พิธีเปิดการศึกษามหาวิทยาลัยฟุกุโอกะ ปีการศึกษา 2017
ลำดับขั้นตอนการศึกษาของญี่ปุ่น จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงิื่อนอะไรนัก ถ้าเราเข้าใจและเตรียมตัวไว้ตั้งแต่การเรียนระดับต้นๆ มันก็จะง่ายสำหรับขั้นตอนต่อๆไป ลำดับการศึกษาของญี่ปุ่นก็เหมือนกับไทยคือ เตรียมอนุบาล(ฝากเลี้ยงตามเนอร์สเซอรี่หรือโฮอิขุเอ็นในภาษาญี่ปุ่น) อนุบาล(โยจิเอ็น) ชั้นประถม(1-6) มัธยมต้น(1-3) มัธยมปลาย(1-3) และมหาวิทยาลัย ซึ่งระดับโฮอิขุเอ็นและโยจิเอ็นนั้นไม่ใช่ภาคบังคัับของรัฐบาล ผปค.ที่ใช้บริการของระดับเล็กนี้ก็ด้วยความจำเป็นจากเหตุผลต่างๆกัน ส่วนมากจะเพราะแม่ต้องออกไปทำงานไม่สามารถเลี้ยงลูกได้เอง ภาคการศึกษาที่รัฐบาลบังคับก็จะเหมือนเมืองไทยคือระดับประถมและมัธยมต้น พอจบมัธยมต้นก็จะสอบเข้าเรียนต่อมัธยมปลายหรือไปเรียนต่อสายอาชีพเลยก็ได้ น้อยคนนักที่จะเรียนจบแค่ม.ต้นแล้วออกไปทำงานเลย.. พอจบมัธยมปลายก็มีทางเลือกอีกเช่นกันว่า จะสอบเข้าไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาหรือไม่ หรือจะไปเรียนต่อทางเฉพาะสายอาชีพ เพื่อจะจบชีวิตการเรียนเท่านี้แล้วออกไปหางานทำ ก็ว่ากันไป.. ด้วยความที่โง่ดักดานไม่เคยรู้เลยว่าที่นี่เค้าแข่งขัน เค้าเตรียมการสำหรับลูกกันยังไง ถึงพ่อมันก็โง่พอกันแม้ว่าจะเป็นถิ่นตัวเอง ภาษาตัวเอง เนื่องจากออกไปอยู่นอกประเทศมานาน.. สำหรับครอบครัวที่มุ่งมั่นกับการศึกษาของลูกมากๆเนี่ย เค้าเตรียมการวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ บางคนเตรียมไว้ตั้งแต่ลูกหัวเท่ากำปั้น ส่งไปเรียนพิเศษเพื่อจะให้เข้าร.ร.ที่ต้องการได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อยๆเลยสำหรับการส่งลูกคนนึงให้ไปถึงจุดหมาย(ของพ่อแม่) สำหรับชั้นประถมและม.ต้นในภาคบังคับของรัฐบาล ทุกอย่างฟรีหมดไม่ว่าจะเป็นค่าเล่าเรียนหรือหนังสือ พ่อแม่ไม่ต้องควักตังค์นอกจากค่าอาหารกลางวันที่ทางร.ร.จะจัดให้ ก็แล้วแต่พื้นที่นั้นๆไป
ที่ญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญมากกับการสอบเข้าร.ร.มัธยมปลายและสอบเข้ามหาวิทยาลัย เนื่องจากเป็นช่วงต่อของการเปลี่ยนแปลง ในระดับม.ปลายนั้นมันเริ่มมีทางเลือกละ ด่านแรกเลยก็ร.ร.ม.ปลายของรัฐบาลหรือเอกชน ซึ่งแน่นอนค่าใช้จ่ายของร.ร.เอกชนมากกว่ารัฐบาล(น่าจะประมาณ 3 เท่าตัวได้ แม้ว่าหลังๆมานี่รัฐบาลจะช่วยเหลือค่าการศึกษาของนักเรียนในร.ร.เอกชนบ้างก็ตาม) พ่อแม่จึงมักต้องการให้ลูกของตัวเรียนในร.ร.รัฐบาลซึ่งถูกกว่า แต่ก็มีนะที่ร.ร.เอกชนบางร.ร.จะมีชื่อเสียงอยู่ในระดับต้นๆ มากกว่าร.ร.รัฐบาลบางร.ร.เสียอีก ซึ่งการจะสอบเข้าร.ร.ที่มีชื่อเสียงนั้นจึงจำเป็นต้องส่งลูกไปเรียนพิเศษกวดวิชาเพื่อที่จะสอบเข้าร.ร.ที่ตัวต้องการให้ได้
