|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ปกเกล้าปกกระหม่อม (4)
สถานการณ์บ้านเมืองในปี 2468
อันเป็นช่วงเวลาที่รัชกาลที่ 6 สวรรคตนั้นไม่สู้จะดีนัก
ประการแรกกระแสความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
เกิดขึ้นทั่วไปในประเทศต่าง ๆ จุดใหญ่ใจความ
คือประเทศที่เป็นเมืองขึ้นพยายามปลดแอกจากเมืองแม่
ส่วนบ้านเมืองที่เป็นอิสระอยู่แล้วราษฎรก็เรียกร้อง
ขอมีสิทธิมีเสียงในการปกครองบ้าง
ความคิดเรื่องสมบูรณาญาสิทธิราชย์กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก
โดยผลของปรัชญาตะวันตกและการศึกษาที่เจริญก้าวหน้าขึ้น
และความกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำไปทั่วโลก
ความเปลี่ยนแปลงในรัสเซีย จีน สเปน เยอรมนีดูจะเป็นแบบอย่าง
ที่จูงใจได้มาก ข้อนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับคราวอเมริกาประกาศอิสรภาพ
เมื่อ พ.ศ. 2319 (ก่อนตั้งกรุงเทพฯ) และการปฏิวัติใหญ่
ในฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2332 (กลางสมัยรัชกาลที่ 1)
ซึ่งเป็นตัวอย่างให้แก่หลายประเทศ
ประการต่อมาคือการเกิดภาวะเศรษฐ กิจถดถอยทั่วโลก
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการว่างงาน
ต่างประเทศเริ่มถอนการลงทุนทางตรงที่สมัยนี้เรียกว่า
Foreign Direct Investment หรือ FDI
จากหลายประเทศ ค่าของเงินตราหลายประเทศเริ่มอ่อนตัวลง
การส่งออกได้ผลน้อย รายจ่ายในประเทศมากขึ้น
ถ้าใช้ศัพท์สมัยนี้ก็คงเรียกว่า ฟองสบู่แตก
แต่สหรัฐอเมริกาใช้คำว่า depression
คือภัยทางเศรษฐกิจที่ซัดตูมเข้ามาเหมือนพายุดีเปรสชัน
ขนาดประเทศใหญ่ ๆ เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส
ก็ยังเอาไม่อยู่ถึงกับพลอยเซไปเหมือนกัน
ก่อนรุ่งสางวันที่ 26 พฤศจิกายน 2468 พระบรมวงศานุวงศ์
และเสนาบดีเปิดประชุมด่วนที่หน้าพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน
ด้วยน้ำตาที่ไหลพรากอาบแก้มหลังทราบข่าวการสวรรคต
ของรัชกาลที่ 6 เพื่อหารือว่า ควรเชิญเจ้านายพระบรมวงศ์
พระองค์ใดขึ้นทรงราชย์ ถ้าว่าโดยพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 6
และกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์
พระพุทธศักราช 2467 แล้ว โดยที่พระราชอนุชาร่วมพระบรมราชชนนี
กับรัชกาลที่ 6 สิ้นพระชนม์ไปหมด และแม้พระราชอนุชาบางพระองค์
จะมีพระโอรสอีกทอดหนึ่ง เช่น กรมหลวงพิษณุโลกฯ มีพระโอรส
คือพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ แต่ก็ประสูติจากพระมารดาคนต่างด้าว
กรมขุนเพชรบูรณ์ฯ มีพระโอรสคือพระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช
แต่ก็มิได้ประสูติจากพระชายาหลวง ราชสมบัติจึงย่อมตกอยู่แก่
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา
อย่างแน่แท้ เจ้านายทั้งปวงจึงมีมติถวายราชสมบัติ
แด่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ พระองค์นี้ ในชั้นแรก
