|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ปกเกล้าปกกระหม่อม (10)
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปก ครองในวันที่ 24 มิถุนายน
พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
ทรงอยู่ในราชสมบัติมาแล้วประมาณ 7 ปี
การเปลี่ยนแปลงการปกครองชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเพื่อเปลี่ยนแปลง
ทั้งรูปแบบและวิธีการปกครองประเทศเสียใหม่
ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงที่ตามมาอันดับแรกคือ
การประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว
ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า พระธรรมนูญ แม้ส่วนใหญ่จะยังไม่เข้าใจนัก
ว่าคืออะไรแต่ก็พอจำได้หมายรู้ว่า สูงสุดในแผ่นดิน
จนองค์พระมหากษัตริย์ก็ต้องอยู่ใต้กฎหมายฉบับนี้
จะทรงทำหรือไม่ทำอะไรขาดหรือเกินไปจากที่กำหนด
ในพระธรรมนูญไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับเจ้านายและขุนนางทั้งหลาย
ประการต่อมาคือพระเจ้าแผ่นดินจะไม่ทรงลงมาปกครอง
หรือบริหารจัดการอะไรเองอีกต่อไป ในด้านการออกกฎหมาย
ได้ทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้น 70 คน
ทำหน้าที่ออกกฎหมายและให้คำแนะนำแก่รัฐบาล
ในด้านการบริหารประเทศ ในหลวงก็จะไม่ทรงลงมายุ่งเกี่ยว
หากแต่ให้มีคณะรัฐบาลเป็นผู้จัดการแทนโดยสภา
จะตั้งคณะกรรมการราษฎรขึ้น 15 คน คอยแนะนำสั่งการ
ไปที่คณะเสนาบดีอีกทีหนึ่ง โดยเฉพาะการดำเนินงาน
ตามหลัก 6 ประการของคณะราษฎร หมายความว่า
แรก ๆ ก็ยังมีคณะเสนาบดีอยู่ (มีการเปลี่ยนคนจากเดิมบ้าง)
แต่ต่อมาก็ร่อยหรอหรือลาออกไปจนเหลือแต่คณะกรรมการราษฎร
เป็นผู้มีอำนาจจัดการสูงสุดเท่านั้น
สภาผู้แทนราษฎรได้เลือกพระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์)
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ นักกฎหมายจากอังกฤษ
เป็นประธานคณะกรรมการราษฎรคนแรก
ได้กล่าวถึงหลัก 6 ประการของคณะราษฎรหลายครั้ง
มาถึงตอนนี้เห็นจะต้องจาระไนว่ามีอะไรบ้างเพราะเป็นเหมือน
นโยบายของรัฐบาลและของประเทศเป็นครั้งแรกก็ว่าได้
1. จะรักษาเอกราชทั้งทางการเมือง การศาล และเศรษฐกิจ
2. จะรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ
3. จะบำรุงความสุขสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ
จะหางานให้ราษฎรทำ จะร่างโครงการเศรษฐกิจ
ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4. จะให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
5. จะให้ราษฎรมีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ
6. จะให้การศึกษาเต็มที่แก่ราษฎร
ตอนนั้นยังไม่มีนโยบายค่าแรงวันละ 300 บาท 30 บาทรักษาทุกโรค
รถคันแรก บ้านหลังแรก แต่รัชกาลที่ 7 ได้ทรงปรารภให้จัดทำ
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ถาวรและสมบูรณ์กว่าฉบับแรกด้วย
