เมื่อป้าโซไปงานศพแบบญี่ปุ่น
เกริ่นนำ..
บอกกล่าวก่อนว่าเอ็นทรี่นี้ค่อนข้างยาวด้วยตัวอักษรล้วนๆ เนื่องจากเป็นการบรรยายตามเหตุการณ์ที่ค่อนข้างละเอียดเพราะอยากให้ผู้อ่านนึกภาพตามไปด้วยได้ ถ้าแวะเข้ามาแล้วลากลงไปเห็นยาวๆก็อย่าเพิ่งท้อนะคะ ไหนๆแวะเข้ามาแล้วก็อยากให้อ่านจนจบค่ะเพราะประสบการณ์ทางด้านนี้ไม่ค่อยเห็นมีมาแชร์เล่าสู่กันฟังบ่อยนัก .. ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ..
..................................................................................................................................
สืบเนื่องมาจากน้าสะใภ้ของอิลุงได้เสียชีวิตหลังจากป่วยด้วยโรคมะเร็งสมองมาหลายปี เ้ข้าๆออกๆรพ.เปิดสมองผ่าตัดเอาก้อนเนื้อออกไปสองครั้ง ต่อสู้อย่างสุดกำลังจนในที่สุดก็ได้เวลาพักยาว น้าชายและน้าสะใภ้ไปมาหาสู่ที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง ค่อนข้างสนิทกับพ่อของลุง(ปู่ที่บ้าน)ถึงแม้แม่ของลุงซึ่งเป็นพี่สาวของน้าชายจะิเสียไปนานแล้วก็ตาม อ่านการลำดับญาติแล้วอาจมีงงเล็กน้อย ..
น้าสะใภ้อายุได้เจ็ดสิบเต็มพอดีก็ถือว่าอายุยังน้อยสำหรับหญิงญี่ปุ่นที่อายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 86 ปีกว่าๆ แต่จากการป่วยมานานทางครอบครัวของน้าก็ทำใจไว้แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลังสุดที่ล้มที่บ้านและหอบหิ้วกันเข้าไปนอนโคม่าอยู่ที่รพ. ป้าโซไปเียี่ยมมาสองวันก่อนน้าจะเสีย เห็นสภาพไม่ตอบรับใดๆแล้วก็รู้ว่าขึ้นกับเวลาเท่านั้นว่าจะไปเร็วหรือช้า สุดท้ายของมนุษย์ก็แค่นี้.. ร่างกายเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ใช้งานมานานก็ย่อมหมดค่าเสื่อมไปในวันนึง อาเมน..
งานศพโดยทั่วไปจะถูกจัดการให้แล้วเสร็จภายในไม่เกินสามวัน เร็วที่สุดถ้าสามารถก็จะจัดการให้เสร็จสรรพในวันรุ่งขึ้นที่ตายไป แต่ถ้าเป็นคนมีชื่อเสียงก็อาจเวิ่นเว้อไปครบอาทิตย์ ที่ต้องจัดการให้เสร็จเร็วเช่นนั้นเพราะเกี่ยวเนื่องว่าจะได้รบกวนเวลาแขกที่จะมาร่วมงานได้น้อยวันที่สุด อีกทั้งยังค่าใช้จ่ายที่จะบานปลายถ้าหลายวันเกิน
ป้าโซไปงานศพที่ญี่ปุ่นครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว ครั้งแรกสุดเป็นพ่อของเด็กที่เล่นยูโดคลับเดียวกันเมื่อสมัยก่อนนั่นก็หลายปีมาแล้ว ตอนแรกคิดว่าต้องใ้ช้เวลายาวนานแบบงานศพเมืองไทยที่ต้องฟังพระสวดสามจบมีเลี้ยงของว่างสลับก่อนจบสุดท้ายเบ็ดเสร็จก็สองสามทุ่ม แต่ปรากฏว่าเอาเข้าจริงใช้เวลาอยู่ที่งานแค่สิบนาทีได้ ไปถึงก็ทักทายเจ้าภาพแล้วเ้ข้าไปเคารพศพที่นอนให้เห็นกันจะๆอยู่ตรงหน้านี่แหละ แต่ด้วยสภาพเหมือนคนนอนหลับเพราะตกแต่งศพเรียบร้อยงดงาม จากนั้นก็ออกมานั่งคุยกับเจ้าภาพอีกแป๊บ ดื่มน้ำชาแ้ก้วนึง เออ.. ไอ้ข้าวต้ม ก๋วยกระเพาะปลาหรือแม้แต่ชากาแฟแถมด้วยขนมชิ้นเล็กๆซักชุดไม่ยักกะมีวุ้ย น้ำชาแก้วเดี๊ยว..จริงๆ พอแขกคนต่อไปมาเราก็ลากลับเนื่องจากสถานที่จัดงานคับแคบเป็นแค่ห้องๆเดียว ..