กรมหลวงสุโขทัยฯ ก็ทรงเบี่ยงบ่ายขอให้ถวายพระเจ้าอา
คือสมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
ทูลกระหม่อมวังบูรพาภิรมย์ ซึ่งเป็นพระราชอนุชาร่วมพระครรภ์
กับรัชกาลที่ 5 และทรงเป็นที่เคารพยำเกรง
ของบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ แต่ทูลกระหม่อมวังบูรพาไม่ทรงรับ
กรมหลวงสุโขทัยฯ จึงขอให้ถวาย ทูลกระหม่อมวังบางขุนพรหม
สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
พระเจ้าพี่ยาเธอต่างพระบรมราชชนนี ซึ่งทรงอาวุโส
ด้วยพระชนมายุ พระประสบการณ์ และพระอำนาจ
ตรงนี้ต้องพูดถึงกรมพระนครสวรรค์ฯ สักนิด สมเด็จพระองค์นี้
ทรงเป็นเจ้านายสำคัญเอาการอยู่ ถ้าว่าถึงพระเกียรติพระยศก็ไม่ธรรมดา
พระบรมชนกนาถคือรัชกาลที่ 5 พระชนนีของท่านคือ
พระนางเจ้าสุขุมาลย์มารศรี เป็นพระราชธิดาของรัชกาลที่ 4
ประสูติจากเจ้าจอมมารดาสำลี เจ้าจอมมารดาผู้นี้
เป็นลูกสาวสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค)
ขุนนางคู่พระทัยรัชกาลที่ 4 มีบทบาทสำคัญในการถวายราชสมบัติ
แต่รัชกาลที่ 4 และมีส่วนสำคัญในการสร้างวัดขุดคู
ขุดคลองหลายแห่งในประเทศ ไทย เช่น คลองแสนแสบ
คลองผดุงกรุงเกษม คลองมหาสวัสดิ์
โดยสรุป สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์ฯ เป็นลูกรัชกาลที่ 5
แม่ท่านเป็นลูกรัชกาลที่ 4 (แสดงว่าเป็นน้องคนละแม่กับรัชกาลที่ 5)
ตาท่านเป็นสมเด็จเจ้าพระยาผู้มีอำนาจ
กรมพระนครสวรรค์ฯ เป็นพระราชโอรสรุ่นใหญ่
เมื่อทรงพระเยาว์ได้เสด็จไปศึกษาวิชาทหารที่เยอรมนี
จักรพรรดิวิลเฮล์ม ไกเซอร์ของเยอรมันโปรดปรานมาก
เมื่อกรมหลวงสุโขทัยฯ ทรงขอให้ถวายราชสมบัติแด่
พระเจ้าพี่ยาเธอพระองค์นี้ เจ้านายเสนาบดีก็ได้แต่ตกตะลึง
อิหลัก อิเหลื่อกันไปหมด คนที่แก้ปัญหาคือกรมพระนครสวรรค์ฯ เอง
ได้ทรงลุกขึ้นโอบกอดกรมหลวงสุโขทัยฯ ทรงพระดำเนินกัน
ไปทางหนึ่งแล้วทูลขอให้กรมหลวงสุโขทัยฯ ทรงรับราชสมบัติเถิด
พระองค์เองยินดีจะถวายงานสนองพระเดชพระคุณทุกประการ
สุดแต่จะทรงใช้สอย ขออย่างเดียวคืออย่าระแวงว่า
พระองค์ท่านจะเป็นขบถ รับสั่งว่า
ครองตำแหน่งนี้มานาน 15 ปีแล้วเบื่อเต็มที
ข้อนี้น่าจะเป็นว่าตลอดสมัยรัชกาลที่ 6 กรมพระนครสวรรค์ฯ
ทรงถูกหวาด ระแวงจากเจ้านายและขุนนางอยู่ไม่น้อย
เพราะทรงพระปรีชาสามารถปราดเปรื่อง และมีนายทหาร
จงรักภักดีต่อพระองค์อยู่มาก ในขณะที่พระสถานะของรัชกาลที่ 6 เอง
ก็ไม่สู้มั่นคงนักดังที่เคยเกิดขบถนายทหารเด็ก ๆ เมื่อต้นรัชกาล
ถึงขั้นวางแผนจะประทุษร้ายปลงพระชนม์แต่จับได้เสียก่อน
กรมหลวงสุโขทัยฯ ทูลว่าไม่เคยทรงนึกระแวงใด ๆ เลย
กรมพระนครสวรรค์ฯ จึงทรงคุกเข่าลงนำทุกคนถวายบังคม
และกราบบังคมทูลเชิญขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7
ความจริงตลอดเวลาที่รัชกาลที่ 6 ประชวรหนักอยู่ราว 15 วันนั้น
ก็ยังอุตส่าห์มีข่าวลือว่าอาจมีการก่อการขบถเกิดขึ้น
แต่จะมาจากไหนไม่แน่ชัด ภายหลังรัชกาลที่ 7
เคยมีพระราชหัตถเลขาว่า เป็นวันที่ทำลายเส้นประสาท...
