่กะทิ...”
       นับดาวรีบวิ่งไปขึ้นจักรยานทันที

       นับดาวปั่นจักรยานมาเต็มแรง เห็นห่างออกไปลิบๆ รถบรรทุกวัวจอดอยู่ข้างทาง บนรถมีวัวเนื้ออยู่หลายตัว มีกะทิอยู่ด้วย
       “รอแป๊บนึงนะพี่กะทิ”
       นับดาวปั่นจักรยานไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ปกป้องไปปัสสาวะอยู่ข้างทาง ปราบรออยู่บนรถ ปกป้องเสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับมาขึ้นรถ นับดาวขี่จักรยานตรงเข้ามา ตะโกนลั่น
       “หยุด หยุดก่อน”
       ปราบสตาร์ทเครื่องกลบเสียงนับดาว นับดาวเร่งฝีเท้าพยายามถีบให้เร็วขึ้น แต่ปราบขับออกไปแล้ว นับดาวรีบกวดตามไป รถบรรทุกวัวเลี้ยวออกถนนใหญ่ไปแล้ว นับดาวหอบแฮ่ก
       “พี่กะทิ...”
       นับดาวนึกบางอย่างได้ หยิบมือถือขึ้นมาโทรไปแจ้งความทันที

       ตำรวจสายตรวจสองนาย อยู่บนมอเตอร์ไซค์กำลังตระเวนดูความเรียบร้อยตามซอย มี ว.แจ้งเหตุเข้ามา เวลาเดียวกัน รถบรรทุกวัวก็วิ่งบนถนนผ่านหน้าปากซอยที่สายตรวจอยู่พอดี สายตรวจเห็นแล้ว รีบขับตามไป ตำรวจขับแซงหน้ารถบรรทุกวัว ชี้ให้จอดข้างทาง ปราบรีบจอดทันที
       “อะไรวะ” ปกป้องงง
       “ไม่รู้สิครับ”
       ตำรวจทั้งสองนายลงจากรถ ชักปืนออกมา
       “ลงมาเดี๋ยวนี้”
       ปราบกับปกป้องตกใจ
       “อะไรครับนี่”
       “ชักปืนออกทำไม มีอะไรก็คุยกันก่อนสิ”
       “บอกให้ลงมา เดี๋ยวนี้”
       ปราบกับปกป้องชูมือสองข้างขึ้นลงจากรถ
       “หันหน้าเข้าหารถ เอามือไว้ที่รถ”
       ทั้งสองคนทำตาม ตำรวจคนหนึ่งเข้ามาค้นอาวุธ ขณะที่อีกคนยืนถือปืนคุมเชิงอยู่ ตำรวจค้นไม่เจออาวุธ
       “เคลียร์”
       ตำรวจเดินออกไปดูด้านหลัง
       “ผมต้องขออนุญาตตรวจค้นรถคุณก่อน”
       ปราบถาม
       “ขอผมดูบัตรก่อนได้มั้ย ตำรวจจริงหรือเปล่า”
       “อ๋อ หัวหมอซะด้วย”
       “สัตว์…”
       ปราบพูดไม่ทันจบ ตำรวจโวย
       “อ๊ะ หมิ่นประมาทเจ้าหน้าที่เหรอ”
       “เปล่า ก็คุณบอกผมเป็นหมอ ผมจะบอกว่าผมเป็นหมอสัตว์ เอ้า ไม่เชื่อก็ดู”
       ปราบหยิบกระเป๋า ส่งบัตรประจำตัวสัตวแพทย์สภาให้ดู ตำรวจดูอย่างละเอียด ท่าทีขึงขังเริ่มหายไป
       “เอ่อ...คือเราได้รับแจ้งว่าบนรถคุณว่ามีคนโดนจับ สงสัยว่าจะเอาไปฆ่าทำลายศพ”
       ตำรวจยื่นบัตรตำรวจให้ปกป้องดู
       “ตำรวจจริงว่ะ”
       ปราบพยักหน้าให้
       “เชิญค้นครับ”
