พระเครื่อง : แหล่งข้อมูลบทความพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง และวัตถุมงคล
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
26272829 
 
14 กุมภาพันธ์ 2555
 
All Blogs
 

มะรุม ต้นไม้เพื่อชีวิต

มะรุม ต้นไม้เพื่อชีวิต

มะรุม เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน เช่น ราก จะมีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ เปลือก จะมีรสร้อน ช่วยขับลม ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ เป็นต้น ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด สรรพคุณ : ฝัก - ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัวลม เปลือกต้น - มีรสร้อน รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก) ราก - มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก - แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย จากประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้ ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเม็ดโลหิตแตกกระจาย หรือ TG6PD ไม่ควรรับประทาน
"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก “ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม” ภาคเหนือเรียก “มะค้อมก้อน” ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก “กาแน้งเดิง” ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก “ผักเนื้อไก่” เป็นต้น ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้ ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง “ผงนัว” กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก

คุณค่าทางอาหารของมะรุม มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ
• วิตามินเอ บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า • วิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม • แคลเซียม บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด • โพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย • ใยอาหารและพลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย • น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย
ประโยชน์ของมะรุม

1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ

น้ำมันมะรุม

สรรพคุณ..ใช้หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจ ใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ รักษาโรคหูน้ำหนวก ใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราและเชื้อไวรัส รักษาโรคเริม งูสวัด รักษาและบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ทารักษาแผลสด หูด ตาปลา ใช้ถูนวดบรรเทาอาการบริเวณที่ปวดบวมตามข้อ รักษาโรคไขข้ออักเสบ เก๊าท์ รูมาติก เป็นต้น ชะลอความแก่ กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย ฆ่าจุลินทรีย์สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว การป้องกันมะเร็ง สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก

ใบมะรุม 100 กรัม
(คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
พลังงาน 26 แคลอรี
โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน 0.1 กรัม ใยอาหาร 4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน 110 ไมโครกรัม
แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)

ทั้งนี้ กลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลง ทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และหลอดเลือดแดงใหญ่ (เอออร์ตา) โดยกลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง ฤทธิ์ป้องกันตับ งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหายโดยไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรส อะลานีนทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาเหล่านี้

เอกสารอ้างอิง: Nature’s Medicine Cabinet by Sanford Holst The Miracle Tree by Lowell Fuglie LA times March 27th 2000 article wrote by Mark Fritz. PUBMED.GOV. (Search for Moringa) (Antiviral Research Volume 60, Issue 3, Nov. 2003, Pages 175-180: Depts. of Microbiology, Pharmaceutical Botany, Pharmacology, Faculty of Pharmaceutical Science, Chulalongkorn University, Bangkok. ที่มา : นิตยสารหมอชาวบ้านปีที่ 29 ฉบับที่ 338 มิถุนายน 2550 หนังสือนาฬิกาชีวิตตอน 2 มะรุม ต้นไม้เพื่อชีวิต รวบรวมโดยวิไลวรรณ อนุสารสุนทร


