เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
28 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
หนุ่มบ้านไร่ฯ ตอนที่ 6-1

หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 6

ตะวันวาดนั่งใช้แล็ปท้อปอยู่ ที่หูมีบลูทูธเสียบอยู่

       “บริษัทผมกำลังขยายงาน ผมต้องการสินค้า...15 ล้านยูโรใช่มั้ย ไม่มีปัญหา” ตะวันวาดรัวคีย์บอร์ดแล้วเคาะเอ็นเทอร์ “ผมโอนให้แล้ว ส่งของมาได้เลย”
       ตะวันวาดถอดบลูทูธ ยกแก้วไวน์ใส่นมสดคลึงเขย่าวนเบาๆแล้วจิบช้าๆ นับดาวใส่ชุดปิจาม่าเดินออกมา
       “มาหลบอยู่ตรงนี้เองหรือคะ ตะวันวาด
       “เจรจาธุรกิจน่ะครับ”
       “เสร็จแล้วใช่ไหมคะ ไปเล่นน้ำกันเถอะค่ะ นับดาวร้อนจังเลย”
       “ได้สิครับ”
       น้อยหน่าใส่ชุดสวยน่ารัก เดินออกมา
       “ไม่ได้นะตะวันวาด เธอสัญญาว่าจะพาฉันไปดูหนังไม่ใช่เหรอ”
       “จริงด้วย ให้นับดาวไปด้วยคนนะน้อยหน่า”
       “ไม่ได้ เราเป็นแฟนกัน เราต้องไปกันสองคน”
       นับดาวมองทั้งสอง
       “พวกเธอจะเป็นแฟนกันได้ไง อย่าลืมสิ พวกเธอเป็นพี่น้องกันนะ”
       น้อยหน่ามองหน้าตะวันวาดอย่างแปลกใจ
       “หา...เราเป็นพี่น้องกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
       ปราบกับสุนทรีเดินคล้องแขนกันออกมา
       “ก็พ่อเธอแต่งงานกับแม่เรา เราสองคนก็เป็นพี่น้องกันน่ะสิ...ใช่มั้ยแม่”
       สุนทรียิ้มให้ พยักหน้าให้ตะวันวาด

       ตะวันวาดนั่งหลับฝันหวานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คาโต๊ะ มีสมุดหนังสือเรียนอยู่ด้วย สุนทรีเดินมาตบหลังลูกชายเบาๆ
       “ตะวัน...ตะวัน...”
       ตะวันลืมตาตื่นขึ้น เจอสุนทรีใส่ชุดเหมือนในฝัน
       “แม่...อาปราบล่ะครับ”
       “อาปราบเขาก็อยู่ที่บ้านเขาน่ะสิ ฝันถึงเขาหรือไง”
       ตะวันวาดอึกอัก
       “เอ่อ...ผมฝันว่า...เอ่อ...ไม่เล่าดีกว่า”
       สุนทรีจ้องหน้าลูกชาย
       “ฝันถึงอาปราบหรือลูกสาวอาปราบกันแน่”
       “ก็...มีน้อยหน่าอยู่ในนั้นด้วยอ่ะครับ”
       สุนทรีหัวเราะ
       “อินมากขนาดเก็บไปฝันเลยเหรอ นี่ ตะวัน ไอ้เรื่องแฟนเรื่องกิ๊กเนี่ย ลูกอย่าไปอะไรกับมันมากเชื่อแม่นะ เดี๋ยวจะเสียการเรียน”
       “ผมไม่ได้หมกมุ่นอะไรหรอกครับ แค่ขำๆน่ะครับ เอ่อ แล้วแม่ล่ะครับ”
       “แม่ทำไม”
       “แบบว่า...แม่เหงามั้ย อยากมีแฟนมั้ยครับ”
       สุนทรีหัวเราะ
       “อย่าปีนเกลียวย่ะ เรื่องของแม่”
       สุนทรีเดินออกไป ตะวันวาดพูดขึ้น
       “เอ่อ แม่ครับ วันก่อนที่ไปกินข้าวบ้านอาปราบ อร่อยไหมครับ”
       “ก็อร่อยดี”
       “วันไหนเรากินกันอีกไหมครับ”
       “ถ้าลูกชอบก็เอาสิจ๊ะ”
       สุนทรีเดินห่างไป ตะวันวาดครุ่นคิด
       “ตอบแบบนี้แสดงว่าแม่เราก็ต้องมีใจเหมือนกัน”

       ค่ำนั้น...ที่ร้านคาราโอเกะซึ่งมีลูกค้าพอสมควร ปกป้องกำลังร้องเพลงอยู่หน้าตู้คาราโอเกะ มีเจิดเป็นลูกคู่ พอร้องเพลงจบก็มีเสียงปรบมือ ปกป้องหันกลับมา เจอเสี่ยไฝ มากับบอดี้การ์ดตามเคย
       “เสียงดีนี่คุณปกป้อง”
       “ขอบคุณที่ชม เสี่ยนี่หูถึงเหมือนกันนะเนี่ย”
       “ผมยังพูดไม่จบซะหน่อย จะบอกเสียงคุณดีกว่าหมูออกลูกนิดนึง”
       เสียไฝหัวเราะร่า ปกป้องสวนขึ้น
       “ผมก็ยังพูดไม่จบ จะบอกว่าหูของเสี่ยสูงถึงหัวเข่าแล้ว ดีใจด้วย”
       เสียไฝชะงักกึก บอดี้การ์ดขยับตัว เจิดเดินมาประชันหน้าบอดี้การ์ด แต่เสี่ยไฝยกมือปรามไว้ เสี่ยไฝกับปกป้องหัวเราะแบบไว้เชิงกันทั้งคู่ ก่อนที่เสี่ยไฝจะเยาะเย้ยถากถาง
       “ร้องเพลงเก่งอย่างงี้ งานเกษตรปีนี้จะขึ้นเวทีประกวดมั้ยเนี่ย”
       “อ๊ะ อันนี้ความลับของทางไร่ครับ บอกไม่ได้”
       “อ้อ พูดอย่างนี้แสดงว่าเตรียมการไว้แล้วสิ”
       “ก็คงไม่มากไม่น้อยไปกว่าของเสี่ยหรอกครับ”
       “แต่ปีนี้ผมจัดหนักมาก ไร่ไหนๆรวมทั้งไร่ปรีดาของคุณก็ทาบไม่ติดหรอก”
       “ได้ข่าวว่าปีนี้จะมีรัฐมนตรีมามอบถ้วย มิน่า เสี่ยเลยคึกคักขึ้นมาเป็นพิเศษ...เอ แต่เสี่ยกับท่านรัฐมนตรีอยู่คนละฝ่ายกันไม่ใช่เหรอครับ”
       “ถูกต้อง ใครๆก็รู้ว่าผมน่ะเป็นหัวคะแนนให้ศัตรูของเขา ถ้าเขาต้องมอบถ้วยให้ผม คงสะใจกัน
       ทั้งวงการ ผมแอบติดต่อพวกสื่อมวลชนมาเพียบเลยนะ ฮ่าๆๆ เพราะฉะนั้นปีนี้ผมต้องเอาถ้วยให้ได้”
       ปกป้องยิ้มเยาะ
       “ปู้โธ่ ถ้าผมเป็นเสี่ย ผมแอบซื้อกรรมการดีกว่า จะไปจัดหนักบนเวทีทำไมให้ยุ่งยาก”
       “ทำไมผมจะไม่คิดแต่ฝ่ายนู้นมันก็คิดเหมือนกัน สุดท้ายเลยได้กรรมการเป็นกลาง ไม่เข้าข้าง
       ใครสักคน”
       ปกป้องพยักหน้าเข้าใจ
       “อ้อ อย่างงี้นี่เอง งั้นก็ขอให้โชคดีนะครับ”
       “ผมอยากให้คุณเข้าใจสถานการณ์ คู่แข่งที่สำคัญที่สุดของผมก็คือไร่ปรีดา ได้ถ้วยไปก็หลายปี แต่ปีนี้เว้นให้ผมละกัน อย่าทำอะไรสวยงามหรือโดดเด่นให้มันมากนัก”
       เจิดแทรกขึ้น
       “จะขอให้ล้มมวยก็ว่ามาตรงๆเลยดีกว่าครับ”
       เสี่ยไฝกลับหัวเราะชอบใจ
       “ถ้าขนาดลูกน้องยังรู้เรื่อง เจ้านายก็คงเข้าใจดีแล้วนะครับ”
       เสี่ยไฝยื่นมือมาจะขอเช็คแฮนด์ ปกป้องยิ้ม ส่งไมค์คาราโอเกะในมือยัดเข้ามือเสี่ยไฝ
       “เชิญครับเสี่ย ผมกำลังจะกลับพอดี”
       ปกป้องกับเจิดเดินออกไป เสี่ยไฝมองตามไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