       ตำรวจที่ไปค้นกระโดดลงมาจากรถ
       “ค้นเรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีพิรุธอะไรครับ มีแต่วัว”
       ปราบกับปกป้องเหล่
       “แล้วจะขออนุญาตทำชะมดเช็ดอะไร” ปกป้องบ่น
       “แล้วใครแจ้งมั่ววะเนี่ย” ตำรวจหัวเสีย
       ขณะเดียวกัน รถโฟร์วีลของปราบวิ่งมาจอดเอี้ยด นับดาวลงมาจากรถ
       “ขอบคุณคุณตำรวจมากค่ะ ที่หยุดฆาตกรพวกนี้ไว้ได้ทัน”
       ตำรวจหันมาคุยด้วย
       “อ้อ คุณเองเหรอที่เป็นคนโทรแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายน่ะ”
       “ค่ะ”
       “คุณเข้าใจผิดอะไรรึเปล่า หรือว่าโทรป่วนตำรวจเล่น ผมไม่เห็นมีอะไรผิดปกติบนรถเลย”
       “นี่ไง...เขาจะพาพี่กะทิไปฆ่า”
       ตำรวจงง ปราบได้ยินแล้วกลุ้มใจ หน้าละเหี่ย ช่วยเฉลยให้ฟัง
       “พี่กะทิคือวัวครับ”
       ตำรวจพูดออกมาพร้อมกัน
       “วัวเนี่ยนะ”
       “ค่ะ”
       “คุณจะบ้าเหรอไง”
       “วัวก็มีชีวิตเหมือนคุณเหมือนฉัน จะพาเขาไปฆ่าน่ะ ถามเขารึยังว่าเต็มใจมั้ย ถ้าไม่เต็มใจมันก็
       เหมือนฆาตกรรมนั่นแหละ”
       ตำรวจส่ายหน้า พากันไปขึ้นมอเตอร์ไซค์
       “นี่ จะไปไหน กลับมาก่อน”
       “ถ้ายังไม่เลิกติงต๊อง ผมจะจับคุณข้อหารบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ เข้าใจมั้ย”
       ตำรวจขึ้นมอเตอร์ไซค์ ขับออกไป
       “สนุกมากใช่มั้ย ป่วนกันแบบนี้เนี่ย”
       “ฉันไม่ได้จะป่วนคุณ แต่ฉันจะช่วยชีวิตพี่กะทิ คุณน่ะ เลวและเห็นแก่ตัวมาก เลี้ยงเขาจนโต
       แล้วก็พาเขาไปฆ่าแบบนี้เนี่ย จิตใจคุณทำด้วยอะไร”
       “ก็มันเป็นวัวเนื้อ จะให้เลี้ยงไว้ไถนารึไง คุณเคยกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อมั้ย เคยกินสเต็กมั้ย เคยกินเนื้อกะเพรามั้ย เคยกินเขียวหวานเนื้อมั้ย...ถ้าไม่เอาวัวเนื้อไปฆ่าแล้วจะเอาเนื้อที่ไหนกิน”
       นับดาวอึ้ง ปราบสะกิดปกป้อง จะเดินกลับขึ้นรถ
       “งั้นฉันขอซื้อพี่กะทิ..ไม่ ซื้อทุกตัวเลย บอกมา เอาเท่าไหร่”
       “ผมไม่ขาย”
       “อะไรนะ...ฉันให้ราคาสูงกว่าที่โรงเชือดให้”
       “เงินคุณซื้อไม่ได้ทุกอย่างหรอกนะ”
       ปราบเดินไปขึ้นรถ นับดาวมองพี่กะทิ น้ำตาไหล กะทิก็มองมาที่นับดาว น้ำตาไหลเช่นกัน ปราบขึ้นรถมาสตาร์ทเครื่อง ขับออกไป

       ปราบมองกระจกหลัง เห็นนับดาวยืนร้องไห้โฮมองตามกะทิตาละห้อย ปราบยังมองนับดาวจนลับตา