ถามผู้เชี่ยวชาญด้านไปงานศพบ่อยอย่างปู่ที่บ้าน ได้ความว่าในช่วงกลางคืนจริงๆแล้วก็จะมีพระมาสวดเหมือนกันแต่เป็นคืนเดียว มาสวดประมาณครึ่งชม.แล้วก็กลับไป แขกที่มาก็แล้วแต่ว่าจะว่างมากันวันไหน วันที่สวดกลางคืนหรือไปวันเผาเลยก็ได้ แขกบางคนไม่สะดวกไปร่วมงานเผาเพราะต้องไปทำงานก็จะมาแสดงความเสียใจในช่วงกลางคืนก่อนวันเผานี่แหละ หรือบางคนที่สนิทมากหน่อยก็จะไปร่วมงานทั้งสองวัน ในตอนกลางคืนที่มีพระสวดก็จะ่มีน้ำชาให้แขกจิบแก้วนึงและของที่ระลึก(ประมาณของชำร่วย)ติดมือกลับไปคนละถุง
ครั้งที่สองที่ป้าโซไปก็เป็นป้าของอิลุงที่ไปร่วมงานในวันเผาเลย ป้าเป็นมะเร็งนับไปนับมาเบ็ดเสร็จตั้งแต่เริ่มเป็นมะเร็งก็ผ่านมาสิบปีได้ ถามปู่ที่บ้านว่าทำไมตายช้านัก.. ไม่ๆๆ เรียบเรียงคำพูดใหม่ .. ทำไมเพิ่งจะมาตาย(ฟังดีขึ้นมั้ย ?) เอ่อ.. ก็ถามด้วยความหมายว่าคนเป็นมะเร็งนี่ไม่น่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้ ปู่บอกด้วยประสบการณ์ที่ได้รู้มาว่า อันว่ามะเร็งนั้นถ้าเป็นในคนวัยยังไม่มากนักจะสามารถลุกลามได้ไวตามความแข็งแรงของร่างกาย แต่คนแก่ๆแล้วความแข็งแรงและการเติบโตของร่างกายมันช้าลงมะเร็งมันเ้ก้าะไม่มีอะไรจะกินมันก็ลุกลามช้าลง (หมายเหตุ.. เป็นการตอบแบบประสบการณ์ตามวัยของปู่ มิใช่คำตอบที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ กรุณาอย่ายึดถือว่าถูกต้อง ) ..
ป้าพี่สาวแม่ของอิลุง ตายไปในวัยแปดสิบกว่าก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อละ งานศพป้าคนนี้เป็นครั้งแรกที่ป้าโซไปในฐานะญาิติ เป็นงานศพที่เรียบง่ายที่สุด.. ง่ายเกินไปจนไม่ครบพิธีกรรมที่ควรจะมีตามความคิดเห็นของญาติใกล้ชิด มางานศพน้าสะใภ้นี่ค่อยครบเรื่องพิธีกรรมหน่อย ขอรวบยอดเก็บรายละเอียดสองงานนี่มาเล่าทีเดียวเลยละกัน แต่เป็นการเล่าแห้งๆที่ไร้ภาพประกอบนะจ๊ะ ขืนไปยืนอะร้าอร่ามถ่ายรูปแชะๆเพื่อเก็บมาอัพบล็ํอกเป็นได้โดนเจ้าภาพถีบออกจากงานแน่แท้..
งานศพที่ญี่ปุ่นจะทำการเผาในช่วงครึ่งวันบ่าย ภาคแรกของครึ่งเช้าก็เป็นการนัดรวมญาติและแขกที่จะมาร่วมงานโดยจะกำหนดเวลาในการเริ่มพิธีกรรมทางศาสนาซึ่งจะมีพระญี่ปุ่นมาสวดให้ ตามปกติแขกทั่วไปก็จะถือว่าเสร็จสรรพการมาร่วมไว้อาลัยร่ำลา ณ ที่นี้ จากนั้นก็จะขนย้ายศพไปเผา ณ ฌาปนสถานซึ่งก็จะมีแต่ญาิติๆตามไปซึ่งจะอยู่รอร่วมเก็บกระดูกใส่โกศ
ป้าโซโทร.ลางานไปวันนึง ออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปถึงจุดนัดหมายซึ่งเป็นสถานประกอบพิธีกรรมที่ทางเจ้าภาพใช้บริการจัดทำงานศพ ส่วนมากจะเป็นบริษัทเอกชนที่ให้บริการจัดงานศพเต็มรูปแบบ สนนราคาจากที่เซิร์ชดูก็ 200,000 - 300,000 เยนอัพ จะเป็นพิธีที่เรียบง่ายจริงๆ ไม่มีอะไร แขกมาไม่กี่คน อิุลุงบอกขนาดของงานและราคาก็ขึ้นอยู่กับจำนวนแขกที่จะมาในงาน อย่างลุงเคยไปงานศพเจ้าของบริษัทก่อสร้างที่เป็นลูกค้า โอ้.. งานนั้นใหญ่มากแขกมาประมาณสี่ร้อยคนได้ รูปผู้เสียชีวิตใหญ่เท่าฝาบ้าน จัดงานคล้ายโรงหนังโรงมหรสพ งานนั้นค่าใช้จ่ายน่าจะประมาณ 1.5 ล้านเยนอัพ(เอา 3 หารคร่าวๆเป็นเงินบาท ) เอ้า.. เลยไปนู่นละ กลับมาที่งานนี้ดีกว่าเดี๋ยวไม่จบ..