       เช้าวันใหม่...ปราบ ปกป้อง นับดาว มากินกาแฟกันที่ร้านกาแฟวิวสวยๆริมทาง
       “ถ้าอาไม่เตือน ผมเกือบจะลืมซะด้วยซ้ำเรื่องประกวดเนี่ย”
       นับดาวงงๆไม่เข้าใจว่าปราบพูดอะไร
       “ประกวดอะไรเหรอ”
       “เป็นงานเกษตรประจำปีน่ะ แต่เขาจะมีประกวดการแสดงของไร่ต่างๆด้วย ส่วนใหญ่ก็ร้องเพลง
       เต้นรำ” ปกป้องอธิบาย
       ปราบเสริม
       “ปีแรกๆไม่ค่อยมีใครส่งหรอกเห็นว่าสิ้นเปลือง นอกจากไร่ปรีดา เพราะเราเห็นว่าคนงานเขา
       ชอบกันมาก ตั้งใจซ้อมตั้งใจเล่นกันเต็มที่ เราก็สนับสนุนเงินทุน”
       “ทีนี้จัดไปๆคนมาดูงานเขาก็ติดใจจนกลายเป็นหน้าตาของงานไปเลย ทีนี้ก็เริ่มแข่งกันจริงๆจัง ปีแรกๆไม่ค่อยมีใครส่ง เราได้แชมป์ตลอด พอปีหลังเราก็ถือเป็นศักดิ์ศรีต้องป้องกันแชมป์เอาไว้”
       นับดาวเริ่มเข้าใจ
       “แต่ปีนี้เสี่ยไฝเกิดอยากได้ถ้วยขึ้นมาเป็นพิเศษ เลยมาเคลียร์กับไร่ปรีดาก่อน”
       “อยากได้ก็ให้เขาไป แชมป์เชิ้มอะไรน่ะ ผมไม่สนหรอก ช่างมันเหอะ ให้คนงานเราได้สนุกก็พอ”
       “อาเห็นด้วย เสี่ยไฝมันอยากได้ถ้วยก็ให้มันไป เราก็ทำแบบของเราให้คนงานเราได้สนุกก็พอ”
       ทั้ง 3 คน เดินออกมาจากร้านกาแฟ ไปที่รถ นับดาวนึกอะไรได้
       “คุณปราบ งั้นเรื่องงานโชว์ที่ว่าเนี่ย ปีนี้ขอฉันจัดการได้มั้ย”
       ปราบมองนับดาวอย่างไม่ไว้ใจ
       “คิดจะวางแผนป่วนอะไรไร่ผมอีกละสิ”
       “คิดได้เนอะ ฉันหวังดีแท้ๆ ทำไมไม่ฟังให้จบก่อน”
       “อ้ะ งั้นเชิญ ถ้าผมเข้าใจผิดผมจะขอโทษทีหลัง”
       “ฉันจะให้น้อยหน่าช่วยด้วย ตั้งแต่ออกแบบเสื้อผ้า ออกแบบท่าเต้น เพราะฉันเห็นว่าเขามีแววให้เขาลองดู เผื่อเขาจะเจอสิ่งที่เขาชอบ”
       ปราบเงียบไป มองหน้านับดาว
       “เอาเป็นว่าผมขอโทษที่เข้าใจคุณผิด”
       “แปลว่าคุณเห็นด้วยใช่มั้ย”
       “ครับ แล้วก็ขอบคุณคุณมากด้วย...ตอนนี้ผมชักอยากให้คุณมาช่วยผมเลี้ยงน้อยหน่าไปนานๆแล้วล่ะสิ”
       นับดาวหน้าแดง
       “คุณพูดอะไรของคุณ”
       ปกป้องชักสงสัย
       “เออ แกพูดอะไรของแกวะ”
       ปราบนึกได้ว่าพูดอะไรออกไป หน้าแดงเขินเหมือนกัน
       “เปล่าๆๆ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมหมายถึงว่า...น้อยหน่า เห็นคุณเข้ากับคุณน้อยหน่า เอ๊ย น้อยหน่า แบบว่า คุณเห็นอะไรในตัวเขาที่ผมไม่เห็น ผมไม่ได้หมายความว่าผม...เอ่อ...กับคุณจะ...”
       นับดาวมองหน้า
       “รู้แล้วว่าพูดผิด แค่นั้นแหละ”
       ปราบยิ้มแหยๆ
       “ใช่ครับ แค่พูดผิดนั่นแหละ”
นับดาวกับปราบต่างฝ่ายต่างหลบตา มองไปทางอื่น

เมื่อกลับมาที่บ้าน นับดาวเดินไปคุยไปกับน้อยหน่า เล่าให้ฟังว่าคุยอะไรกับปราบมาบ้าง น้อยหน่าย้อนถามอย่างตื่นเต้น
       “คุณแน่ใจจริงๆเหรอคะว่าพ่อเขายอมให้หน่าทำ คุณฟังผิดหรือเปล่า”
       “ไม่เข้าใจผิดหรอก ทำไมเธอคิดอย่างนั้นละ”
       “ปกติพ่อเขาเห็นหน่าเป็นเด็กอมมือ เขาไม่เคยเชื่อใจให้หน่าทำอะไรยากๆแบบนี้หรอก”
       “พ่อแม่ทุกคนอยากเห็นลูกตัวเองเป็นคนเก่งทั้งนั้นแหละ แต่พ่อเธอเขาอาจจะห่วงเธอมากไปหน่อย ยังไงก็ตาม ฉันไม่ได้บอกว่าให้เธอทำทั้งหมด ฉันจะให้เธอช่วยฉัน เข้าใจแล้วใช่มั้ย”
       “ค่ะ”
       “ก่อนที่เธอจะตอบตกลง เราต้องคุยกันก่อน”
       น้อยหน่างงๆ
       “เธอต้องทำเรื่องนี้นอกเวลาเรียน ไม่โดดเรียนมาช่วยฉัน ถ้ามีการบ้าน ต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อน เรื่องที่สอง งานส่วนไหนที่เป็นของเธอ เธอต้องทำให้เสร็จลุล่วง ห้ามเลิกกลางคัน ห้ามบอกว่าเบื่อ ห้ามโยเย”
       “หน่าไม่ตัวงี่เง่าแบบนั้นหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วง”
       นับดาวยิ้มให้
       “เยี่ยม”
       นับดาวกับน้อยหน่าจับมือกัน

       ในโรงเรียน...ตะวันวาดเดินอยู่ อัปสรเดินมาหาก่อนจะเอ่ยปากชวน
       “ตะวันวาด ตอนนี้เราเข้าร่วมโครงการยุวชนรักษ์โลกปกป้องโลกร้อนด้วยหัวใจคุณธรรม เธอ
       มาร่วมกับเรามั้ย”
       “โครงการอะไรของเธอ ชื่อยาวกว่าบะหมี่อีก”
       “เป็นโครงการที่ดีมากเลยนะ เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม แถมพัฒนาจิตใจของตัวเราเองด้วยนะ”
       “ขอบใจนะ แต่เราคงไม่ว่างหรอก”
       “เธอติดอะไรเหรอ”
       “เราจะช่วยน้อยหน่ากับพี่นับดาวทำแข่งโชว์งานเกษตรแฟร์ปีนี้น่ะ”
       อัปสรอึ้งไปครู่หนึ่ง
       “เหรอ งั้นก็ไม่เป็นไร”