       ที่บริเวณโรงเชือด...ปราบยืนดูคนงานกำลังต้อนวัวลงจากรถของเขา ขณะที่ปกป้องยืนคุยกับพนักงานของโรงงานอยู่อีกด้านหนึ่ง คนงานต้อนวัวลง เหลือกะทิเป็นตัวสุดท้าย คนงานจะเอากะทิลง ปราบเดินเข้าไปบอก

       “ตัวนี้ไม่ต้อง ตัวนี้ผมจะพากลับ”
       ปกป้องหันมาเห็น ยิ้มกับตัวเอง

       ปราบพากะทิไปที่บ้านน้องนก
       “ฝากเลี้ยงหน่อยนะ”
       “โอ๊ย ไม่มีปัญหาหมอ กำลังอยากกินต้มแซ่บพอดี”
       ปราบทำหน้าดุไม่ตลก
       “ล้อเล่นน่ะหมอ”
       นกพากะทิไปเข้าคอก ปกป้องหันมาคุยกับปราบ
       “ตอนแรกอานึกว่าแกจะพากลับไปเลี้ยงที่คอกเหมือนเดิม”
       “ไม่อ่ะครับ ไม่อยากให้ยัยนับดาวรู้”
       “อ้าว นึกว่าที่ไม่ขายเพราะอยากจะเอาใจเขา”
       “เอาใจยัยหมามุ่ยนั่น ไม่มีทางหรอกครับ”
       “แล้วพามันกลับมาทำไม”
       “ก็...เห็นยัยนั่นร้องไห้ แล้วอดสงสารไม่ได้ แต่ถ้าพากลับไปให้เห็น มันก็ไม่ใช่เรื่อง เราเลี้ยงโค
       เนื้อ ถึงเวลาก็ต้องพาเข้าโรงฆ่า มันเป็นธรรมชาติของเรา เขาต้องยอมรับความจริงเรื่องนี้”
       “ซับซ้อนจังโว้ย”
       ปกป้องมองปราบ พยายามค้นหาความจริงบางอย่าง

       ในห้องเรียน...บนกระดานดำเขียนว่า ประชุมเรื่องกิจกรรมงานวันรักษ์โรงเรียน พวกนักเรียนกำลังประชุมกันเอง พวกหน้าห้องเป็นพวกเด็กเรียน มีอัปสรอยู่ด้วย คุยกันท่าทางจริงจัง ขณะที่ตะวันวาดกับน้อยหน่านั่งอยู่หลังห้องไม่สนใจ
       “นี่น้อยหน่า ถามอะไรหน่อยดิ” ตะวันวาดหันมาถาม
       “ก็ถามมาดิ”
       “เธอว่าพ่อเธออยากมีแฟนใหม่มั้ย”
       น้อยหน่าหันมามองตะวันวาดอยู่ครู่หนึ่ง
       “ไม่อยาก”
       “เขาเคยบอกเธอเหรอ”
       “เปล่า แต่ฉันรู้ว่าเขาไม่อยากมีแฟนใหม่ เขารักแม่ฉันคนเดียว”
       “แต่มันก็นานแล้วนะ”
       “บอกไม่ก็ไม่สิ ถามทำไม”
       “เผื่อพ่อเธอเขาอยากมีแฟน เราจะได้ช่วยหาแฟนใหม่ให้เขาไง”
       น้อยหน่าไม่พอใจ
       “ไม่ต้องเลย เขาไม่มีวันเห็นคนอื่นดีกว่าแม่ฉันหรอก”
       “อาจจะไม่ดีเท่าแม่เธอ แต่อาจจะมีแบบใกล้เคียง ถ้ามีผู้หญิงแบบนั้น เธอคิดว่าพ่อเธอจะสน
       ไหมล่ะ”
       “บอกแล้วไงว่าไม่ ถามจริงๆเหอะ จะจับคู่พ่อฉันกับใคร”
       อัปสรหันขวับมา โวยมาจากหน้าชั้น
       “นี่ เกรงใจกันมั่งสิ พวกฉันประชุมกันอยู่นะ เธอไม่ช่วยอะไรก็อยู่เฉยๆ อย่ามาทำเป็นมือไม่พาย
       เอาเท้าราน้ำได้มั้ย”
       “เออ ขอโทษ...มีอะไรให้ทำก็สั่งมาละกัน”
       อัปสรบ่นพึมพำ หันไปประชุมกันต่อ น้อยหน่าหันกลับมามองตะวันวาด
       “อย่าบอกนะว่านับดาว”
       “เปล่า”