มาว่ากันด้วยเรื่องการเตรียมตัวไปงานศพ ชายจะเป็นสูทดำเชิ้ตขาวไทด์ดำ หญิงจะเป็นเดรสดำทั้งชุด ดำขลิบขาวอย่างบ้านเราที่ใส่กันในบางครั้งเค้าไม่นิยมกัน การแต่งตัวต้องสุภาพถือเป็นการให้เกียรติคนตายเป็นครั้งสุดท้าย เครื่องประดับถ้าจะต้องไม่ฉูดฉาดบาดตาส่องแสงเป็นประกาย ส่วนมากจะนิยมประดับมุก(จะจริงหรือปลอมก็แล้วแต่) แหวนถ้าใส่ัหัวฝังเพชรพลอยประดับประดาก็ต้องหมุนด้านหัวกลับเข้าไปไว้ทางฝ่ามือซะ ใครจะล้านเลี่ยนเตียนโล่งไม่ประดับอะไรก็ถือเป็นเรื่องปกติ
สิ่งที่นำติดตัวไปด้วยคือสร้อยลูกประคำสำหรับคล้องมือเวลาัฟังพระสวดมนต์ที่เรียกว่า Juzu และซองเงินช่วยซึ่งจะใส่เงินช่วยด้วยเลขคี่ ตั้งแต่ 3,000 - 30,000 เยนหรือมากกว่านั้นตามกำลังทรัพย์คนช่วย ส่วนมากก็จะใส่ 3,000 5,000 10,000 30,000 เช่นนี้เป็นต้น .. บังเอิญวันก่อนได้ดูรายการทีวีที่เอาเรื่องการปฏิับัติตัวที่ถูกต้องยามไปงานศพมาถ่ายทำสั้นๆ เลยได้ความรู้มาว่า..
- เมื่อไปถึงหน้างาน การทักทายคนต้อนรับหน้างานไม่ต้องเสียงดังฟังชัดนัก ยิ่งหงุมๆหงิมๆฟังไม่ไ้ด้ศัพท์ยิ่งดี ประมาณว่าเสียใจอย่างยิ่งจนเสียงเสิงหายหมด
- การให้ซองเงินช่วย ควรยื่นสองมือด้วยความพินอบพิเทา
- การเขียนชื่อบนหน้าซองเงินช่วยควรจะเขียนด้วยหมึกสีจางๆ ประมาณน้ำตาแห่งความเสียใจได้ชะล้างสีของหมึกออกจนจางลง - เมื่อเดินเข้าไปคำนับศพในงาน ให้เดินข้างใดข้างหนึ่งของพรม(ถ้ามีปูไว้) ไม่ควรเดินเทิ่งๆกลางพรม - เมื่อถึงหน้าศพให้คำนับแสดงความเคารพเจ้าภาพที่นั่งอยู่แถวหน้าครั้งนึง ก่อนจะหันไปคำนับศพแล้วหยิบผงกำยานด้วยปลายนิ้วสามนิ้ว โป้ง ชี้ กลาง ค่อยๆโปรยผงลงในเตากำยาน จะหยิบโปรยหนึ่งหรือสามครั้งก็ได้ แต่ห้ามสองครั้ง เมื่อเสร็จแล้วก็คำนับอีกครั้งก่อนจะหันไปทางญาิติคำนับร่ำลาเจ้าภาพและเดินข้างพรมกลับไปเหมือนเดิม - ตอนรับของชำร่วยก่อนกลับ ห้ามพูดขอบคุณ(คงประมาณถ้าพูดขอบคุณเนี่ยมันจะแสดงถึงความยินดีที่ได้รับของมามั้ง คือจริงๆแล้วชั้นไม่ได้อยากจะรับของชำร่วยเพราะคนเสียชีวิตนี่เล้ยยย รับมาอย่างมารยาทเท่านั้น) จะก้มหัวแล้วรับมาโดยไม่พูดอะไรก็ได้ หรือจะเลี่ยงใช้คำอื่นเช่น อิตะดะคิมัส , โอะซึคะเระซะมะเดชิตะ ก็ได้เหมือนกัน - สิ่งสำคัญที่สุดคือสีหน้า ต้องดูเศร้าหมอง.. ห้ามหลั่่นล้าอ่ะฮ้า..อ่ะฮ้า.. ไอ้ที่รู้มาและเขียนไปข้างบนน่ะ ไม่เกี่ยวกะป้าโซเลยเพราะอิฉันเป็นผู้ตามฮ่ะ รู้ไว้ประดับรอยหยักในสมองเท่านั้น..