ซึ่งสภาได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นดำเนินการอย่างเร่งรีบในเวลาต่อมา
ความเปลี่ยนแปลงอีกประการ คือ เกิดความตื่นตัวในสิทธิเสรีภาพมากขึ้น
ไปทางไหนจะมีคนพูดถึงแต่ พระธรรมนูญ ประชาธิปไตย
สิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ
แม้อ่านไม่เข้าใจนักว่าคืออะไร ยิ่งเมื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว
และประกาศใช้ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475
ความตื่นตัวอยากร่วมด้วยช่วยกันในการเข้าปกครองประเทศก็สูงขึ้น
พวกครู นักกฎหมาย คนที่เป็นผู้นำชุมชนพากันเคลื่อนไหวยกใหญ่
เพราะคนเหล่านี้มีความรู้ ความคิดดี ๆ มีผู้นับหน้าถือตา
และมักเป็นนักพูดนักแสดงความเห็นอยู่แล้ว
ผลประการหนึ่งของการเปลี่ยน แปลงการปกครองคือ
เศรษฐกิจของประเทศยังมิได้ดีขึ้นทันตาเห็นนัก
แต่ก็โทษใครไม่ได้เพราะ มันเป็นเช่นนั้นเอง ไปทั่วโลก
แต่ความสนใจของประชาชนมิได้อยู่ที่ปากท้อง
เท่ากับปากเสียง ทุกคนตื่นเต้นกับการได้พูด ได้โวย
มีปากมีเสียงมากกว่า ผลกระทบอีกประการคือสถานะของ
พระบรมวงศานุวงศ์หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองดูจะเงียบๆ เฉยๆ ไป
จะว่าถูกเพ่งเล็งอยู่ก็ได้ว่าเป็นกลุ่มอำนาจเก่าที่อาจคิดฟื้นตัวขึ้นใหม่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จกรมพระนครสวรรค์ฯ
ต้องทรงออกประกาศเตือนให้พระบรมวงศานุวงศ์
อยู่ในความสงบและร่วมมือกับรัฐบาล
รัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างใหม่ (10 ธันวาคม 2475)
ถึงกับห้ามพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไปเล่นการเมือง
เช่น สมัครเป็น ส.ส.ไม่ได้ เป็นรัฐมนตรีไม่ได้
อย่างมากก็เป็นที่ปรึกษารัฐบาล
แม้กระนั้นคณะราษฎรซึ่งมีอำนาจอยู่เบื้องหลังรัฐบาล
ก็มิได้วางใจเจ้านายเท่าไรนัก ดังที่ได้แสดงความประสงค์ชัดแจ้ง
หรือปริยายว่าไม่อยากให้เจ้านายบางพระองค์มีบทบาทอยู่ในประเทศ
จึงมีการเชิญเสด็จเจ้านายสำคัญบางพระองค์ไปประทับต่างประเทศ
เจ้านายบางพระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะให้เป็นที่หวาดระแวง
หรือรับรู้ใด ๆ ก็พลอยสมัครใจหลีกไปประทับที่อื่นเสีย
ต่อมาก็มีการตั้งกรรมการขึ้นตรวจสอบและ ยึดวัง
เจ้านายบางพระองค์โดยอ้างว่าเป็นการใช้เงินแผ่นดินก่อสร้าง
สิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นความกดดันในหลวงรัชกาลที่ 7
อีกข้อหนึ่งว่าไม่อาจทรงปกป้องพระบรมวงศานุวงศ์ได้
แถลงการณ์คณะราษฎรในวันยึดอำนาจที่ว่าพระราชวงศ์นี้
ปกครองมา 150 ปีโดยไม่ได้ทำประโยชน์ใด ๆ
แม้คณะราษฎรจะเข้าเฝ้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษ
และพระราชทานอภัยโทษแล้ว แต่ก็ เสียดแทง พระทัย
พระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์อย่างยากจะลบเลือน