       เย็นนั้น เพชรสีกำลังคุมคนงานซ้อมเต้นอยู่ มีมืออาชีพมาสอนท่าเต้นให้
       “กติกาบอกว่าต้องเป็นคนงานในไร่ ฉันจ้างแดนเซอร์มืออาชีพไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกเธอทุกคนต้องตั้งใจทำตามที่ครูบอกนะ ปีนี้ทีมของเราต้องชนะเลิศเท่านั้น ถ้าทำได้ ทุกคนจะได้รางวัลอย่างงาม แต่ถ้าแพ้ ทุกคนจะถูกทำโทษสถานหนัก เข้าใจมั้ย”
       พวกคนงานกลัวเพชรสีมาก ตั้งใจเต้นกันทุกคน อัปสรในชุดนักเรียน เดินเข้ามาหา
       “สวัสดีค่ะพี่เพชรสี”
       “สวัสดีจ้ะอัปสร...เจอก็ดีละ ฝากไปบอกแม่เธอที่กรุงเทพหน่อยนะ อย่าฟุ่มเฟือยมากนัก วันก่อนฉันเห็นเขาโทรมาขอยืมเงินพ่อฉันอีกละ เราเป็นญาติกันต้องช่วยเหลือกันก็จริง แต่มันก็ต้องมีขอบเขต ที่ให้เธอมาอยู่ด้วย ส่งให้เรียนนี่ก็มากแล้วนะ เตือนแม่เธอให้ด้วย ถึงพ่อฉันเขาไม่พูดแต่ฉันรู้ว่าเขาไม่พอใจเหมือนกัน”
       อัปสรหน้าเสีย
       “ค่ะ...เดี๋ยวหนูจะบอกแม่ให้ค่ะ หนูขอโทษแทนแม่ด้วยนะคะ”
       “รับปากแล้วก็ทำด้วยละกัน ไม่มีอะไร เธอไปได้แล้ว”
       “คุณเพชรสี หนูมีเรื่องมาบอกค่ะ”
       “เรื่องอะไร”
       “เรื่องประกวดโชว์งานเกษตรแฟร์น่ะค่ะ”
       เพชรสีสนใจขึ้นมาทันที
       “หือ มีอะไรเหรอ”
       “หนูแอบรู้มาว่าปีนี้พวกไร่ปรีดาเขาให้คนที่ชื่อนับดาวเป็นคนคิดโชว์”
       “ยัยนับดาวเหรอ”
       เพชรสีนิ่งคิดครู่หนึ่ง
       “งั้นเธอคอยแอบสืบมาให้ฉันหน่อย ว่ามันคิดอะไรกันยังไง แล้วมาบอกฉัน”
       “ได้ค่ะ หนูจะทำให้เต็มความสามารถเลยค่ะ” อัปสรยิ้มรับ

       นับดาวจูงเฉาก๊วยเดินเล่นในบริเวณไร่ พลางชวนคุย…
       “เจ้านายเธอเขาคิดอะไรของเค้าเนี่ย ที่ให้ฉันพาเธอเดินเล่นแบบนี้...หรือเขาจะเลิกแกล้งฉันแล้ว รู้มั้ยว่าตั้งแต่ฉันมาทำงานที่นี่ พาเธอเดินเล่นเนี่ยเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด...หวังว่าวันดีคืนดีคงไม่พาเธอเข้าโรงเชือดไปทำสเต็กเนื้อม้าหรอกนะ”
       นับดาวหัวเราะ เฉาก๊วยร้องฮี้ๆ นับดาวจุ๊บหน้าเฉาก๊วย เจิดมองอยู่ไกลๆ
       “เฮ้ย อะไรวะ ผู้ชายตัวเป็นๆหล่อๆล่ำๆยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคนไม่จูบ ไปจูบม้า สาวกรุงเทพนี่มัน
       ยังไงวะ...เล่นกะใครไม่เล่น ไปเล่นกะม้า ไม่รู้อะไรซะแล้ว ฮิๆ”

       ค่ำนั้น นับดาวเข้ามาในบ้าน เอะใจ ที่เห็นในบ้านปิดไฟมืด เธอเปิดไฟ ไม่มีใครสักคน
       “ป้ายวงคะ...ป้ายวง...น้อยหน่า...น้อยหน่า...”
       นับดาวแทบร้องวี้ด เมื่อเพิ่งเห็นว่าที่พื้นมีรอยคราบแดงๆคล้ายเลือดเปื้อนเป็นทาง ออกไปทางประตูที่เธอเพิ่งเข้ามา คราบแดงเหมือนเริ่มต้นมาจากส่วนลึกของบ้าน นับดาวหน้าซีดค่อยๆเดินตามรอยคราบสีแดงเข้าไป เจอมีดเปื้อนคราบแดงตกอยู่บนพื้นครัว หญิงสาวไม่กล้าเดินหน้า ค่อยๆก้าวถอยหลังออกมา หยิบมือถือออกมา กำลังจะกดโทรออก
       ทันใดนั้นมีมือหนึ่งมาปิดปากเธอ นับดาวดิ้น แต่อีกฝ่ายแข็งแรงกว่ามาก ล็อคเธอไว้ จับร่างเธอหันมา ที่แท้เป็นปราบนั่นเอง เขาเอานิ้วชี้ทาบริมฝีปากให้เธอเงียบ อย่าส่งเสียงแล้วเดินนำหน้าไป นับดาวเห็นปราบมือเปล่าก็ดึงชายเสื้อไว้ มองซ้ายมองขวา วิ่งไปหน้าบ้าน หยิบรองเท้าส้นเข็มของเธอให้ข้างหนึ่ง ชายหนุ่มงงๆ หญิงสาวทำท่าเอาส้นเข็มตอกๆให้ดูว่าใช้แทนอาวุธได้ หน้าตาปราบไม่ค่อยแน่ใจนัก นับดาวพยักหน้ายืนยัน เขาเลยตามเลย ถือส้นสูงในท่าเตรียมพร้อม เดินตรงไปในบริเวณครัว กำลังจะถึงอยู่แล้ว
       ทันใดนั้นมือถือปราบดังขึ้น ทั้งสองสะดุ้งโหยง รีบวิ่งออกมา ปราบกดปิดมือถือ ถอนหายใจ มองเข้าไป ไม่มีอะไรผิดปกติ ทั้งสองชักสงสัย เดินเข้าไปอีกครั้ง กำลังจะโผล่หน้าเข้าไปบริเวณครัว ทันใดนั้นมือถือนับดาวดังขึ้นปราบยัวะ
       “เฮ้ย อะไรกันนักกันหนา”
       นับดาวตวาดกลับ
       “อย่ามาตะคอกฉันนะ แล้วทีคุณล่ะ”
       ปราบเดินพรวดๆเข้าไปในครัว
       “ใครอ่ะ อยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้”
       ปราบมองไป ในครัวไม่มีใครอยู่ แต่สภาพเละเทะมาก มีซอสแดงๆเขละๆกระจายเต็มพื้น เห็นทิศทางว่าพุ่งออกมาจากไมโครเวฟโดยมีฝาไมโครเวฟเปิดอ้าอยู่ นับดาวกดรับสาย คุยมือถือ
       “ตอนนี้พี่อยู่ที่บ้านจ้ะ...อือ...หมอว่าไงมั่ง...อื้อ...จ้ะ แล้วจะบอกให้”
       นับดาววางสาย หันมายิ้มให้ปราบ
       “น้อยหน่าโทรมาบอกว่าป้ายวงอุ่นซอสสปาเก็ตตี้ แต่ข้างในชามมีไข่ต้ม น้อยหน่าเค้าใส่ไว้แล้วไม่ได้บอก มันเลยระเบิดตอนที่ป้ายวงยื่นหน้าไปดูพอดี เลยตู้มเข้าหน้า”
       ปราบตกใจ
       “หา แล้วป้ายวงเป็นไรมั้ย”
       “ไม่เป็นไรมากแต่หน้าบวมเพราะโดนของร้อน น้อยหน่าเลยพาไปโรงพยาบาล หมอบอกปลอดภัยแล้ว ฉีดยาเรียบร้อย ที่จริงกลับบ้านได้เลย แต่ป้าเค้าเคยมีประวัติแพ้ยา หมอเลยให้อยู่ดูอาการสักพัก ตอนนี้คุณปกป้องไปอยู่ด้วยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรเดี๋ยวก็กลับมา”
       ปราบถอนใจ
       “เฮ้อ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
       ปราบกับนับดาวมองหน้ากัน แล้วมองพื้นครัวที่เละเทะ
       “เอางี้ เดี๋ยวผมทำความสะอาดครัวแล้วก็พื้นข้างนอกเอง”
       นับดาวยิ้ม ปราบหันมาสั่ง
       “ส่วนคุณทำอาหารเย็นให้ผมกินแล้วกัน”
       นับดาวหุบยิ้ม
       “อย่าเลย...ฉันทำความสะอาดดีกว่า คุณทำอาหารละกัน”
       “ไม่เป็นไร ทำความสะอาดมันงานใช้แรง ให้ผมทำน่ะดีแล้ว”
       “ไม่เอา ฉันจะทำความสะอาด”
       “อย่าบอกนะว่าคุณขี้เกียจทำอาหาร”
       “ไม่ได้ขี้เกียจ ฉันทำไม่เป็น”
       นับดาวมองหน้าปราบ
       “คุณก็เหมือนกันใช่ไหม”
       “เอ่อ...ไม่เป็น”
       ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะกัน
       “งั้นเราสองคนมาช่วยกันทำความสะอาดก่อนละกัน ส่วนเรื่องทำอะไรกินไว้ค่อยคิดทีหลัง”
       นับดาวยิ้มให้