ไหนๆ จะเขียนเรื่องนี้ก็เจาะรายละเอียดไปซะอีกนิดจากที่ได้ไปอ่านวิกิฯมา ทางด้านผู้ัจัดงานก็ต้องดูวันตามปฏิทินเหมือนกันว่าถ้าไปตรงตามวันที่ไม่สมควรจัดงานอย่างยิ่งก็ต้องเลื่อนวันไป วันที่เขาถืออย่างมากว่าจะไม่จัดคือวันที่เรียกว่า "โทะโมะบิคิ" โทะโมะ คือ เพื่อน บิคิ มาจากคำ ฮิขุ แปลว่า ดึง รวมความคือ ดึงเพื่อนหรือพาเพื่อนไปด้วย.. ประมาณถ้าจัดวันนี้แล้วคนตายจะมาพาเพื่อนคนรู้ัจักให้ตายตามกันไปอีกเขาเลยไม่จัดกันในวันนี้ วันในปฏิทินของญี่ปุ่นจัดตามจันทรคติเหมือนกัน ของไทยก็ข้างขึ้นข้างแรม วันพระใหญ่ ..
วันงานเดินทางออกจากบ้านเวลา 7.30 น. ทางเจ้าภาพแจ้งมาว่าจะเริ่มพิธีกรรมตอน 11.00 น. ไปถึงสถานที่จัดงานประมาณสิบโมงเข้างานไปเจอน้าชายที่หน้าห้องจัดงานตรงโต๊ะต้อนรับ แขกเหรื่อยังมาไม่มากนัก ณ ตอนนั้นแต่บรรดาญาิติๆมากันแล้ว น้าชายเข้ามาพูดพร้อมน้ำตาว่าก็ได้พยายามกันเต็มที่แล้วหละนะ แต่มันยื้อไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องปล่อยน้าสะใภ้เค้าไป ครอบครัวน้าสะใภ้ทุกคนคงทำใจได้เพราะตั้งแต่ป่วยระยะหลังจนถึงเสียชีวิตนี่ก็นานเอาการอยู่ ..
แล้วน้าก็พาไปไหว้น้าสะใภ้ จุดธูปดอกนึงไหว้แล้วเดินไปดูน้าสะใภ้ที่นอนอยู่ในโลงศพสีขาวเกลี้ยงๆ ภายในกรุด้วยผ้าขาวเช่นกันแต่ไม่ใช่ผ้าฝ้าย ฝาโลงเปิดส่วนใบหน้าไว้ให้สามารถมองเห็นได้ มองเผินๆ คล้ายนอนหลับอยู่ เนื่องจากเป็นงานศพเศร้าโศกเสียใจจึงมิสามารถไปยืนแอ่นสะระแน้ถ่ายภาพของจริงมาได้ เลยเข้าไปขอภาพประกอบจากอากู๋มาแทน..
ขอบคุณภาพประกอบจากกูเกิ้ลค่ะ.. หน้าตาโลงจะประมาณนี้เรียบๆ ตรงส่วนหัวสามารถเปิดออกให้เห็นหน้าตาได้
เปิดออกมาก็จะเป็นอย่างนี้..
เมื่อยังไม่เริ่มพิธีน้าก็พาขึ้นไปที่ห้องพักผ่อนของครอบครัวซึ่งอยู่ชั้นสองที่ทางฝ่ายจัดงานจัดไว้ให้ ถึงแม้จะเป็นอาคารที่มีีแค่สองชั้นแต่ก็มีลิฟท์ให้บริการเนื่องจากผู้เฒ่าผู้แก่บางคนเดินไม่ค่อยไหว บางคนก็นั่งรถเข็นมาจึงมีิลิฟท์ไว้อำนวยความสะดวก ใครแข็งแรงดีอยู่ก็เดินขึ้นบันไดไป พอถึงชั้นสองก็จะมีป้ายเขียนชื่อไว้ว่าครอบครัวนี้เดินไปทางไหน ห้องไหน .. เ้ข้าไปในห้องหลืบทางซ้ายมือก็จะเป็นห้องน้ำ ขวามือก็มีเคาน์เตอร์วางกาไฟฟ้าต้มน้ำร้อนพร้อมซองเครื่องดื่มชากาแฟและอุปกรณ์ และมีเก้าอี้หมู่ให้นั่งคอย เลยเข้าไปจะเป็นห้องที่ปูด้วยเสื่อตะตะมิ ใครใครไปนั่งๆนอนๆคอยในนั้นก็ตามสะดวก มองเผินๆเหมือนห้องในโรงแรมนั่นแหละเพียงแต่ไม่มีเตียง ทีวี ตู้เย็น
นี่ก็งาบรูปมาจากเว็บขายจัดงานศพอีกเช่นกันจ้า..