เกริ่นมายืดยาวเช่นนี้เพื่อจะบอกว่า กว่าจะมาถึงระดับนี้ได้ เหนื่อยและท้อกันมามากทั้งพ่อแม่และตัวลูกเอง ทั้งผลักทั้งดันทั้งให้กำลังใจกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการมาถึงจุดนี้ได้หรือไม่ก็ขึ้นกับตัวเด็กเองน่ะแหละ เจ้าคนเล็กที่บ้านนี่ตอนแรกก็ตั้งเป้าหมายไว้นู่นนี่นั่นเต็มไปหมด เลือกผิดเลือกถูกมาตลอดในชั้นม.ปลาย มาถึงเป้าหมายสุดท้ายที่ตั้งไว้อย่างตัดสินใจปุบปับ.. พ่อแม่ใจหายใจคว่ำอยู่นานว่ามันจะมีที่เรียนต่อไหม.. มีนะ จนป่านนี้ที่ทุกคนได้มหาวิทยาลัยที่ตัวเองจะไปเรียนแล้ว แต่ก็ยังมีเพื่อนบางคนที่ยังไม่มีที่เรียน บ้างก็มุ่งมั่นว่าจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยที่ตัวเองต้องการให้ได้ถึงแม้ว่าจะสอบเข้าที่อื่นได้ก็ไม่ไป ยอมเสียเวลาอีกปีนึง หรือบางคนก็สอบเข้าที่ไหนไม่ได้เลยจากการผิดพลาดนู่นนี่นั่น เช่นเจ้าเพื่อนคนนึงนี่ดันกาคำตอบผิดช่อง คือกระดาษมันเลื่อนเลยเคลื่อนไปทั้งหน้าเลย โชคร้ายจริงๆ พวกเด็กที่ยังไม่มีที่เรียน และต้องการจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งในปีหน้านี่ก็จะเข้าไปเรียนในสถานกวดวิชาเฉพาะตลอดทั้งปี เรียกว่าโยบิโค (ร.ร.มัธยมปลายสำรอง..ความหมายประมาณนั้น) ซึ่งเป็นของเอกชน การเรียนการสอนจะเน้นสอนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยโดยเฉพาะ แน่นอนค่าใช้จ่ายก็จะประหนึ่งเรียนร.ร.ม.ปลายเอกชนซ้ำไปอีกปีนึงนั่นแหละ
มาเข้าเรื่องพิธีเปิดการศึกษาจริงๆละค่ะ ..
"ฟุกุโอกะไดกักขุ" หรือ มหาวิทยาลัยฟุกุโอกะ เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนขนาดใหญ่บนเกาะคิวชู จำนวนนศ.ประมาณ 20000 คน ปีนี้มีนักศึกษาใหม่เข้ามาเรียนทั้งหมดประมาณ 4700 คน ทางมหาวิทยาลัยจะกำหนดจำนวนนศ.ที่รับเข้าเรียนแต่ละคณะ โดยไม่เปลี่ยนไปมากนักในแต่ละปี ในพิธีเปิดการศึกษานี้เนื่องด้วยจำนวนนศ.บวกกับผู้ปกครองที่จะเข้ามาร่วมพิธีมีจำนวนมาก ที่จอดรถไม่สามารถรองรับได้ทั้งหมด คนส่วนมากจึงนิยมไปรถไฟกัน ที่บ้านก็เช่นกัน.. ขึ้นรถไฟแปดโมงกว่าใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ก็ไปถึงมหาวิทยาลัย แล้วก็ไหลไปตามคลื่นคน ด้วยความที่เป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ เลยมีสถานีรถไฟใต้ดินไปถึงที่ แถมมีรถบัสแล่นภายในมหาวิทยาลัยอีกด้วย ตัวมหาวิทยาลัยแบ่งเป็นสองฝั่งตัดด้วยถนนเส้นใหญ่ โดยฝั่งนึงเป็นโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย มีคณะแพทยศาสตร์แหละอื่นๆที่เกี่ยวกับศาสตร์ด้านนี้ อีกฝั่งก็จะเป็นตึกสอนคณะอืื่นๆ
ไหลตามคลื่นคนไป ระหว่างทางก็มีคนยื่นใบโฆษณานู่นนี่ให้เป็นระยะตลอดทาง ส่วนมากจะเป็นใบประกาศทำงานพิเศษสำหรับนศ. เจ้าตัวเล็กนี่ผ่านเลย ไม่ต้องรับกับเค้าเพราะได้ที่ทำงานพิเศษเรียบร้อยแล้ว รายไหนยื่นทิชชู่มาให้ด้วยนี่นังแม่จะหยิบรับมา แสดงความงก แต่หลังจากรับมาสองสามเจ้าก็เลิกรับ .. เต็มกระเป๋าสิคะขืนรับมาเรื่อย อิอิ..