ประโยชน์ที่รวบรวมได้จากการรับประทานมะรุม จากหนังสือนาฬิกาชีวิต ตอน 2 รวบรวมโดยคุณวิไลวรรณ อนุสารสุนทร
1. รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ ลดสถิติการเสียชีวิต พิการและตาบอด เมื่อทารกดื่มนมจากมารดาที่รับประทานใบมะรุมสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและแคลเซียม ผลที่ได้ 100% มีตัวอย่างจากวารสารลอสแอนเจลิสไทม์ ฉบับวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ.2000 บทความชื่อ “มะรุม ต้นไม้มหัศจรรย์” โดยมาริค พิส บรรยายถึงเด็กชาวเอธิโอเปียอายุ 5 เดือน ซึ่งแพทย์หมดหวังที่จะให้รับการรักษาเพราะขาดสารอาหารอย่างรุนแรง ต่อมามารดาได้รับคำแนะนำให้นำมะรุมแห้งบดละเอียดมาทำเป็นอาหารจากแพทย์สอนศาสนา ปัจจุบันเด็กผู้นั้นมีอายุ 6 ขวบ สุขภาพแข็งแรงดีพ้นภาวะตามืดบอดได้อย่างหวุดหวิด
2.ช่วยผู้ป่วยเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ สามารถลดการใช้ยาลงโดยความเห็นชอบจากแพทย์ผู้ทำการรักษา ท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ได้บรรยาย ณ วัดป่าธรรมชาติว่าถ้ารับประทานใบมะรุมสม่ำเสมอจะมีโอกาสหายจากโรคเบาหวานได้ ซึ่งคณะแพทย์และนักวิจัยทั่วโลกกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างสูง
3. ควบคุมความดันโลหิตสูงให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ แต่ต้องควบคุมอาหาร และหมั่นบริหารร่างกายสม่ำเสมอ
4. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย การรับประทานมะรุมระหว่างตั้งครรภ์ นอกจากทำให้มารดาและทารกมีสุขภาพแข็งแรงแล้ว โอกาสที่ทารกจะติดเชื้อ HIV ย่อมลดน้อยลงด้วย
5. ช่วยสร้างภูมิต้านทานที่ต่ำลงของผู้ป่วยเอดส์ในภาวะควบคุมได้ และพบการรักษาโรคเอดส์ที่ประสบผลสำเร็จอย่างกว้างขวางจากประเทศกลุ่มทวีปแอฟริกาและได้รับความสำเร็จเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2005 จากการค้นคว้าทดลองของวัดแอฟริกาอินแลนด์ ประเทศแทนซาเนีย โดยนายแพทย์เฟลิซิและพยาบาลชาวเยอรมันชื่อไมค์กี้ เอตลิ่ง
6. ต้านมะเร็ง และผู้ที่เป็นมะเร็ง อยู่จะช่วยให้การรักษาง่ายขึ้น บางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของมะเร็งได้ถ้าใช้ควบคู่กับยาแพทย์แผนปัจจุบัน การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยลดการแพ้รังสีช่วยให้ผู้ป่วยพื้นตัวเร็วขึ้น ขณะนี้สถาบันค้นคว้าโรคมะเร็งของมหาวิทยาลัยการแพทย์จอนฮอฟกินส์ และงานวิจัยอีกหลายสถาบันกำลังเร่งทำการค้นคว้าอย่างจริงจัง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.pubmed.gov โดยพิมพ์คำว่า Moringa ก็จะได้ข้อมูลการวิจัยมากมาย
7.ช่วยบรรเทาอาการปวดบวมโรคเก๊าท์ ไขข้อและกระดูกอักเสบ มะเร็งกระดูก โรครูมาติซั่ม มีรายละเอียดบางส่วนจากการค้นคว้าของ Dr.Lowell J. Fuglie และในเว็บไซต์ของหมอชาวบ้าน
8. รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น ตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ ตัวผู้เขียน (คุณวิไลวรรณ อนุสารสุนทร) เป็นโรคตา “กลูโคม่า” อย่างรุนแรง เมื่อรับประทานมะรุมต่อเนื่องมา 4 ปี ปรากฏว่าอาการดีขึ้นมากจนแพทย์ผู้รักษาประหลาดใจและงุนงงเมื่อทราบว่าเป็นผลจากการทานใบมะรุมที่ท่านปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุน
9. รักษาลำไส้อักเสบ และโรคเกี่ยวกับท้อง โรคพยาธิในลำไส้ ในปี 2003 ผู้เขียน (คุณวิไลวรรณ อนุสารสุนทร) ป่วยลำไส้อักเสบรุนแรง แพทย์ลงความเห็นว่าควรตัดส่วนที่เป็นปัญหาเพื่อป้องกันการลุกลามอาจถึงขั้นมะเร็ง และรับประทานยาปฏิชีวนะจากแพทย์จนหมดแล้วนัดไปตรวจใหม่ แต่ด้วยความกลัวเพราะมารดาเสียชีวิตด้วยโรคเดียวกันนี้ หลังจากผ่าตัด 4 วันจึงไม่ไปพบหมออีก ระหว่างนั้นรับประทานใบมะรุมทั้งสดและแห้ง ร่วมกับใบบัวบก อาการเจ็บปวดก็หายไป หนึ่งปีผ่านไปทางโรงพยาบาลยื่นคำขาดว่าถ้าไม่มารับการตรวจรักษาลำไส้อีกเมื่อมีอาการอักเสบซ้ำซ้อน ทางบริษัทประกันสุขภาพจะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อเข้ารับการตรวจปรากฏว่าโรคลำไส้หายเป็นปกติดี
10.รักษาปอดให้แข็งแรงและรักษาโรคปอดอักเสบ จากการค้นคว้าของแพทย์หลายท่านและประสบการณ์ตรงของผู้เขียน ทำให้สุขภาพปอดดีขึ้น
12. รักษาทางเดินหายในอักเสบ โรคโพรงจมูกอักเสบ หอบหืด ภูมิแพ้ ทำให้หายใจสะดวกขึ้นจนคนใกล้ชิดสังเกตเห็น ในระยะแรกที่รับประทานใบมะรุม ผู้เขียนมีอาการไอมากแต่เพื่อนของผู้เขียนให้ข้อสังเกตว่าเป็นการขับพิษของมะรุมเมื่อขับพิษหมดอาการไอจะหายไปเอง และเมื่อรับประทานเม็ดมะรุมทำให้อาการไอหายไปอย่างรวดเร็ว
13. ช่วยเชื่อมต่อกระดูกที่หักได้ผลรวดเร็ว มีครั้งหนึ่งผู้เขียนหกล้มนิ้วเท้าหัก แพทย์ผู้ทำการรักษาประเมินผลว่าจะหายได้ใน 7-8 เดือนเป็นอย่างน้อย โชคดีที่ผู้เขียนรับประทานมะรุมแคปซูลสม่ำเสมอปรากฏว่าอาการดีขึ้น เริ่มใส่รองเท้าได้ภายใน 3 สัปดาห์ และเดินได้ปกติในเวลาแค่ 3 เดือน มะรุมยังช่วยโรคกระดูกเสื่อมในผู้สูงวัยอีกด้วย คุณหมอโมนาได้ตกลงตรวจกระดูกให้ผู้เขียนหลังขออนุญาตหยุดทานแคลเซียม 8 เดือน เมื่อกลับไปเอ็กซเรย์กระดูกใหม่ปรากฏว่าความหนาแน่นของกระดูกเพิ่มขึ้น 1% แม้จะเป็นอัตราส่วนที่น้อยแต่ก็นับเป็นผลความสำเร็จยิ่งใหญ่ ท่านได้สั่งหยุดยารักษาโรคทุกชนิดเหลือแต่ความดันให้มีติดตัวไว้เสมอ ส่วนยาหยอดตายังคงใช้อยู่เป็นประจำ
14.รักษาโรคคอหอยพอกชนิดมีพิษ มีผลในเพศหญิงเต็ม 100% ชาย 75% แพทย์ที่ทำการรักษาให้ยาเกินขนาดจนร่างกายผู้เขียนรับไม่ไหว ระยะเวลาเพียง 6 เดือน น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 60 ปอนด์ จึงส่งต่อให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคดูแลต่อ กว่าจะถึงมือแพทย์เชี่ยวชาญ อาการทรุดลงมาก โรคเบาหวานเข้าแทรก โรคไขมันในเม็ดเลือด ความดันสูง โรคตับ โรคไต โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคกระเพาะ พร้อมใจกันคุกคามอย่างหนัก สายตาเสื่อมลง การหายใจผิดปกติ คุณหมอโรเซ็นเบิร์กกถึงกับส่ายหน้าเพราะไม่ทราบจะเริ่มรักษาส่วนใดก่อนดี ระยะเริ่มรักษาเกิดโรคลำไส้แทรกซ้อนจนเอาชีวิตไม่รอด สุดที่จะเยียวยาได้ คุณหมอเริ่มรักษาโรคคอหอยพอกก่อนซึ่งมีให้เลือก 2 ทางคือ
1) ผ่าตัด ด้วยมารดาเคยรักษาด้วยการผ่าตัดแต่ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะมีโรคแทรกซ้อนจนเกิดอาการทางปราสาทและต้องนอนโรงพยาบาลถึง 2 ปี