พอได้เวลาเริ่มงานก็ลงไปข้างล่าง อิลุงนำซองเิงินช่วยไปมอบให้ที่โต๊ะต้อนรับด้านหน้า ซองเิงินช่วยนี่ก็ต้องมีขั้นตอนในการปิดซองเหมือนกัน
รูดปลอกดำรัดซองออก จริงๆที่เห็นนี่เป็นกระดาษแผ่นเดียวและพับห่อซองเงินสีขาวไว้ข้างในอีกชั้นนึง แต่ตอนซื้อมานี่เค้าจะแยกซองใส่เงินไว้ข้า่งนอกเพื่อความสะดวกในการใช้ เมื่อนำเงินใส่ซองแล้วจึงพับกระดาษแผ่นนอกปิดอีกทีพร้อมปลอกดำรัด
การพับกระดาษหุ้มซองในงานศพจะต้องเอากระดาษท่อนบนเกยทับท่อนล่าง แต่ถ้าเป็นงานฉลองก็กลับกันเอาท่อนล่างทับเกยท่อนบน
ธรรมเนียมญี่ปุ่นไม่ว่างานแต่งหรืองานศพ เจ้าภาพจะจัดของขอบคุณแขกที่นำเงินไปช่วยด้วยมูลค่าประมาณครึ่งหนึ่งหรือหนึ่งในสี่ของเงินในซองที่ได้รับ แต่จะทุกรายหรือไม่อันนี้ก็มิทราบได้ เคยเห็นมาสองครั้งละที่เจ้าภาพงานศพส่งแคตตาล็อกบรรดาสิ่งของมาให้เราเลือกตามชอบ ถ้าเราถูกใจอันไหนก็ส่งแบบฟอร์มตอบรับกลับไปที่ร้านที่จัดการ แล้วเขาก็จะจัดส่งของมาให้เราทางปณ.โดยเราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น แคตตาล็อกที่เคยเห็นนั้นมีของให้เลือกหลากหลายเล่มหนาเกือบเท่าแคตตาล็อกคะแนนสะสมแลกของ ของซิตี้แบงก์ยังไงยังงั้น
ตอนนำซองเงินไปมอบให้ก็จะได้รับถุงของที่ระลึกมาด้วย(อันนี้ไม่เกี่ยวกับของตอบแทนภายหลัง ประมาณของชำร่วยทั่วไป) ถุงของนี่ทางบริษัทจัดการมีให้เจ้าภาพเลือกว่าจะเอาอะไรและบอกปริมาณแขกไป ทางผู้จัดงานก็จัดให้เสร็จสรรพรวมถึงพิมพ์รายละเอียดบอกกล่าวขอบคุณผู้มาร่วมงาน รายชื่อเจ้าภาพแนบไว้ในกล่องของที่ระลึกนั่นด้วย ..
ของที่ได้มาคราวนี้ืคือซองดริปกาแฟสำเร็จรูปพร้อมพาย(ที่ไม่ใช่อาร์กำลังสอง )
จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ที่เรียงไว้สองข้างเว้นช่องกลางเป็นที่เดิน เจ้าภาพจะนั่งแถวหน้าสุด ถัดไปข้างหน้าจะเป็นโต๊ะวางเครื่องไหว้บูชา มีกระธางธูป ถ้วยเผากำยาน และขันสำหรับเคาะตอนพระสวด( ชื่ออังกฤษเค้าเพราะพริ้ง..singing bowl ) หน้าโต๊ะวางข้าวของพวกนี้จะมีเก้าอี้ตัวใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางตัวนึงสำหรับเวลาพระมานั่งสวด ถัดจากโต๊ะก็จะเป็นหีบศพสีขาว มีภาพถ่ายเจ้าของร่างวางตั้งไว้ใกล้เคียงกับหีบศพ เลยหีบศพไปเป็นดอกไม้ประดับประดาขนาดใหญ่ ต่างๆรวมถึงป้ายแสดงความเสียใจ
แง้บรูปจากเน็ตมาประกอบอีกแหละ .. ขอบคุณอีกครั้งค่ะ..
รูปนี้จะค่อยข้างเหมือนจริงที่ไปมาที่สุด ต่างกันตรงเก้าอี้จะจัดหันหน้าไปทางโลงและจะอยู่ถัดลงมาจากโต๊ะพิธีตัวยาวปูผ้าขาวตัวหลังสุด บนโต๊ะนี้มีถาดกระเบื้องใส่กำยานเกร็ดเล็กๆ และเตาเผากำยานวางอยู่ข้างกัน ถัดขึ้นไปนั่นจะเห็นขันวางบนฟูกสีส้มๆ นั่นคือขันสำหรับพระเคาะเวลาสวดมนต์ใบเขื่องเอาการ..
ปกติขันสวดมนต์ตามบ้านจะใบเล็กจิ๋วๆ แค่นี้เอง..
เมื่อได้เวลาพิธีกรของทางบริษัทจัดงานก็เริ่มกล่าวเปิดงานด้วยการขอบคุณแขกทุกท่านในนามของเจ้าภาพ และกล่าวไว้อาลัยผู้ที่จากไปโดยเริ่มย้อนอดีตถึงสิ่งต่างๆที่เคยทำไว้ไม่ว่าจะเป็นบทบาทภรรยาและแม่ที่แสนดีของครอบครัว ดูแลบ้านช่องสะอาดเรียบกริบ ทำกับข้าวกับปลาแสนอร่อยให้สมาชิกในบ้านกิน ยามไปกับเพื่อนฝูงก็รื่นเริงใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะไม่ว่าจะไปคาราโอเกะหรืออองเซ็นด้วยกันกับเพื่อน สิ่งเหล่านี้จะคงอยู่ในความทรงจำตลอดไป ..