ฉันเองเกือบจะกินอะไรไม่ลง นอนไม่หลับ มีข่าวลืออะไรร้าย ๆ
ต่าง ๆ อยู่เรื่อย พากันกลัวว่าจะไม่มีอะไรแน่นอน
แต่เมื่อเหตุการณ์เรียบร้อยลงได้ ก็ตรัสว่า ฉันได้รับความสบายใจ
จากข้อที่ว่า เจ้านายพระราชวงศ์ต่างแสดงพระองค์ว่ารักชาติ
ไม่มีพระองค์ไหนที่คิดถึงอะไรนอกจากประโยชน์ของชาติ
ไม่มีเจ้านายพระองค์ไหนทรงคิดอยากจะได้ดีแก่พระองค์เองเลย...
ฉันจึงรู้สึกว่า ถ้าพระราชวงศ์ยังจะทรงคิดได้เช่นนั้นแล้ว
ประเทศสยามและพระราชวงศ์จักรีคงจะอยู่ต่อไป
แม้จะประสบความยากลำบากเพียงใดก็ดี
รัชกาลใหม่นี้ได้ทรงเลือกพระปรมา ภิไธยว่า
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ละม้ายพระปรมาภิไธยพระเจ้าแผ่นดินตั้งแต่รัชกาลที่ 3
เป็นต้นมาที่มีคำว่า เกล้า คือ พระนั่งเกล้า พระจอมเกล้า
พระจุลจอมเกล้า พระมงกุฎเกล้า ส่วนคำว่า ปรมินทร
นั้นเป็นการเดินตามพระราชนิยมของรัชกาลที่ 6 ที่ว่า
รัชกาลที่เป็นเลขคี่เช่น 7 9 ให้ใช้ ปรมินทร
รัชกาลที่เป็นเลขคู่เช่น 6 8 ให้ใช้ ปรเมนทร
พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์จะยืดยาวหลายบรรทัด
คราวบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 7 นี้ก็เช่นกัน โดยที่ต้องการให้รู้ว่า
ทรงได้ราชสมบัติเพราะรัชกาลที่ 6 พระบรมเชษฐาธิราช
มีพระราชหัตถเลขาคล้าย ๆ พินัยกรรมระบุไว้
สร้อยพระปรมาภิไธยตอนหนึ่งจึงมีว่า บรมเชษฐโสทรสโมสรสมมติ
แปลว่าพี่ชายร่วมสายโลหิตเป็นผู้ตั้ง
จะเรียกให้เข้ากับที่คนสมัยนี้ชอบพูดว่า
ได้ดีเพราะพี่ให้ ก็คงได้!