2) การใช้รังสีปรมาณู เพื่อนหลายคนรักษาประเภทนี้และประสบปัญหายุ่งยากทางสุขภาพ พอดีในขณะนั้นสุขภาพไม่อำนวยทั้ง 2 ทาง หมอจึงขอเวลา 3 เดือน และเริ่มรักษาหลังปี 2004 ซึ่งได้พบเพื่อนสองสามีภรรยาผู้มีใจเมตตาแนะนำให้ลองทานใบมะรุมจึงได้เริ่มค้นคว้าหาข้อมูลและพบว่ามะรุมมีประโยชน์มหาศาลหลังจากรับประทานใบมะรุมได้ 3 เดือน
วันที่ 4 มกราคม 2004 ได้กลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจรักษาด้วยวิธีใด บังเอิญที่คุณหมอโรเซนเวิร์กย้ายที่ทำงาน จึงส่งมอบให้คุณหมอโมนาซึ่งเวลาต่อมาได้รับความประหลาดใจอย่างมากเมื่อพบว่าโรคคอหอยพอก และโรคอื่น ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจบอกคุณหมอเรื่องการใช้ใบมะรุมควบคู่กับยาที่คุณหมอสั่ง ในเวลานั้นเกิดความไม่แน่ใจว่าการรับประทานใบมะรุมมาก ๆ เป็นเวลานานจะมีผลแทรกซ้อนหรือเปล่าจึงลองหยุดรับประทาน 3 เดือน เมื่อไปพบคุณหมอโมนาพบว่าอาการของโรคทุกชนิดที่เคยเป็นได้กลับมาอีก คุณหมอจึงสั่งให้หยุดรับประทานมะรุม พร้อมสั่งยาและนัดให้ไปพบอีก 2 เดือน ผู้เขียนเริ่มกลับมารับประทานใบมะรุมอีกด้วยความกลัวจึงได้เพิ่มขนาดจากวันละ 4 แคปซูลเป็น 6 แคปซูล เมื่อถึงกำหนดนัด คุณหมอถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกเพราะอาการทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้งจึงได้สารภาพกับคุณหอมว่าไม่ได้ใช้ยาที่แพทย์สั่งเลย นอกจากยาลดความดันอย่างเดียว แต่รับประทานใบมะรุมทุกวัน คุณหมอจึงตกลงว่าจะให้เวลา 2 เดือน ถ้าอาการทรุดลงไปอย่างเดิมจะไม่มีการต่อรองใด ๆ อีก 2 เดือนต่อมา ผลที่ออกมาก็เหมือนเดิม จึงขอเวลาคุณหมออีก 1 ปี โดยจะมารับการตรวจทุก 3 เดือน คุณหมอก็ตกลงตามนั้น
ในการตรวจร่างกายครบ 1 ปี พบว่า นอกจากรักษาโรคแล้ว มะรุมยังรักษากระดูกด้วย จึงขอคุณหมอหยุดรับประทานแคลเซียม 1 ปี คุณหมอลังเลใจและบอกว่าเสี่ยงมากเกินไปสำหรับกระดูก จึงตัดสินใจให้เวลา 8 เดือน โดยเอกซเรย์ดูความหนาแน่นของกระดูกไว้ก่อนว่าสภาพกระดูกของผู้เขียนเสื่อมโทรมเพียงใด จึงได้เพิ่มแคปซูลใบมะรุมจากวันละ 6 เป็น 8 แคปซูล เมื่อครบกำหนดตามนัด คุณหมอได้แจ้งผลเอกซ์เรย์ครั้งที่ 2 ด้วยใบหน้ายิ้มละไมและโค้งให้ผู้เขียนพร้อมกล่าวว่า “ขอเรียกว่า คุณมะรุม” ได้ไหม? เราประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ร่วมกัน ถึงแม้เปอร์เซ็นต์ในการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกจะน้อยนิดก็ถือเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าเราประสบความสำเร็จและได้มอบผลการตรวจไว้เป็นหลักฐาน ท่านใดต้องการข้อพิสูจน์ ผู้เขียนยินดีที่จะมอบสำเนาให้ดู

ประสบการณ์ตรงจากชีวิตจริง (จากหนังสือนาฬิกาชีวิตตอน 2 รวบรวมโดยคุณวิไลวรรณ อนุสารสุนทร) หน้า 29




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2555
0 comments
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2555 0:59:11 น.
Counter : 2515 Pageviews.


amulet108
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 96 คน [?]








Friends' blogs
[Add amulet108's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.