(( เอ่อ..อิตรงที่เค้าบรรยายถึงคุณงามความดีเนี่ย อิฉันละนึกกระด๊ากกก.. เพราะอิฉันไม่ได้เก่งกาจเรื่องงานบ้านงานเรือนแม้กระผีก กับข้าวกับปลาก็ธรรมดาไม่ได้วิเศษวิโส เป็นแค่เมียแค่แม่ธรรมดาที่อาจจะดูดีหน่อยตรงสามารถทำให้คนรอบข้างบันเทิงรื่นเริงใจได้อยู่บ่อย ถ้าอิฉันลงไปนอนอยู่ตรงนั้นในวันข้างหน้านู้นนนน..(ซึ่งยังอีกน้านนน อิอิ..) ซักวันละก็ ฝากอิลุงกำชับพนักงานด้วยว่าไม่ต้องบรรยายให้อิฉันดูเลิศเลอปานนั้น.. ))
พอฝ่ายเรียบเรียงถ้อยคำบรรยายจบ พระญี่ปุ่นก็เดินเข้ามาทำพิธีกรรมโดยเริ่มจากจุดธูปปักและบอกให้ทุกคนพนมมือไหว้เคารพไปพร้อมๆกัน แล้วพระก็เริ่มร่ายยาวสวดมนต์ไปเคาะขันไปรัวถี่บ้างห่างบ้างสลับกัน ระหว่างที่พระสวดนี่ไม่ค่อยเห็นคนญี่ปุ่นเค้าพนมมือค้างไว้ที่หว่างอกแบบคนไทยหรอกนะ แต่จะคล้องลูกปัดไว้ที่ฝ่ามือตลอด พอพระสวดจบทีนึงก็ยกมือไหว้ก้มหัวลงทีนึง จะว่าเป็นเพราะเค้าไม่อยากเมื่อยก็..ไม่รู้สิ เพราะบทสวดของพระญี่ปุ่นนี่ความยาวน่าจะประมาณหนึ่งในสามของพระไทยสวดเท่านั้นเอง
ลูกปัดสำหรับคล้องมือเวลาฟังพระสวด
พระสวดไปได้สักระยะ ผู้จัดงานก็เริ่มต้อนบรรดาแขกให้เดินไปคำนับศพ โดยเมื่อแขกเดินถึงด้านหน้าจะต้องหันไปคำนับทักทายฝั่งเจ้าภาพที่ยืนต้อนรับแขก แล้วแขกก็จะผลัดกันไปหยิบกำยานสามนิ้วโปรยลงในเตาเผาขนาดเล็กซึ่งจะจัดไว้สองฝั่งให้แขกเดินแยกย้ายกันไปจะได้ไม่เสียเวลา ซึ่งระหว่างนี้พระก็จะสวดวนไปวนมาจนแขกเดินมาครบหมดทุกคนพระก็จะจบการสวด เสร็จพิธีทางสงฆ์ญี่ปุ่น ณ ช่วงนี้ พระท่านก็เดินออกไป
ลักษณะภายในงานจะเป็นคล้ายๆอย่างนี้ ขอบคุณภาพประกอบจากกูเกิ้ลครั้งแล้วครั้งเล่า..
จากนั้นฝ่ายจัดการงานก็ส่งนักเป่าฟลุตผู้หญิงมาบรรเลงเพลงหน้าแท่นพิธี โดยมีคำบรรยายประกอบว่าเป็นเพลงที่ผู้ตายชอบ นักเป่าฟลุตถือโน้ตเพลงเสียบแท่นมาวางแหมะแล้วก็เริ่มบรรเลงเพลงฟลุต จริงๆแล้วเค้าก็คงมีเพลงใ้ห้ทางเจ้าภาพเลือกว่าจะเอาเพลงอะไรตามโน้ตที่นักดนตรีเล่นได้เท่านั้นแหละ เพลินฟังเพลงจากฟลุตจนเกือบลืมไปว่านั่งอยู่ในงานศพ
ท้ายสุดเจ้าภาพก็ออกไปกล่าวขอบคุณแขกทุกท่านที่สละเวลามาเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการตามรูปแบบ ถึงตอนนี้แขกท่านใดใคร่กลับบ้านก็กลับไปได้ ส่วนคนที่สนิทชิดเชื้อหน่อยก็อยู่รอส่งผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งทางฝ่ายจัดงานก็ขอเวลาเคลียร์พื้นที่โดยเอาโลงศพมาตั้งไว้ตรงกลางและแจกดอกไม้สดที่ตัดมาจากดอกไม้ประดับหน้าศพนั่นแหละ แจกให้คนละดอกสองดอก พอจัดการพื้นที่เสร็จก็เชิญแขกที่เหลือให้ไปวางดอกไม้สดในโลงรอบร่างผู้ตายเพื่อร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย ตอนวางดอกไม้ร่ำลานี่แหละเสียงร้องไห้ระงมไปทั่ว