น้อยหน่าจ้องหน้า ตะวันวาดมองไปทางอื่น

พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ท้องฟ้าดูสวย นับดาวมานั่งอยู่ตรงมุมโปรดของเธอ ปราบจอดรถ เดินมาหา นับดาวหันมาเห็น เมินมองไปทางอื่น

       “ยังไม่หายโกรธผมเหรอ”
       “ตั้งแต่วันนี้ฉันจะเลิกกินเนื้อวัวตลอดไป”
       “อืม เดี๋ยวผมจะบอกป้าพวงให้”
       “แล้วฉันจะไม่ทำงานให้อาหาร ล้างคอก หรืออะไรก็ตามกับวัวเนื้ออีกต่อไป”
       ปราบถอนใจ
       “คิดไม่ถึงว่าคุณจะอ่อนไหวขนาดนี้”
       “คุณจะเรียกฉันว่าอ่อนไหว หรือดัดจริตก็ได้ แต่ฉันไม่คุ้นเคยกับเรื่องโหดร้ายแบบนี้”
       “คุณจะเรียกผมว่าโหดร้ายหรือฆาตกรก็ได้ แต่นี่เป็นงานของผม”
       “เมื่อก่อนตอนฉันกินเนื้อ ฉันไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย”
       “วันไหนผมพาคุณไปดูชาวนาเขาทำนาดีกว่า แล้วครั้งต่อไปเวลาคุณกินข้าว คุณจะรู้ตัวว่าโชคดีมากแค่ไหนที่แค่สั่งบ๋อยไปแป๊บเดียว ก็มีคนเอาข้าวมาให้กินแล้ว”
       “ไม่ต้องประชดกันหรอกย่ะ แล้วฉันก็เคยทำนาแล้วด้วย”
       “คุณเนี่ยนะ”
       “ตอนเรียนประถมน่ะ โรงเรียนเขาพาไปทำนา จะได้รู้คุณค่าของข้าว”
       “ได้ผลมั้ย”
       “แน่นอน เด็กโรงเรียนฉันไม่มีใครมีนิสัยกินทิ้งกินขว้างเลย”
       “เป็นโรงเรียนที่ดีมาก”
       ปราบกับนับดาวยิ้มให้กัน มือถือนับดาวหล่นลงพื้นหญ้าโดยเธอไม่รู้ตัว