       ปราบปิ้งบาบีคิว เอาเนื้อหมูเสียบเหล็กสลับกับสัปปะรด มะเขือเทศ พริกหยวก ย่างบนเตา ทาซอสไปเรื่อยๆ ขณะที่นับดาวปิ้งขนมปังให้
       “ผมน่ะ ไม่ถึงกับทำอาหารไม่เป็นหรอกนะ ไอ้นี่แหละ ไม้ตายของผม”
       “ขี้คุยจริงๆ ทำบาร์บีคิวมันยากตรงไหน แค่หาอะไรมาเสียบ แล้วก็วางบนเตา”
       “เนี่ยนะ คนไม่เคยทำอะไรมันก็ง่ายไปหมด จะบอกให้เอาบุญ ความยากของมันอยู่ที่การคุมไฟ แรงไปก็ไหม้ อ่อนไปก็สุกเกิน จังหวะการทาซอสก็สำคัญ ไม่ใช่สักแต่ทา เดี๋ยวคุณลองกินดูก็จะรู้ว่ามันอร่อยแค่ไหน”
       “ขี้โม้ ตกลงฉันกินได้รึยังล่ะ หิวแล้ว”
       ปราบพลิกๆดู หยิบขึ้นมาไม้หนึ่ง
       “อ่ะ อันนี้ได้แล้ว”
       นับดาวอ้าปากจะกิน แต่เอะใจที่เห็นปราบมองเธอแบบมีเลศนัย
       “อ๋อ...กะจะให้ฉันปากพองใช่มั้ย”
       ปราบหัวเราะที่ถูกจับไต๋ได้
       “ทุเรศที่สุด”
       “ล้อเล่นน่า ถ้าคุณจะกินจริงๆผมก็จะห้าม”
       นับดาวค้อน
       “เชอะ”
       นับดาวเป่าๆแตะๆจนแน่ใจว่าไม่ร้อนแล้ว ก็กัดกินเคี้ยวตุ้ย ปราบมองๆแล้วถาม
       “เป็นไง”
       “อื้อ...ก็พอใช้ได้”
       “อย่าปากแข็งน่า อร่อยก็บอกอร่อยสิ”
       นับดาวไม่พูด ปราบจ๋อยๆหันไปย่างต่อไม่พูดอะไร นับดาวเหล่มอง เห็นเขาไม่หันกลับมาเธอก็หัวเราะ
       เอามือผลักเขาเบาๆ
       “คาวบอยภาษาอะไรเนี่ยมีงอนด้วย...อ้ะ อร่อยก็ได้”
       “ไม่ได้งอน ไม่จำเป็นต้องมาพูดเอาใจผมหรอกครับ”
       “ไม่เชื่ออีก เอ้า สาบานก็ได้ ดิฉันนางสาวนับดาว ขอสาบานว่าบาร์บีคิวฝีมือนายปราบนั้นอร่อยจริงๆ อร่อยที่สุด ถ้าดิฉันโกหกขอให้...ขอให้ต้องเดินเก็บขี้วัวท้องเสียตลอดชีวิต”
       ปราบหัวเราะ
       “โอ้โฮ สาบานแบบนี้ไม่เชื่อไม่ได้แล้ว”
ทั้งสองหัวเราะกัน
วันต่อมา...ช่วงพักกลางวัน ในห้องเรียนไม่มีใครอยู่ อัปสรแอบเข้ามาในห้อง มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใครก็ไปที่โต๊ะของน้อยหน่า แอบหยิบสมุดโน้ตออกมา หยิบกล้องมือถือออกมาถ่ายรูป ตะวันวาดกับน้อยหน่าเดินเข้ามาในห้องพอดี เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น้อยหน่ากำหมัด ปรี่จะเล่นงานแต่แล้วก็ชะงัก ถอยออกมา ตะวันวาดมองน้อยหน่าด้วยความแปลกใจ น้อยหน่าถอยออกมานอกห้อง ตะวันวาดตามออกมา

       “เขาทำแบบนี้ทำไมอ่ะ”
       “คงมาสอดแนมเรื่องโชว์เอาไปให้ยัยเพชรสีอะดิ ปีนี้พ่อยัยเพชรสีบอกจะเอาถ้วยให้ได้”
       “โห ในนั้นมีทั้งแบบเสื้อทั้งท่าเต้น เธอยอมให้เค้าถ่ายได้ไง”
       “ช่างมันเหอะ เล่มนั้นของเก่า ของใหม่อยู่อีกเล่ม”
       “แต่มันก็ทุเรศอยู่ดี ทำไมไม่เข้าไปจับคาหนังคาเขาเลยล่ะ”
       “ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะจะเหลือเหรอ...แต่พี่นับดาวพูดถูก ใช้กำลังไปก็เท่านั้น ฉันจะลองใช้วิธีแบบพี่นับดาวดู”
       น้อยหน่าคิดวางแผน

       เลิกเรียนแล้ว อัปสรเก็บของกำลังจะกลับบ้าน น้อยหน่ากับตะวันวาดเดินผ่านไป คุยกันไป
       “นี่ เมื่อกี้ตอนเรียน ฉันแอบคิดแบบเสื้ออันใหม่ได้ด้วยล่ะ”
       “เหรอ ขอดูหน่อยดิ”
       “พรุ่งนี้ละกัน ฉันวางไว้ใต้โต๊ะ ขี้เกียจเอากลับบ้าน”
       “ก็ได้ พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้”
       น้อยหน่ากับตะวันวาดเดินออกไป อัปสรรีๆรอๆจนเพื่อนออกไปหมดทุกคน ก็รีบไปที่โต๊ะน้อยหน่า เปิดสมุดโน้ตหน้าล่าสุดออกมา ถ่ายรูป น้อยหน่ากับตะวันวาดแอบดูอยู่