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาพระชายา
คือหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีเป็นสมเด็จพระบรมราชินี
และไม่ทรงมีเจ้าจอมหม่อมห้ามใดอีกเลยจนสวรรคต
ที่สำคัญคือทรงตระหนักดีว่าการขึ้นครองราชสมบัติในขณะนั้น
เป็น ทุกขลาภ และอยู่ระหว่าง วิกฤติ ของประเทศ
ที่รอการแก้ปัญหา ดังนั้นจะทรงเสียเวลาใด ๆ ไม่ได้
แม้พระองค์จะทรงมีจุดอ่อนหลายประการที่ไม่อาจเทียบได้
กับสมเด็จพระบรมชนกนาถ รัชกาลที่ 5
และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช รัชกาลที่ 6 ทั้งในด้าน
พระประสบการณ์ พระชนมายุ และการมีผู้ช่วยงาน
แต่ก็ทรงมีจุดแข็งคือความอ่อนน้อม ประนีประนอม
และการยอมรับฟังความเห็นผู้อื่น จึงทรงตั้งพระทัยจะใช้จุดแข็งนี้เอง
เป็นหลักในการบริหารประเทศ
ดังนั้นหลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่กี่วันก็ทรงตั้งคณะบุคคล
ขึ้นคณะหนึ่งเป็นผู้ถวายคำปรึกษาและช่วยบริหารราชการแผ่นดิน
ตลอดจนช่วยเหลือราชการในพระองค์ เรียกว่าคณะอภิรัฐมนตรี
ประกอบด้วย
1. สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
พระราชอนุชาของรัชกาลที่ 5 ผู้คนนิยมออกพระนามว่า หลักเมือง
คือทรงเป็นหลักของพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงเป็นพระบิดาแห่ง
การไปรษณีย์ไทย เป็นต้นราชสกุลภาณุพันธุ์ วังพระองค์ท่าน
อยู่ใกล้พาหุรัดชื่อวังบูรพาภิรมย์ ต่อมาพระทายาทได้ขาย
นักธุรกิจนำไปพัฒนาเรียกว่าวังบูรพา
2. สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
พระราชโอรสของรัชกาลที่ 5 ทรงเป็นนักการทหาร
มีพระอำนาจสูงส่งเป็นที่ยำเกรงทั่วไป เป็นต้นราชสกุลบริพัตร
วังของพระองค์ท่านคือวังบางขุนพรหมที่บัดนี้
เป็นธนาคารแห่งประเทศไทย
3. สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระราชโอรส
ของรัชกาลที่ 4 ทรงเป็นนักปกครองและนักโบราณคดี
เคยเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยหลายปี ได้รับยกย่องว่า
เป็นพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย เป็นต้นราชสกุลดิศกุล
วังของพระองค์ท่านคือวังวรดิศ ข้างคลองมหานาค
4. สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
เป็นพระราชโอรสรัชกาลที่ 4 ทรงเป็นศิลปินไม่ว่าด้านการช่าง
การออกแบบ ดนตรีหรือนาฏศิลป์ ได้รับยกย่องว่า
เป็นพระบิดาแห่งสถาปัตยกรรมไทยและศิลปะไทย
เป็นต้นราชสกุลจิตรพงศ์ วังของพระองค์ท่านคือวังปลายเนิน คลองเตย
5. พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ เป็นพระราชโอรส
รุ่นใหญ่ของรัชกาลที่ 5 ทรงเป็นนักการคลังและนักการพาณิชย์
ได้รับยกย่องว่าเป็นพระบิดาแห่งการพาณิชย์ เป็นต้นราชสกุลกิติยากร
วังของพระองค์ท่านคือวังเทเวศร์ อยู่ที่ปากคลองผดุงกรุงเกษม เทเวศร์