พอเข้าไปในตัวอาคารที่ทำพิธีก็ต้องหยุดรอเป็นระยะอีก นศ.ปีหนึ่งสามารถเดินเข้าไปข้างในชั้นแรกของตัวอาคารได้เลย แต่พ่อแม่นี่ต้องยืนรอคิวที่จะขึ้นบันไดไปชั้นสองที่เป็นอัฒจันทร์ล้อมรอบสามด้าน มองลงไปเห็นพิธีข้างล่างสบายๆ ข้างล่างนั่นก็จัดวางเก้าอี้เป็นแถวเป็นหมวดหมู่ นศ.คนไหนมาก่อนก็จะถูกต้อนให้ไปนั่งเรียงด้านหน้า พอเต็มแล้วค่อยเปิดที่นั่งด้านหลังๆ มองจากข้างบนลงไปเห็นแต่หัวดำหัวน้ำตาลเต็มพรืดไปหมด
เก็บภาพได้ทีละครึ่งหอประชุม รูปนี้คือส่วนหน้า
และส่วนหลัง
พอได้เวลาก็ประกาศให้ทุกคนยืนขึ้นพร้อมร้องเพลงชาติญี่ปุ่นโดยมีวงดุริยางค์ของมหาวิทยาลัยบรรเลงกำกับไปด้วย จากนั้นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยก็มาพูดเปิดพิธีการศึกษา แขกผู้มีเกียรติที่เชิญมา แล้วก็มีตัวแทนรุ่นพี่ออกมากล่าวรับน้อง ตัวแทนรุ่นน้องปี 1 ออกไปกล่าวฝากเนื้อฝากตัว หัวหน้าทีมเชียร์ออกมาตะโกนนำร้องเพลงเชียร์ประจำมหาวิทยาลัยโดยมีปอมปอมเกิร์ลออกมาเต้นประกอบ เริ่มพิธีเวลา 10:30 เสร็จสิ้นประมาณ 11:30 จากนั้นก็ออกมาถ่ายรูปและเดินไปยังตึกเรียนของแต่ละคนเพื่อรับเอกสาร ก็ไหลกันออกมาอีกแหละค่ะ งานนี้เดินกันทีนพลิก
เลิกพิธีก็เหมือนผึ้งแตกรัง หาลูกไม่เจอ ต้องซูมสุดฤทธิ์
ต้องโทร.เรียกมายืนตรงที่นั่งพ่อแม่ จะได้เก็บรูปในหอประชุมอย่างเต็มตัว
ออกไปข้างนอกก็อีกแหละ.. หามุมว่างไม่ได้เลย ถ่ายรูปออกมามีแต่ญาติ(คนอื่น)เต็มไปหมด มหาวิทยาลัยนี้มีโรงพยาบาลเป็นของตัวเองด้วย เนื่องจากมีคณะแพทยศาสตร์ เภสัช และอื่นๆที่เกี่ยวกับทางการแพทย์ ฝั่งที่เป็นหอประชุมใหญ่ที่ทำพิธีนี่อยู่ทางฝั่งของโรงพยาบาล มีร้านสะดวกซื้อและสตาร์บัคอยู่ฝั่งโรงพยาบาลนี้ด้วย ข้ามไปดูตึกเรียนกันดีกว่า.. ห้องเรียนจะเป็นพื้นลาดไล่ระดับ ทำให้มองกระดานและครูผู้สอนได้ชัดเจน คนนั่งหน้าไม่บังคนนั่งหลัง เพดานหน้าห้องจะมีจอภาพโปรเจคเตอร์
จากห้องเรียน ต่อมาไปสำรวจเรื่องอาหารการกินกัน ที่มหาวิทยาลัยนี้มีแคนทีนทั้งเล็กใหญ่รวมกัน 9 แห่ง ค่าอาหารถูกมาก(อันนี้แม่ชอบ ) ไหนๆก็มาแล้ว ก็ลองชิมอาหารที่นี่ซะเลย รสชาติอร่อยทีเดียว ปริมาณก็มากสมกับขายให้เด็กวัยกำลังโต หน้าแคนทีนจะปิดป้ายเมนูประจำอาทิตย์ไว้ บอกรายละเอียดจำนวนแคลอรี่เสร็จสรรพสำหรับอาหารแต่ละเมนู และเมนูประจำวัน
บรรยากาศส่วนหนึ่งภายในแคนทีน .. หยิบถาดเดินไปเลือกหยิบจานอาหาร หรือจะสั่งเมนูพิเศษก็สั่งไปแล้วยืนรอ พนักงานให้บริการไวมาก
พอได้ของที่ต้องการครบก็มาจ่ายตังค์ อิ่ม ถูก อร่อย ครบคอนเซ็ปตามมหาวิทยาลัยทั่วไปที่ไม่ค้ากำไรเกินควรกับเด็ก.. บล็อกนี้เขียนทิ้งไว้นานมาก เขียนได้เกินครึ่งแต่เหมือนเคย .. ตัวขี้เกียจมันมาดึงไว้ซะ 555 มาเข้ามาต่อให้จบก็มีงงเหมือนกัน อย่างนี้ไม่สมควรเขียนทิ้งไว้เนอะ ต้องต่อๆให้จบเลย.. ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันนะคะ พบกันใหม่บล็อกหน้า สวัสดีค่ะ..
Create Date : 10 พฤษภาคม 2560 |
|
5 comments |
Last Update : 10 พฤษภาคม 2560 22:01:50 น. |
Counter : 3432 Pageviews. |
|
|
|
ในหอประชุมนี่คนเยอะจริงๆ
โรงอาหารมีบอกแคลอรี่ด้วย จะว่าไปก็ดีเหมือนกันครับที่เค้าขายอาหารถูก และให้ปริมาณมาก