       เย็นที่ร้านอาหารในเมือง...อัปสรเข้ามาในร้าน เจอเพชรสีนั่งรออยู่ก่อนแล้ว มีแลปท้อปอยู่ตัวหนึ่งบนโต๊ะ
       “ไหน เอามาดูซิ”
       อัปสรรีบส่งมือถือให้ เพชรสีรับเอาไปเสียบสายต่อกับแลปท้อป
       “เธออยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ”
       อัปสรยิ้มแป้น รับเมนูจากบริกรมาดู สักครู่ รูปจากมือถือของอัปสรก็มาขึ้นที่จอแลปท้อป เพชรสีคลิกดูทีละรูป จนถึงรูปสุดท้าย เพชรสีชะงัก
       “เธอถ่ายอะไรของเธอมา”
       “ก็งานของยัยน้อยหน่าที่จะเอาเข้าแข่งไงคะ”
       อัปสรเอะใจหันมาดู เห็นรูปสุดท้ายเป็นเสื้อตัวใหญ่ มีตัวหนังสือลายยึกยือเขียนบนเสื้อ เพชรสีเพ่งมองแล้วถาม
       “อ่านออกมั้ยมันเขียนว่าอะไร”
       อัปสรสั่นหน้า
       “เพราะเธอมันโง่ มันเขียนแบบกลับด้าน เอ้า ดูซะ”
       มันเป็นตัวหนังสือที่เขียนกลับด้านแบบกระจกเงา เพชรสีคลิกคำสั่งมิเรอร์ ภาพในจอพลิกกลับ คราวนี้อ่านตัวหนังสือออกชัดเจน อัปสรอ่านทันที
       “เพชรสีโชว์โง่ว่ะ ยัยกาก ยัยติ่งหู ยัยปลาบึก ยัยชักโครก ยัยหอยจ๊อ ยัยเน่าเหม็น...”
       เพชรสีตวาดแว๊ด
       “พอแล้ว ไม่ต้องอ่านให้จบหรอก”
       ทันใดนั้นมีเสียงหัวเราะดังลั่นแบบสะใจ อัปสรกับเพชรสีหันขวับกลับไป เจอน้อยหน่ากับตะวันวาดยืนอยู่ ไม่รู้แอบตามอัปสรมาตอนไหน
       “เพชรสีเอ๊ยเพชรสี ถ้าไม่มีปัญญาคิดอะไรเอง ก็บอกมาสิ เดี๋ยวฉันคิดให้ก็ได้ ไม่ต้องทำอะไรทุเรศๆแบบนี้หรอก โถ อยากได้ถ้วยแชมป์ ทำอย่างนี้เอาถ้วยแชมป์ชะนีไปก่อนเถอะ”
       เพชรสีมองหน้าน้อยหน่าหน้าเครียด
       “ระวังปากไว้หน่อยนะ อย่าถือว่าเป็นลูกพี่ปราบแล้วมากำเริบเสิบสานกับฉันนะ”
       น้อยหน่าหัวเราะ
       “ฮะๆๆ ฉันเป็นแค่ลูกสัตวแพทย์จะไปกร่างได้ไง เธอนั่นแหละ ถือว่าเป็นลูกเสี่ยไฝแล้วเดินชูหางยกขาฉี่ไปทั่ว เตือนตัวเองดีกว่ามั้ง”
       เพชรสีลุกพรวด ตะวันวาดกระซิบเตือนน้อยหน่า
       “ระวังตัวด้วยนะน้อยหน่า”
       “ไม่ต้องห่วง ฉันมานี่ตั้งใจแค่มาดูหน้าคนหน้าด้านชอบลักขโมยไอเดียของคนอื่นไม่ได้คิดจะมากัดกับใคร”
       “ปากดีนักใช่มั้ย ยัยเด็กกะโปโล”
       “ไปล่ะค่ะ บ๋ายบายค่ะ ยัยผู้ใหญ่ขี้ลอก”
       น้อยหน่าจะเดินออกไป เพชรสีตาวาวปรี่เข้ามา แล้วคิดอะไรได้ ชำเลืองไปที่มุมร้าน เห็นกล้องวงจรปิดของร้านอยู่ เพชรสีเอียงหน้าให้กล้อง ยิ้มหวาน ค่อยๆพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน
       “เอาเถอะ ฉันไม่ถือเธอหรอก ยัยเด็กเหลือขอ เธอมันเด็กมีปมด้อย ใครๆเขาก็รู้ว่าเธอขาดความอบอุ่น...ยัยเด็กไม่มีแม่”
       น้อยหน่าหันขวับพุ่งพรวดกะโจนใส่ทันที เพชรสีหลบทัน ผลักน้อยหน่าไปชนโต๊ะ ข้าวของล้มระเนระนาด ตะวันวาดรีบห้าม
       “น้อยหน่า อย่า”
       น้อยหน่าไม่ฟัง พุ่งเข้าใส่เพชรสีอีก เพชรสีจับแขนน้อยหน่าบิดล็อก จับน้อยหน่ากด หน้าแนบกับโต๊ะ
       เพชรสียิ้ม
       “เดี๋ยวก็รู้ว่าใครกันแน่ที่โชว์โง่”

       คนมุงกันหน้าร้าน น้อยหน่ากับตะวันวาดนั่งหน้านิ่วที่มุมร้าน ปกป้องยืนอยู่ข้างๆน้อยหน่า ห่างออกมา ปราบกับเพชรสีอยู่ที่หลังเคาเตอร์ร้าน ดูภาพจากกล้องวงจรปิดกันอยู่ เป็นภาพตอนเกิดเหตุ เห็นเพชรสีคุยกับน้อยหน่าสีหน้าอ่อนโยน แต่น้อยหน่ากระโจนเข้าใส่มีแต่ภาพไม่มีเสียง
       “เพชรสีพยายามอธิบายให้น้องน้อยหน่าฟังว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เรื่องที่เกิดขึ้นน่ะอัปสร เขาทำโดยพลการ เพชรสีกำลังว่าอัปสรอยู่ น้องน้อยหน่าก็เข้ามาด่าเพชรสี เพชรสีพยายามใจเย็น รู้ว่าเขาเป็นเด็กเลือดร้อน แต่ก็เอาไม่อยู่ พุ่งเข้ามาแบบที่เห็นน่ะค่ะ มันน่ากลัวมาก เพชรสีเลยต้องป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อนน่ะค่ะ”
       “ผมเข้าใจครับ”
       ปราบถอนใจ
       “เห็นอัปสรบอกว่าน้องน้อยหน่า โดนภาคทัณฑ์เรื่องทะเลาะวิวาทอยู่ด้วยใช่ไหมคะ”
       “เรื่องนี้แหละครับที่ผมหนักใจอยู่”
       “พี่ปราบอย่ากลุ้มใจไปเลยนะคะ เจ้าของร้านนี้เขาสนิทกับคุณพ่อน่ะค่ะ เพชรสีพอคุยกับเขาได้ ไม่ให้เขาเอาเรื่องน้อยหน่า ส่วนตัวเพชรสีไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องก็คงจบแค่นี้ ไม่ถึงโรงเรียนหรอกค่ะ”
       “ขอบคุณเพชรสีมากนะครับ”
       “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ สิ่งที่น้องเขาทำวันนี้เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ เพชรสีก็ไม่อยากให้เรื่องนี้ไปทำลายอนาคตของน้องน้อยหน่าหรอกค่ะ”
       ปราบยิ้มให้ เพชรสียิ้มตอบท่าทางเขินๆ เพชรสีเดินมาหาน้อยหน่า ปราบเดินมาด้วย
       “พ่อรู้เรื่องหมดแล้ว ขอโทษพี่เพชรสีเขาซะ”
       “จะให้หนูขอโทษยัยสตอเนี่ยนะ พ่อรู้เรื่องยังไงของพ่อ จะให้หน่าขอโทษมัน พ่อถามหน่ารึยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
       ตะวันวาดรีบบอก
       “ผมเป็นพยานให้หน่าได้ครับ”
       อัปสรรีบขัด
       “ใครเขาจะเชื่อเธอ ใครๆเขาก็รู้ว่าเธอชอบน้อยหน่า”
       ตะวันวาดจ้องหน้าอัปสร
       “แล้วเธอล่ะ เธอก็ต้องเข้าข้างเจ้านายเธอน่ะสิ”
       ปราบยกมือปรามทั้งสองคน
       “น้อยหน่า จะขอโทษหรือไม่ขอโทษ”
       “ไม่ค่ะ”
       เพชรรีบวางตัวเป็นนางเอกทันที
       “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เด็กๆพี่ก็เหมือนน้องน้อยหน่าแหละ ดื้อสุดๆเลย เกเรมาก ไม่ฟังใครเลย มีแม่พี่คนเดียวที่เอาพี่อยู่ พี่เลยโตเป็นคนดีได้”
       น้อยหน่ามองเพชรสี เพชรสียิ้ม น้อยหน่าลุกไปฉะอีกดีที่ปกป้องล็อคตัวไว้ทัน ปราบตวาด
       “หน่า หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
       ปกป้องตัดบท
       “เอ้าๆๆ ไม่ขอโทษก็ไม่เป็นไร ไปคุยกันที่บ้านเหอะ”
       ปราบมองปกป้อง เหมือนจะไม่ยอม ปกป้องกระซิบ
       “เดี๋ยวเรื่องมันจะไปกันใหญ่ พอได้แล้ว”
       ปราบมองไปหน้าร้าน คนยื่นหน้ามาดูเพียบ จึงหันมาบอกกับน้อยหน่าเสียงเข้ม
       “งั้นเรากลับไปคุยกันที่บ้าน...” ปราบหันไปหาเพชรสี “พี่ขอโทษแทนลูกสาวพี่ด้วยละกันครับ”
       “ไม่ต้องหรอกค่ะพี่ปราบ เพชรสีไม่ถือหรอกค่ะ”
       เพชรสียิ้มอย่างสะใจ