       นับดาวเคาะประตูห้องน้อยหน่า แล้วเดินเข้าไปในห้อง น้อยหน่าหยิบสมุดโน้ตมาเล่มหนึ่ง
       “อาทิตย์หน้ามีกิจกรรมวันรักษ์โรงเรียน พวกกรรมการห้องเขาจะให้เพื่อนๆเดินรณรงค์เรื่องความสะอาดไปตามถนน มีดนตรี แล้วก็มีแดนเซอร์ แล้วเขาก็ให้หน่าออกแบบเสื้อสำหรับแดนเซอร์ หน่าลองสเก็ตช์ออกมา ... พี่ดาวชอบแบบไหน”
       น้อยหน่ายื่นแบบเสื้อทีมรณรงค์ให้นับดาวดู มีอยู่ 7-8 แบบ นับดาวรู้สึกแปลกใจ
       “เขียนเองเหรอ”
       “ค่ะ”
       นับดาวไม่พูดอะไรอีก พิจารณาดูทีละรูป แล้วชี้...
       “แบบนี้กับแบบนี้น่าพัฒนาต่อไปได้...อันอื่นพี่ไม่ชอบ ...อันแรกนี่ พี่ว่าติดกระดุมตรงนี้ ดูรก อาจจะใช้เป็นเวลโครเทปก็ได้นะ แต่พี่ชอบการใช้สี แรงแต่ลงตัว...แบบที่สองเรียบง่ายดี แต่ฟ้อนต์ไม่สวย แฟชั่นก็จริงแต่ไม่เหมาะกับงาน น่าจะเป็นฟ้อนต์ที่มีพลัง มีความกะฉับกะเฉงมากกว่านี้นะ”
       “ขอบคุณค่ะ งั้นเดี๋ยวหน่าเขียนแบบใหม่ แล้วจะให้พี่ดูอีกที แต่ตอนนี้พี่ออกไปก่อน”
       “หา”
       “หน่าไม่ชอบให้ใครอยู่ด้วยตอนหน่าทำงาน เดี๋ยวเสร็จแล้วเอาไปให้ดูเอง”
       “โอเคจ้ะ”
       นับดาวเดินออกจากห้อง

       นับดาวเดินลงมาจากชั้นบน ตบๆตามกระเป๋า ปราบมองๆ
       “เป็นอะไรครับ แมลงสาปคลานเข้าไปในกางเกงเหรอ”
       นับดาวหันมาทำตาเขียว
       “ยังไม่สกปกขนาดนั้นย่ะ คิดได้นะ...สงสัยฉันจะทำมือถือตกตรงที่นั่งเล่นตอนเย็นน่ะ ขอยืมรถเดี๋ยวนะ”
       “ผมไปเป็นเพื่อนดีกว่า ตรงนั้นมืดมาก”
       “ไม่เป็นไร ฉันไปเองได้”
       “แถวนั้นกบเยอะ”
       “ฉันไม่กลัวกบหรอกย่ะ”
       “แต่งูเขียวมันชอบมากินกบ”
       นับดาวชะงัก

       เมื่อไปถึงที่นั่งเล่น ปราบถือไฟฉายส่องทางให้ นับดาวก้มๆเงยๆหามือถือ
       “เจอแล้ว”
       นับดาวเหยียดตัวไปหยิบมือถือ ขาลื่นปื้ด หน้าทิ่ม
       “ลืมเตือนว่าน้ำค้างมันลง หญ้าจะลื่นหน่อย”
       นับดาวร้องโอดโอย ลุกไม่ขึ้น
       “คุณนับดาว”
       ปราบรีบเข้ามาดู นับดาวชี้ที่ข้อเท้า
       “สงสัยเท้าแพลงค่ะ”
       ปราบยกแขนนับดาวข้างที่เท้าแพลงคล้องคอเขา ประคองลุกขึ้นยืน
       “ไปที่บ้านก่อน”
       “ค่ะ”
       ปราบประคองนับดาวเดินไปที่รถที่จอดห่างออกไป นับดาวชำเลืองมองปราบ

       น้อยหน่าออกมาจากห้อง พร้อมสมุดโน้ตที่เขียนแบบใหม่เสร็จแล้ว ลงมาที่โถงบ้าน
       “พี่นับดาว”
       น้อยหน่าหานับดาวไม่เจอ ตรงไปที่ห้อง เคาะประตู แต่ตอนนั้นเองก็มองเห็นที่หน้าบ้าน เห็นนับดาวกำลังนั่งให้ปราบนวดข้อเท้าข้างที่แพลงอยู่ ขณะที่ปราบนวดให้ นับดาวแอบมองปราบ

น้อยหน่าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด สีหน้าเปลี่ยนไป กลายเป็นหน้าบึ้งตึง แต่ไม่พูดอะไร เดินกลับเข้าห้องไป

อ่านต่อตอนที่ 6



Create Date : 25 พฤษภาคม 2555
Last Update : 28 พฤษภาคม 2555 9:44:20 น. 0 comments
Counter : 460 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.