ลึก ๆ แล้วรัชกาลที่ 7 ก็น่าจะยังทรงรู้สึก ในวันเสด็จออก
มหาสมาคมพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475
แม้จะทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษาภรณ์ แต่ก็ไม่ทรง
สังวาลย์พระนพของรัชกาลที่ 1 และโปรดฯ ให้ชัก
พระแท่นมนังคศิลาบาตออกจากที่รองพระแท่นพุดตานกาญจนสิงหาสน์
ได้ตรัสแก่ผู้ใกล้ชิดว่า
เมื่อข้ารักษาของ ๆ ท่านไว้ไม่ได้ ก็ไม่ควรมีสิทธิใช้ของท่าน
ในเวลาใกล้เคียงกัน ได้มีพระราชหัตถเลขาไปถึง
พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระราชภาคิไนย (หลานอา)
ซึ่งประทับอยู่ที่อังกฤษความตอนหนึ่งว่า
ฉันได้คิดรายละเอียดของพิธีนี้ (พระราชทานรัฐธรรมนูญ)
มาหลายปีแล้วเพราะรู้ดีว่าจะต้องเกิดขึ้นในรัชกาลของฉัน
ฉันร่างคำประกาศไว้ในใจของฉันมาเป็นเวลานานมาแล้ว
แต่อดเสียใจไม่ได้ที่ทุกอย่างมิได้บังเกิดขึ้นตามแนวที่ฉันเคยกะไว้
แต่ที่จริงเป็นไปอย่างนี้ก็ดีแล้ว เพราะว่าฉันได้มีโอกาส
ให้รัฐธรรมนูญตามโอกาสและตามใจฉันเอง คนที่อยากจะ
ได้อำนาจแต่บัดนี้ก็ได้อำนาจแล้ว ก็คงยังดีกว่าไม่ได้อะไร
มิฉะนั้นอาจจะยังพยายามจัดให้มีรีพับลิกและก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลง
อาจจะมีการจลาจลนองเลือดเสียก่อน
บัดนี้ฉันรู้สึกว่างานของฉันในชีวิตนี้จบลงแล้ว
ฉันไม่มีอะไรจะทำอีก นอกจากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
โดยความสงบที่สุดที่จะทำได้
การเป็นพระราชาภายใต้พระธรรม นูญอาจ ไม่มีอะไรจะทำอีก
อย่างที่มีพระราชดำริ แต่การเมืองเวลานั้นกำลังรุนแรงขึ้นใหม่
ในอีกรูปแบบหนึ่งระหว่างกลุ่มอำนาจเก่ากับกลุ่มอำนาจใหม่
กลุ่มอำนาจเก่าหัวอนุรักษ์นิยมกับกลุ่มอำนาจเก่า
ที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง และกลุ่มอำนาจใหม่กันเอง
ซึ่งเริ่มมีข้อมึนตึงผิดพ้องหมองใจและขัดแย้งกันขึ้นบ้างแล้ว
ขณะเดียวกันประชาชนก็เริ่มลุกขึ้นเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ
และมีปากมีเสียงมากขึ้น เช่น เมื่อคณะราษฎรตั้งกลุ่ม
และขยายตัวหาสมาชิกเพิ่มขึ้น คนอีกกลุ่มก็คิดตั้งคณะชาติขึ้นประกบ
มีการโยกย้ายข้าราชการที่ไม่วางใจออกไปอยู่ไกล ๆ
มีการดำเนินคดีกับคนที่พูดจาวิจารณ์รัฐบาลและการปกครองแบบใหม่
ข้าราชการที่มีพฤติการณ์ไม่เป็นที่วางใจ
บางคนถูกให้ออกจากราชการง่าย ๆ
หลายเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการกระทบกระทั่ง
ต่อพระบรมเดชานุภาพโดยตรง เช่น ดำเนินคดีกับพระบรมวงศานุวงศ์
เนรเทศเจ้านายบางพระองค์ งดการมีทหารรักษาวัง
เข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกระทรวงวัง
ไม่สนองพระราชกระแสบางเรื่อง
โดยเฉพาะการให้เสรีภาพแก่ราษฎร ไม่จัดการใด ๆ
ทั้งที่มีผู้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพจนถึงขนาดฟ้องร้องกล่าวหาในหลวง
ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่รัฐบาลหรือคณะราษฎรก็มิได้พยายามจะเข้าเฝ้าฯ
กราบบังคมทูลถวายรายงานชี้แจงเหตุผลและหาทางแก้ไข
กลายเป็นการอ้างสิทธิรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยบ้าง
หาว่าทรงเข้าพระทัยผิดบ้าง บางครั้งก็เอาแต่โต้ตอบทางหนังสือ
และมีผู้นำไปขยายผลหากไม่ใช่เป็นในทาง
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพเสื่อมเสีย
พระเกียรติยศก็เป็นไปในทางตำหนิติเตียนรัฐบาล
ซึ่งไม่เป็นการดีต่อฝ่ายใดทั้งสิ้น
ดังที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ตรัสว่า
ทรงสังเกตเห็นปรากฏแน่ในพระราชหฤทัยว่ารัฐบาล
และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยมากรู้สึกแน่ใจว่าไม่จำเป็นต้อง
ประนีประนอมต่อพระองค์ไม่ว่าในเรื่องใด ๆ
พอใจที่จะขัดพระราชดำริเสียทุกอย่าง
ถ้าหากรัฐบาลมีความประสงค์จะประสานงานต่อพระองค์ด้วยดีแล้ว
คงจะกราบบังคมทูลปรึกษากันก่อนที่จะดำเนินการอันสำคัญไป
ถ้าได้ทำดังนั้นความยุ่งยากอย่างหนึ่งอย่างใดก็จะไม่เกิดขึ้นได้
แต่รัฐบาลมิได้กระทำดังนั้น การใด ๆ รัฐบาลทำไปถึงที่สุดเสร็จเสีย
แล้วจึงกราบบังคมทูลพระกรุณาไม่มีทางที่จะทรงทักท้วงให้แก้ไข
โดยกระแสพระราชดำริอย่างใดอย่างหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะมีอะไรเหลือนอกจากความขึ้งเคียดแก่กัน
ภาษาทั่วไปเรียกสภาวะอย่างนี้ว่า กินแหนงแคลงใจ กัน
แต่รัชกาลที่ 7 ก็ทรงอดทน อดกลั้น แม้จะมีเสียงถามขึ้นมาอยู่บ้างว่า
แล้วทนอยู่ไปทำไม คำตอบคงเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นประการใด
การที่ต้องทรงยอมอดทนอยู่ยังจะพอเป็นหลักได้ในบางเรื่อง
เพราะถึงอย่างไรรัฐบาล (รวมถึงคณะผู้ก่อการ)
ก็มิอาจทำอะไรมากไปกว่านั้นได้ เพียงแต่พระองค์ต้อง
ทรงทนรับความเจ็บปวดไว้เองเท่านั้น ขณะเดียวกันปริศนาใหญ่ก็มีอยู่
ถ้าไม่ทรงทน เช่น สละราชสมบัติ
แล้วต่อจากนั้นบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร
ใครจะเป็นประมุขของประเทศต่อไป มีใครอีกหรือ
ที่คณะผู้ก่อการสามารถไว้วางใจ มีใครอีกหรือที่จะอดทน
อดกลั้นได้ แล้วถ้าไม่มี อะไรจะเกิดขึ้น
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงอดทนมาได้อีกประมาณ 1 ปี ถึงปี 2476
เหตุการณ์สำคัญและร้ายแรงก็เกิดขึ้น การตัดสินพระทัยในเวลาต่อจากนั้น
จึงง่ายเข้า ความอดทน อดกลั้น ย่อมมีข้อจำกัด
และกำลังจะมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว.
...................
วิษณุ เครืองาม
อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันอังคารที่ 5 มีนาคม 2556
Create Date : 03 เมษายน 2556 |
Last Update : 3 เมษายน 2556 20:56:51 น. |
|
0 comments
|
Counter : 419 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|