       ค่ำนั้น เมื่อมาถึงบ้าน ปราบคุยกับน้อยหน่า มีปกป้อง นับดาวอยู่ด้วย
       “ก็ยัยเพชรสีมันด่าแม่หน่าก่อนนี่ หน่าก็ต้องจัดการมันสิ”
       “พ่อดูกล้องวงจรปิดแล้ว เพชรสีเขาคุยกับเธอดีๆ ไม่เห็นเหมือนด่าเลย”
       น้อยหน่าไม่พอใจ
       “พ่อจะบอกว่าหน่าโกหก”
       “เธอไม่อยากขอโทษเขาก็เรื่องนึง แต่อย่ามาโกหกพ่อ”
       น้อยหน่าน้อยใจ
       “เป็นพ่อประสาอะไร ไม่เชื่อลูกตัวเองแต่ไปเชื่อใครก็ไม่รู้ พ่อไม่ยุติธรรม”
       ปราบมองลูกสาวอย่างไม่พอใจ น้อยหน่าจ้องสายตาตอบไม่ลดละ ปกป้องปราม
       “ยัยหน่า มากไปแล้วนะไปว่าพ่อเขาอย่างนั้น”
       น้อยหน่าไม่หยุด
       “แล้วที่พ่อหาว่าหน่าโกหกไม่แรงเกินไปเหรอคะ”
       ปกป้องโกรธ
       “ขอโทษพ่อเขาเดี๋ยวนี้”
       “ไม่...พ่อก็ต้องขอโทษหน่าต่างหาก”
       นับดาวหันไปคว้าช้อนเคาะแจกันทองเหลืองบนโต๊ะดังแก๊ง ทุกคนหันมามอง
       “หมดยก...พอก่อนเถอะ ตอนนี้ทุกคนแรงเกินไปกันหมดแล้ว ฉันว่าแยกเข้ามุมก่อนดีกว่า”
       นับดาวเดินมาหาน้อยหน่า
       “ขึ้นไปบนห้องกับพี่ก่อนนะ”
       น้อยหน่ายอมเดินตามนับดาวขึ้นไป ปราบกับปกป้องถอนหายใจพร้อมกัน

       นับดาวเข้ามานั่งคุยกับน้อยหน่า
       “พี่เชื่อน้อยหน่ารึเปล่าคะ”
       “เชื่อ”
       น้อยหน่ามองหน้านับดาว
       “ทำไมถึงเชื่อ ถ้าพูดเพราะจะปลอบใจก็ไม่ต้องหรอกค่ะ”
       “เชื่อสิ ข้อแรก พี่เคยเจอยัยเพชรสีแล้ว พี่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ข้อสอง พี่ดูเธอออก เธออาจจะเป็นโกหกได้ แต่เธอตอแหลไม่เป็นแน่ๆ”
       “มันต่างกันยังไงคะ”
       “ก็ถ้าสร้างเรื่องได้ขนาดนั้นเขาเรียกตอแหล มันยากเกินไปสำหรับเธอ แต่ปอกกล้วยเข้าปากมากสำหรับยัยเพชรสี”
       น้อยหน่ายิ้ม
       “หน่าขอบคุณที่พี่เชื่อหน่า ขนาดพ่อของหน่าเองแท้ๆยังไม่เชื่อเลย”
       “นั่นเพราะพ่อเธอเป็นคนดีไง เขาถึงดูไม่ออกว่าใครโกหกใครตอแหล”
       “แต่ยังไงเขาก็น่าจะเชื่อน้อยหน่าเพราะน้อยหน่าเป็นลูก”
       “เพราะเขารักเธอไง เขาถึงไม่อยากให้ใครว่าได้ว่าให้ท้ายลูกจนเหลิง เหมือนกับเสี่ยไฝกับเพชรสี”
น้อยหน่าเงียบไป

นับดาวเดินลงมา เจอปราบนั่งรออยู่
       “น้อยหน่าเป็นไงมั่ง”
       “คุณหมายถึงอะไรล่ะ”
       “สำนึกผิดยอมขอโทษเพชรสี แล้วก็เล่าความจริง”
       นับดาวหัวเราะ
       “แล้วคุณล่ะ พร้อมจะยอมรับว่าโง่ ขอโทษน้อยหน่า แล้วไปจัดการเพชรสีมั้ยล่ะ”
       “แปลว่าคุณเชื่อน้อยหน่า”
       “ใช่...คุณอาจจะเก่งเรื่องทำคลอดหมาแมวหรือแม้แต่ช้าง แต่เรื่องมารยาหญิงล้วนๆ นี่ คุณโหลยโท่ยมาก รู้ตัวมั้ย”
       “แต่ผมไม่คิดว่าเพชรสีจะเป็นสร้างเรื่องโกหกอะไรได้ขนาดนั้น”
       “ไม่เกี่ยวกับเพชรสี นี่เป็นเรื่องของคุณกับน้อยหน่า คุณพยายามจะเป็นพ่อที่ดีจนไม่เป็นตัวของตัวเองรึเปล่า ถ้าคุณเชื่อน้อยหน่าก็ไม่ได้แปลว่าคุณรักเธอจนหน้ามืดตามัวเสมอไป...ปราบ คุณเลี้ยงน้อยหน่ามาตั้งแต่เด็ก คุณดูไม่ออกจริงๆเหรอว่าเธอโกหกหรือไม่โกหก”
       ปราบครุ่นคิด
       “ถ้าถามแบบนั้น...ผมคิดว่าน้อยหน่าไม่ได้โกหก”
       “นั่นแหละคำตอบ ไม่ต้องมีหลักฐานหรอก”
       “แต่...ผมก็คิดว่าเพชรสีไม่ได้โกหกเหมือนกัน”
       “ถ้าเป็นฉัน ฉันจะเก็บเรื่องเพชรสีไว้ในใจ แต่จะรีบปรับความเข้าใจกับน้อยหน่าก่อน”
       “อืม ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ผมจะทำตาม”
       ปราบมองนับดาวด้วยสายตาอ่อนโยนแบบหนึ่ง นับดาวรู้สึกแปลกๆบอกไม่ถูก รีบหันหลังจะเดินเข้าห้องแต่เขาเรียกไว้
       “นับดาว”
       หญิงสาวหันมา ชายหนุ่มยิ้มให้
       “ขอบคุณนะครับ ที่ช่วย...เอ่อ...เรื่องของผมกับน้อยหน่าน่ะ ดูเหมือนคุณเป็นคนสำคัญของบ้าน
       นี้ไปแล้ว”
       นับดาวเขินวูบ รีบปั้นหน้าเย็นชา
       “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ระวังตัวไว้ด้วยละกัน”
       “ระวังตัวเรื่องอะไร”
       “คุณคงยังไม่ลืมว่าฉันมาทำงานที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร ถ้าถึงเวลาที่ฉันต้องบีบคุณให้ขายที่ใครจะรู้ ฉันอาจจะเอาเรื่องนี้มาเล่นงานคุณก็ได้”
       นับดาวเข้าไปในห้อง ปิดประตู ปราบยืนอึ้ง