ข้อดีของการมีคณะอภิรัฐมนตรีมีมาก อย่างน้อยก็แสดงว่าพระมหากษัตริย์
แม้อยู่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ยัง
ทรงยอมฟังความเห็นของผู้อื่น คณะอภิรัฐมนตรีเองก็มีบทบาทมาก
ประชุมกันเป็นประจำ ถ้ารัชกาลที่ 7 ไม่เข้าประชุมเป็นประธานเอง
สมเด็จพระราชปิตุลา (อา) หรือสมเด็จเจ้าฟ้าฯ
กรมพระนครสวรรค์ฯ ก็จะทรงเป็นประธาน
ข้อเสียของการมีคณะอภิรัฐมนตรีก็มีอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยผู้มีอำนาจ
ถัดลงมาจากคณะอภิรัฐมนตรีคือคณะเสนาบดี
ย่อมไม่ชอบใจการมีอภิรัฐมนตรีไว้ ตรวจสอบหรือถ่วงดุล
เท่าไรนัก ยิ่งคณะอภิรัฐมนตรีเป็น เจ้านายผู้ใหญ่
และล้วนเป็น อา เป็น พี่ ของในหลวง หนักเข้า
อภิรัฐมนตรีซึ่งชำนาญราชการกว่าเสนาบดีอาจไม่ตั้งรับ
รอให้คำปรึกษาหรือกลั่นกรองเรื่องที่เสนอขึ้นไป
แต่อาจลงมาทำงานเชิงรุกหรือเสนอแนะให้เสนาบดีรับเรื่อง
ไปทำตั้งแต่แรก กลายเป็น พี่คิด น้องทำ
อย่างที่มีผู้ค่อนขอดบ้างแล้วในเวลานั้น ทั้งแนวโน้มมีว่า
พระเจ้าอยู่หัวจะทรงเชื่อคณะอภิรัฐมนตรีมากกว่าคณะเสนาบดีเสียด้วย
บ่อยครั้งที่คณะนี้จึงถูกหาว่าเป็นซูเปอร์เสนาบดี
หนักเข้าเสนาบดีก็เข้าเกียร์ว่างเสียให้รู้แล้วรู้รอด
สภาพทำนองนี้ดูจะมีแทบทุกยุคทุกสมัย
ไม่เชื่อดูจากรัฐบาลในสมัยใดๆ ก็ได้
เรื่องซูเปอร์ ครม. หรือ ครม.น้อยก็ดี ทีมงานของนายกฯ ก็ดี
ทีมงานของเลขาธิการนายกฯ ที่มีคนนินทาเรียกว่า
แกงค์ ออฟ โฟร์ แกงค์ ออฟ ไฟว์ ก็ดี ถ้าขยันมาก
ทำงานเอาการเอางานมาก มีอำนาจมาก
ย่อมเป็นที่เขม่นของ ครม. ทั้งนั้น โดยเฉพาะถ้าเกิดข้อขัดแย้งกัน
กรณีอภิรัฐมนตรีนั้นต่อไปยังจะบานปลายอีกเพราะเมื่ออภิรัฐมนตรี
บางพระองค์สิ้นพระชนม์ และได้ทรงตั้งเสนาบดีขึ้นไปเป็น
อภิรัฐมนตรีอีกตำแหน่ง ทีนี้ก็ใหญ่โตเบ้อเริ่มเทิ่มสิครับ
รัชกาลที่ 7 ยังทรงเร่งรัดทำอะไรอีกหลายอย่างเพื่อ
ทรงเตรียมรับมือกับการปกครองแบบใหม่
ที่กำลังเป็นแฟชั่นไปทั่วโลก
และกำลังจะคืบคลานเข้ามาในสยาม แต่หลายอย่าง
ก็ไม่สำเร็จสมพระราชประสงค์เพราะขึ้นชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงแล้ว
ย่อมมีคนหัวเก่าและคนหัวใหม่ คนใจร้อนและคนรอบคอบ
คนหนุนและคนค้านเสมอ
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เองก็ทรงตกอยู่ในกระแสแห่งความขัดแย้ง
ทางความคิดหรืออุปสรรคแห่งการเปลี่ยนแปลง
ถึงจะเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ไม่ใช่ว่าอะไรจะง่ายดาย
เหมือนปอกกล้วยเข้าปากไปหมด.
..................
วิษณุ เครืองาม
อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันอังคารที่ 22 มกราคม 2556
Create Date : 03 เมษายน 2556 |
Last Update : 3 เมษายน 2556 20:53:21 น. |
|
0 comments
|
Counter : 857 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|