ภายในโลงมีผ้าขาวกรุโลงที่ออกจะเลื่อมๆมันๆ ร่างของน้าสะใภ้อยู่ในชุดกิโมโนสีขาว มีรองเท้าสีขาววางอยู่ปลายเท้าที่คงไม่สามารถใส่รองเท้านี้ให้ได้ ใบหน้าถูกตกแต่งไว้สวยงาม มองคล้ายคนนอนหลับอยู่ ขั้นตอนการจัดแต่งศพก็น่าจะเหมือนกับหนังญี่ปุ่นเรื่อง Departures อันโด่งดังที่กวาดไปหลายรางวัลนั่นเอง(ใครยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ ขอแนะนำค่ะ ดูแล้วเกิดความรู้สึกนึกคิดหลายหลากมาก.. ไอ้ที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องพื้นๆ ง่ายๆ กลับกลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในอารมณ์)
คนที่มาวางดอกไม้ร่ำลาส่วนมากก็จะพูดคล้ายๆกัน "โอะซึคะเระซะมะเดชชิตะ..เหนื่อยมานานแล้วนะ..พักผ่อนซะเถอะ" "อะริกะโตะ.. ขอบคุณกับสิ่งต่างๆที่ได้ทำมาให้นะ" บางคนก็จับศพแล้วร้องไห้คร่ำครวญอยู่อย่างนั้น ถ้าเป็นคนไทยเค้าก็คงกันให้ออกมาเพื่อไม่ให้น้ำตาหยดลงถูกศพตามความเชื่อโบราณ ความโศกเศร้าจบสิ้นลงทางผู้จัดงานก็ปิดฝาโลงและเชิญแขกออกไปยืนคอยหน้าตึกตรงรถที่จะขนย้ายศพไปเผา จากนั้นก็ขอแรงญาติๆผู้ชายช่วยกันแบกโลงเดินออกมาโดยมีคนในครอบครัวถือรูปภาพเดินนำ เมื่อถึงรถก็นำโลงใส่้ด้านหลังและปิดท้ายรถ ก่อนออกรถจะบีบแตรยาวๆหนึ่งครั้งเป็นการไว้อาลัย ทุกคนที่ยืนคอยก็จะโค้งคำนับอีกรอบ ทีนี้ก็จะเหลือแต่บรรดาญาติและเพื่อนที่ใกล้ชิดสนิทชิดเชื้อกันจริงๆที่ขับรถตามไปยังสถานฌาปนกิจ
เมื่อไปถึงฌาปนสถาน ก็จะมีป้ายชื่อบอกว่าศพชื่อนี้อยู่ห้องที่เท่าไหร่ก็เดินไปที่ห้องนั้นซึ่งเป็นห้องโล่งๆ ตรงกลางมีโต๊ะที่เป็นรูปตัวยูเปิดปลายไ้ว้ด้านนึง มุมห้องจะมีโต๊ะเล็กๆวางรูปคนตายพร้อมโถกระเืบื้องสำหรับใส่กระดูกผูกผ้าขาวเตรียมวางไว้ แล้วพนักงานก็เข็นโลงศพเข้ามาในห้องให้ญาติๆร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายหรืออีกนัยหนึ่งก็ให้เช็คว่าใช่ศพนี้จริงๆที่จะนำเข้าเตาเผา
ตามภาพนี่ืคือโต๊ะกลางห้องรูปตัววี สำหรับเข็นแท่นที่วางโลงศพและนำเข้าเผาเรียบร้อยแล้วโลงเลิงมอดไปกับไฟหมดจนเหลือแต่กระดูก (ขอบคุณภาพจากกูเกิ้ลอีกครั้งค่ะ)
ที่เห็นเป็นมือถือจับสองอันนั่นคือตัวเข็นโลงเข้าสู่เตาเผา เมื่อเรียบร้อยแล้วก็จะเข็นนำมาสอดกับโต๊ะตัววีเพื่อให้ญาติใช้ตะเกียบคีบกระดูกใส่โถนำกลับไปบ้าน
เมื่อการร่ำลาเ็ป็นครั้งสุดท้ายจบลง พนักงานก็จะเข็นโลงศพเข้าสู่ช่องเผาที่ระบุหมายเลขไว้ชัดเจนกันผิดพลาด เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการสู่เตาเผา บางที่นี่ให้ญาติเก็บกุญแจเตาเผาไว้กับตัวด้วยป้องกันการสับสน
ระหว่างรอให้เผาเสร็จซึ่งจะใช้เวลาประมาณสองชม.ได้ ญาติๆก็จะออกไปรอที่ล็อบบี้หรือในห้องส่วนตัวที่ทางผู้จัดงานจัดไว้ให้ ณ ตอนนี้ก็เป็นเวลาอาหารกลางวันซึ่งบางสถานที่ก็มีบริการขายอาหารด้วย แต่บางที่ก็ไม่มีอาหารขายทางเจ้าภาพต้องจัดเตรียมอาหารกล่องไปกันเอง นั่งกินนั่งพักผ่อนได้ครู่ใหญ่ๆ แล้วพนักงานก็ประกาศเรียกญาิติผู้ตายให้ไปรวมตัวกันที่ห้องส่งเข้าเตาเผาตอนแรก