       เช้าวันใหม่...ปราบขับรถมาส่งน้อยหน่าที่โรงเรียน ตลอดทางทั้งสองไม่ได้คุยอะไรกันเลย จนปราบจอดรถหน้าโรงเรียน น้อยหน่าเปิดประตูจะลงจากรถเขาจึงเรียกไว้
       “เดี๋ยวก่อน”
       น้อยหน้าหันหน้ามามองพ่อ
       “เรื่องเมื่อคืน พ่อขอโทษที่ว่าลูกโกหก”
       น้อยหน่ามองหน้าพ่ออยู่นานพอสมควร น้ำตาไหลออกมา
       “แต่พ่อก็ยังไม่เชื่อคำพูดของหน่าร้อยเปอร์เซ็นต์ใช่ไหมคะ”
       “ใจพ่ออยากจะเชื่อหน่าทุกคำพูด แต่หน่าก็ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์กับพ่อนี่”
       “ไม่เป็นไรค่ะ เท่านั้นก็ดีแล้วค่ะ หน่าเชื่อว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย สักวันพ่อจะรู้ความจริง...ขอบคุณมากค่ะ หน่าก็ขอโทษที่ว่าพ่อ”
       น้อยหน่าไหว้พ่อ ปราบลูบศีรษะลูกสาวอย่างเอ็นดู น้อยหน่ายิ้ม ปราบยื่นนิ้วก้อยให้
       “ดีกันนะ”
       “ไม่ค่ะ”
       “อ้าว...”
       “จนกว่าพ่อจะพาหน่าไปเลี้ยงข้าวซักมื้อ”
       “นึกว่าอะไร ได้เลย อยากกินร้านไหนบอกมาเลย...ว่าแต่ จะไปกันสองคนหรือว่าจะให้พ่อชวน...”
       ปราบนิ่งไป น้อยหน่ารู้ทัน
       “พี่นับดาวน่ะเหรอคะ”
       “ดีมั้ย เพราะจะว่าไปเขาก็ทำให้เราคุยกันรู้เรื่องนะ”
       น้อยหน่ามองหน้าพ่อ
       “ไม่ค่ะ ไปกันสองคนพ่อลูก คนอื่นไม่เกี่ยว”
       “อ่ะ เอางั้นก็ได้”
       น้อยหน่าลงจากรถ เดินเข้าโรงเรียน ปราบมองตามไป ก่อนจะออกรถไป

       เอมี่นั่งจิบกาแฟที่ร้านกาแฟ ตาคอยมองคนที่เดินออกจากโถงลิฟต์ สักพักลิฟต์ก็เปิดออก กลุ่มคนเดินออกมา เธอก็เห็นชนะชัยอยู่ในกลุ่มนั้น เอมี่ยิ้ม รีบลุก เดินมาตัดหน้าชนะชัย
       “คุณเอมี่”
       “อ้าว คุณจ๊อบ สวัสดีค่ะ มาทำอะไรแถวนี้หรือคะ”
       “อ๋อ ออฟฟิศผมอยู่ข้างบนน่ะครับ”
       “อ้าว งั้นเหรอคะ บังเอิญจัง”
       ชัชฎาที่เดินตามชัยชนะมาเดินมาหยุดข้างๆ ชนะชัยแนะนำ
       “คุณแม่...เอ่อ นี่คุณ...”
       ชัชฎาแทรกขึ้น
       “คุณเอมี่แสนหวาน แม่รู้จักจ้ะ”
       เอมี่ยกมือไหว้อ่อนช้อย
       “สวัสดีค่ะ”
       “ลูกมีธุระกับคุณเอมี่หรือเปล่า”
       เอมี่รีบเข้าแผน
       “อุ๊ย อย่าพูดอย่างงั้นสิคะ เดี๋ยวเป็นข่าว เราเจอกันโดยบังเอิญน่ะค่ะ เอมี่มาคุยกับโบรกเกอร์น่ะค่ะ”
       ชัชฎาดูสนใจขึ้นมาทันที
       “เล่นหุ้นด้วยเหรอคะ”
       “นิดหน่อยน่ะค่ะ เอาแค่ลุ้นๆตื่นเต้นๆ ให้ชีวิตมีสีสันน่ะค่ะ”
       ชัชฎายิ้ม

       เอมี่มากินข้าวกับชัชฏาและชนะชัย
       “คือถ้าแม่ไม่เห็นว่าเอมี่กับตาจ๊อบรู้จักเป็นเพื่อนกันมาก่อน แม่คงไม่บอกเรื่องนี้หรอกนะ เดี๋ยว
       จะเข้าใจผิดกัน เอาเป็นว่าแม่บอกเผื่อเอมี่สนใจ แต่ถ้าไม่สนใจก็ไม่เป็นไรนะลูกนะ คิดซะว่าแม่ไม่ได้พูดก็แล้วกันนะ” ชัชฏาชวนให้ร่วมหุ้นด้วยทันที
       “สนใจสิคะ แต่แหม เงินตั้งยี่สิบสามสิบล้าน สำหรับเอมี่มันก็เยอะอยู่ เอมี่ไม่รวยเหมือนดาวเค้าหรอกค่ะ ดาวเขาคงซื้อไปแล้วใช่ไหมคะ”
       ชนะชัยกำลังจะตอบ ชัชฎาชิงตอบก่อน
       “จ้ะ นับดาวเขาซื้อแทบจะทันที่ที่รู้เรื่องนี้เลย นับดาวเขาเป็นนักลงทุนที่เฉียบแหลมใช้ได้ เขารู้
       ว่านี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับผลตอบแทนในอนาคต”
       “ค่ะ งั้นเอมี่ขอไปทบทวนก่อนแล้วกันนะคะ แล้วจะโทรหานะค่ะ”
       “ช่วงนี้แม่ค่อนข้างยุ่งๆ หนูเอมี่โทรมาคุยกับจ๊อบเขาดีกว่า ถ้าสงสัยอะไรก็ถามเขาก็ได้ เขาจะได้อธิบายให้ฟังได้อย่างละเอียด”
       “ค่ะ” เอมมี่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน

       ชนะชัยคุยกับชัชฎาเดินเข้ามาในโถงออฟฟิศบิลดิ้ง ตรงไปที่หน้าลิฟต์
       “ทำไมแม่ถึงบอกเอมี่ว่านับดาวซื้อหุ้นเราแล้ว ก็...”
       “ใครๆก็รู้ว่าสองคนนี้ไม่ถูกกัน การที่แม่บอกว่านับดาวซื้อแล้ว อาจจะกระตุ้นให้เอมี่ อยากซื้อบ้างก็ได้ดีไม่ดีอาจจะซื้อมากกว่านับดาวด้วยซ้ำ อีกอย่าง ถ้าแม่บอกนับดาวไม่ซื้อ เอมี่ก็คงคลางแคลงใจว่าทำไมนับดาวไม่ซื้อ พลอยไม่เชื่อถือเราไปด้วย เข้าใจไหม”
       “ครับ”
       “และถ้าเอมี่ซื้อจริงๆล่ะก็...แม่ว่าแกจีบเอมี่มาทำเมียแทนนับดาวเถอะ”
       “แม่ครับ ผมบอกแล้วไงครับว่าอย่ายุ่งเรื่องนี้”
       “ถ้าไม่อยากให้ฉันยุ่งหรือไปก้าวก่ายอะไร แกก็รีบจัดการให้มันเป็นไปตามที่ฉันต้องการซะ เร็วๆ”
       ชัชฏาบอกเสียงเข้ม
       ชนะชัยอยู่คนเดียวในบ้าน โทรหานับดาว แต่นับดาวไม่รับสาย สักพักก็เข้าบริการฝากข้อความ
       “ดาว ถ้าว่างโทรหาผมด้วยนะครับ”
       มือถือนับดาวปิดเสียงอยู่หน้าจอสว่าง แต่นับดาวไม่เห็นเพราะกำลังดูคลิปแด๊นซ์ของต่างประเทศ จากแล็ปท็อปกับน้อยหน่าอยู่
       “นี่เป็นคลิปของฝรั่งที่พี่รวบรวมมาให้หน่าดู พี่ว่าท่าเต้นมันสวยดี แล้วก็ก็ไม่ยากด้วย หัดซะหน่อยคนงานเราน่าจะเต้นได้”
       “เรื่องแด๊นซ์นี่ไม่มีปัญหา หน่ากับเพื่อนเคยบ้าแด๊นซ์อยู่พักนึง เต้นกระจายเลย ตอนนี้น้อยลงแต่ยังได้อยู่ค่ะ”
       นับดาวปิดโปรแกรม ถอดทัมป์ไดร์ฟให้น้อยหน่า
       “มีท่าเต้น มีชุด มีของประกอบฉาก แต่ไอเดียก็สำคัญ กรรมการชอบให้รางวัลกับโชว์ที่มีแนวคิดดีๆด้วย”
       น้อยหน่าพยักหน้าเห็นด้วย
       “พี่อยากพูดเรื่องโซล่าเซลล์ เมื่อก่อนอาจจะฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่วันนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวแล้ว โดยเฉพาะตอนนี้โลกเรากำลังมีปัญหาเรื่องพลังงาน แต่ทำไมเราจะปล่อยให้แหล่งพลังงานที่ถูกและดีแบบแสงอาทิตย์ให้ผ่านไปเฉยๆโดยไม่เอามาใช้ จริงป่ะ”
       “ค่ะ ที่โรงเรียนหน่าเขาก็กำลังจะติดตั้งโซล่าเซลล์แล้ว ปีหน้าคงได้ใช้ พ่อเขาก็จะติดที่ไร่เหมือนกัน”
       “ถ้าหน่าเห็นด้วยก็ดี หน่าลองไปคิดดูว่าจะใส่เรื่องโซล่าเซลล์ลงไปในโชว์ได้ยังไง”
       “ได้ค่ะ”
       “งั้นเอาตามนี้ ถ้าไม่มีอะไร พี่ลงไปก่อนนะ”
       “พี่ดาวคะ...หน่าขอบคุณค่ะ”
       “ขอบคุณเรื่องอะไร”
       “ขอบคุณที่ช่วยพูดให้พ่อเข้าใจ”
       นับดาวยิ้มๆเดินออกมา

       นับดาวนั่งอยู่หน้าบ้าน คุยมือถือกับชนะชัย
       “ขอโทษนะคะ เมื่อกี้ยุ่งๆอยู่เลยไม่ได้รับสายน่ะค่ะ”
       “ไม่เป็นไรครับ คิดถึงน่ะครับก็เลยโทรมาหา ความจริงอยากโทรหาวันละหลายๆครั้งซะด้วยซ้ำ”
       “แหม ขนาดนั้นเชียวเหรอคะ”
       ปราบเดินมาจากอีกด้านหนึ่งของมุมบ้าน กำลังจะเข้าบ้าน ได้ยินเสียงคนคุย เลยยื่นหน้าออกไปดู เห็นนับดาวคุยมือถืออยู่
       “อยู่ที่นี่ดาวไม่ได้ว่างทั้งวันนะคะ”
       ปราบชะงักฝีเท้าลง
       “บวชชีพราหมณ์เป็นไงบ้างครับ เบื่อนั่งสมาธิรึยังครับ”
       “ไม่เลยค่ะ ถึงที่นี่ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ก็เป็นโลกแห่งธรรมะ สะอาด บริสุทธิ์ ไร้คาวโลกีย์ใดๆมาแผ้วพาน สุข สงบ เหมือนอยู่บนทิพย์วิมานเลยล่ะค่ะ”
       ปราบขมวดคิ้ว งงมากพึมพำกับตัวเอง
       “ไร่เราดีขนาดนั้นเชียวเหรอเนี่ย”
       “แล้วมีปัญหาอะไรกับใครไหมครับ คนไม่รู้จักกันมาอยู่ด้วยกันน่ะ” ชนะชัยถาม
       “ไม่เลยค่ะ คนที่นี่น่ารักมาก ค่อยพูดค่อยจา อ่อนโยน สุภาพมากๆ”
       “ก็คงจริง คนงานไร่เราสุภาพเป็นกันเอง แต่ไม่ยักรู้สึกว่ามันอ่อนโยน สงสัยเราจะอยู่จนคุ้นเคยเลยไม่รู้สึก”
       ปราบยิ้มพอใจ ฟังต่อ
       “แล้วเขาต้อนรับคุณดาวดีไหมครับ” ชนะชัยถาม
       “ดีค่ะ โดยเฉพาะเจ้าของสถานที่ท่านก็เป็นคนดี น่าเคารพ เป็นคนมีจิตใจเมตตามาก ดาวยัง
       เลื่อมใสท่านเลยค่ะ”
       คราวนี้ปราบยิ้มปลื้ม
       “แหม อันนี้คุณดาวก็ยกย่องเราเกินไป ลับหลังนี่เรียกเราว่า ท่าน เลยเหรอเนี่ย”
       “ท่านเป็นใครเหรอครับ”
       “ท่านเป็นแม่ชีน่ะค่ะ”
       ปราบชะงัก เริ่มรู้สึกว่าคงมีการเข้าใจผิด
       “ดาวครับ ผมคงไม่ได้มารบกวนเวลาปฎิบัติธรรมของดาวแล้ว แค่อยากได้ยินเสียงของดาวบ้าง”
       “เหมือนกันแหละค่ะ ดาวก็คิดถึงคุณค่ะ คิดถึงวันละตั้งหลายหน”
       ปราบอึ้ง
       “ถ้าจุ๊บๆคนบวชชีพราหมณ์ทางโทรศัพท์นี่จะได้ไหมครับ”
       “ได้สิคะ ไม่มีใครห้ามหรอกค่ะ”
       “จุ๊บๆนะครับ”
       นับดาวหัวเราะคิกคัก
       “จุ๊บๆเหมือนกันค่ะ”
       “กู๊ดไน้ท์ครับ”
       “กู๊ดไน้ท์เช่นกันค่ะ”
นับดาววางสาย ยิ้มกับมือถือก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป ปราบรู้สึกแปลกๆ
“เหอะ ท่าทางจะรักกันมากเลยนะเนี่ย”

//www.manager.co.th/Drama/




Create Date : 28 พฤษภาคม 2555
Last Update : 28 พฤษภาคม 2555 9:45:26 น. 0 comments
Counter : 1547 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.