เมื่อไปถึงนั้นพนักงานได้เข็นรถที่เอาโลงศพไปเผามาเสียบไว้กับโต๊ะรูปตัวยู ทุกสิ่งทุกอย่างบนรถเข็นนั่นไหม้หมดเหลือแต่กระดูกผู้ตายที่ยังคงมีไอร้อนผะผ่าวลอยขึ้นมา เืมื่อญาติๆรวมตัวกันครบแล้ว พนักงานคุมเตาเผาก็จะเริ่มอธิบายขั้นตอนการเก็บกระดูกโดยให้ญาติผลัดกันใช้ตะเกียบคีบกระดูกจากทางด้านเท้าไล่ขึ้นมาจนถึงหัว ซากกระดูกของร่างจะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพราะความแรงของไฟที่เผา ท่อนทีู่ดูเหมือนว่าสำคัญที่พนักงานคีบแยกไว้ก็คือกระดูกข้อต่อตรงคอที่เชื่อมต่อกับไหปลาร้า ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมส่วนนี้ถึงดูสำคัญนัก ท่อนกระโหลกก็ใช่ว่าจะเป็นหัวกระโหลกวางแหมะเหมือนกระโหลกที่หมอผีจุดเทียนวางทำพิธี กระดูกส่วนกระโหลกที่ว่าแข็งๆก็แตกสลายไปเหมือนกััน ลักษณะการบรรจุใส่โถเหมือนกับย่อส่วนสิ่งที่เคยเป็นร่างคนให้นั่งอยู่ในโถนั่นเองโดยส่วนหัวอยู่บนสุดส่วนเท้าอยู่ล่างสุด เมื่อญาติๆคีบกระดูกเก็บใส่โถจนเป็นที่พอใจแล้ว พนักงานก็จะิปิดฝาโถเอาผ้าขาวห่อและผูกให้เรียบร้อยให้ญาตินำกลับไป
จากการที่ใช้ตะเกียบคีบเศษกระดูกบรรจุลงในโถซึ่งบางครั้งก็มีการคีบส่งต่อผ่านกันด้วยตะเกียบ หรือช่วยคีบชิ้นกระดูกพร้อมๆกันใส่โถเก็บนี่เอง จึงเป็นข้อห้ามทางสังคมสำหรับคนญี่ปุ่นที่จะไม่ใช้ตะเกียบอาหารส่งผ่านต่อกับตะเกียบเวลาทานอาหาร เพราะนั่นคือวิธีของการเก็บกระดูกคนตายนั่นเอง โถกระดูกที่บรรจุเรียบร้อยญาติจะนำไปวางที่วัดที่จัดไว้วางเป็นช่องๆ ซึ่งต้องเสียเงินบริจาคให้ทางวัดก่อนจะมีสิทธิ์จับจองในช่องเหล่านั้น สนนราคาในการจับจองพื้นที่นั่นเป็นจำนวนเงินสูงเอาการ ยิ่งถ้าเป็นเจดีย์่ก่อสร้างแยกออกไปยิ่งหลายเงินโข แต่ถึงกระนั้นก็จำเป็นต้องจ่ายเพราะไม่งั้นก็จะไม่มีที่เก็บกระดูกสำหรับบรรพบุรุษ จะแพงอยู่เมื่อแรกเริ่มจับจองหลังจากนั้นเมื่อมีคนในครอบครัวตายไปอีกก็สามารถนำไปรวมกันได้
เป็นอันสิ้นสุดกระบวนการงานศพที่กว่าจะจบได้เ่ล่นเอาหืดขึ้นคอเหมือนกัน เพราะมันค่อนข้างใช้เวลาในการเรียบเรียง หารูปมาประกอบ ไอ้ครั้นจะเล่าแห้งๆก็กลัวจะไม่เห็นภาพกัน กว่าจะเข้าไปหารูปมาประกอบได้ไหนจะเลือกรูปอีก พอได้รูปท่อนต่อไปที่จะเขียนก็ติดอีกว่าตรูเขียนถึงไหนแล้วว้าาา.. จนเวลาผ่านไปนานต้องมาระลึกชาติเขียนกัน
ขอบคุณสำหรับการอดทนติดตามอ่านเอ็นทรี่นี้มาจนจบ รู้ว่าเป็นบล็อกที่ยาวบล็อกนึงแต่ไอ้ครั้นจะแตกออกเป็นสองบล็อกก็กลัวไม่ต่อเนื่อง ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่เร่งเร้ามาให้อัพบล็อกซะทีจากเพื่อนหลายๆคนค่ะ หวังว่าประสบการณ์ที่เล่าในบล็อกนี้คงจะมีสาระบ้างไม่มากก็น้อยในเรื่องความแตกต่างจากประเพณีของเรา ขอบคุณอีกครั้ง.. พบกันใหม่บล็อกหน้า สวัสดีค่ะ..
Create Date : 18 พฤศจิกายน 2556 |
|
23 comments |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2556 14:55:40 น. |
Counter : 13445 Pageviews. |
|
|
|