กฎแห่งกรรม นิทานธรรมะ ภาพประกอบ กฏแห่งกรรม
[Main : กลับ หน้ารวมศาสนา]
วันหนึ่ง ขณะอยู่ที่สวนสาธารณะ หญิงคนหนึ่งนั่งลงข้างชายคนหนึ่งบนม้านั่งใกล้สนามเด็กเล่น ลูกชายของฉันอยู่ที่นั่นค่ะ เธอบอกและชี้ไปที่เด็กชายเล็กๆคนหนึ่งในเสื้อกันหนาวสีขาว ที่กำลังไถลลงจากไม้ลื่น
น่ารักน่าชังจริง ๆ ครับ ชายตอบพร้อมกับชี้ไปที่ชิงช้า ลูกชายผมใส่เสื้อสีเขียวครับ แล้วเขาก็ก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือก่อนที่จะตะโกนเรียกลูกชาย ลูกแก้วเราจะไปกันแล้ว แก้วอ้อนพ่อ แค่ห้านาทีครับพ่อ ห้านาทีเอง ชายคนนั้นพยักหน้าให้ลูกเล่นได้ต่อไปอย่างที่ต้องการ ผ่านไปห้านาที พ่อยืนขึ้นและเรียกลูกชายอีกครั้ง ได้เวลาไปรึยังลูก แก้วอ้อนอีกครั้ง ห้านาทีครับ อีกห้านาที ชายคนเดิมยิ้มรับและพูดว่า ตกลง หญิงคนนั้นพูดทันที เหลือเชื่อจริงๆ คุณช่างเป็นพ่อที่อดทนจัง
ชายคนนั้นพูดว่า กาย ลูกชายคนโตของผมถูกรถชนตายเมื่อปีที่แล้ว เหตุจากคนเมาแล้วขับ ผมไม่เคยใช้เวลากับกายมากนัก ตอนนี้ผมยินดีแลกกับทุกอย่างถ้าจะได้ใช้เวลาสักห้านาทีกับลูก ผมสาบานว่าผมจะไม่ทำผิดซ้ำสองอีก ลูกผมคิดว่าจะมีเวลาได้เล่นชิงช้าเพิ่มอีกห้านาที แต่ที่จริงแล้ว ผมต่างหากที่มีเวลาดูแกเล่นเพิ่มอีกห้านาที
ที่มา : prajan.com 999999999999999999999999999999999999999999999999999999999999999999999999
ได้รวบรวม นิทานธรรมะ การ์ตูน กฎแห่งกรรม มาไว้เพื่อให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน จะทะยอยนำมาลงไว้เรื่อย ๆ ตามโอกาสนะครับ
นิทานธรรมะ
หมอนวิเศษ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในประเทศจีนมีชายชาวนาคนหนึ่ง ชื่อ "อาเฉิน" กำลังนั่งกินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม ก็ได้มีพ่อค้าเร่คนหนึ่ง เข้ามาทักทายเขาว่า "พ่อหนุ่ม ทำมาหากินเป็นอย่างไรบ้าง"
"ไม่ไหวเลยครับ ชีวิตของข้าอับจนสิ้นดี" อาเฉินตอบอย่างเศร้าสร้อย "เจ้าไม่พอใจในวิถีชีวิตของตนเองดอกหรือ?" พ่อเฒ่าสอบถาม "จะให้ข้าพอใจได้อย่างไรในเมื่อข้าต้องทำงานหนักทั้งวัน ถ้าข้าได้เป็นเศรษฐี ข้าจึงจะพอใจ" อาเฉินกล่าว พ่อเฒ่านิ่งงันไม่พูดอะไร
ก่อนจากกันพ่อเฒ่าได้ยื่นห่อผ้าในมือให้อาเฉิน และพูดขึ้นว่า "พ่อหนุ่ม ข้าต้องเดินทางไปหมู่บ้านข้างเคียง พรุ่งนี้เช้าจึงจะกลับ เจ้าจะเก็บรักษาหมอนใบนี้ไว้ให้ข้าได้หรือไม่? หมอนใบนี้หนุนนอนสบายดี เจ้าจะใช้หมอนใบนี้หนุนหัวในคืนนี้ก็ได้" อาเฉินรับคำจะเก็บรักษาหมอนไว้ให้ ทั้งสองจึงแยกทางกัน
ในคืนนั้น อาเฉินใช้หมอนของพ่อเฒ่าหนุนนอน
เมื่ออาเฉินตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีแท่งเงิน แท่งทองเต็มไปหมด "รวยแล้ว ในที่สุดเราก็รวยสมใจนึก" อาเฉินตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ "ข้าจะสร้างคฤหาสน์หลังงาม ข้าจะซื้อทุกอย่างที่ข้าต้องการ"
อีกไม่นานคฤหาสน์ของเขาก็สร้างเสร็จ ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา อาเฉินเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว เขาไม่ปราถนาจะลดตัวลงไปเสวนากับคนจน ดังนั้นเขาจึงปิดคฤหาสน์อาศัยอยู่ในนั้นตามลำพัง อยู่มาไม่นานอาเฉินก็เบื่อหน่าย "ขาดอะไรไปสักอย่าง? อ้อรู้แล้ว สวนของข้าว่างเปล่านั่นเอง" เขาจึงสั่งให้คนงานหาดอกไม้หลากสีสัน งดงามที่สุดเท่าที่จะหาได้ และไม้ใหญ่มาปลูกไว้ในสวน และขุดสระเลี้ยงปลา
แต่แล้ว อาเฉินยังรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว "จะต้องขาดอะไรไปสักอย่าง อ้อรู้แล้ว บ้านหลังนี้เงียบเกินไป" อาเฉินจึงว่าจ้างนักดนตรี นักรำมาขับกล่อมให้ความบันเทิง แต่แล้วต่อมาไม่นาน อาเฉินก็รู้สึกเบื่อกับการร้องรำ เขาจึง ไล่นักดนตรี นักรำออกจากบ้านไป อาเฉินรู้สึกเหงาหงอยอ้างว้าง "อ้า...สิ่งที่ข้าต้องการคือ ภรรยาสักคน...ใช่แล้ว"
อาเฉินส่งคนรับใช้ไปป่าวประกาศกลางหมู่บ้านว่า หญิงใดที่ยังเป็นโสด ขอให้มาชุมนุมที่หน้าคฤหาสน์ของเขาในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อให้เขาเลือกเป็นภรรยา แต่ ไม่มีหญิงใดโผล่หน้ามาให้เห็นในเช้าวันถัดมา อาเฉินรู้สึกแค้นเคืองฉุนเฉียว "เฮอะ ชาวนาโง่เง่า ข้าไม่เห็นจะต้องการเลย อยู่คนเดียวก็ได้"
อยู่มาวันหนึ่ง อาเฉินตัดสินใจลงจากเขา อาเฉินนั่งเกี้ยวงดงาม มีคนรับใช้สี่คนหาม มาดโอ่อ่าภูมิฐานยิ่งนัก แต่อาเฉินก็ต้องประหาดใจ เมื่อผู้คนในหมู่บ้านไม่มีใครให้ความสนใจเขาเลย เมื่อเขาผ่านโรงเตี๊ยมเก่า เขาได้ยินเสียงผู้คนทักทายกัน สลับกับเสียงหัวเราะเป็นระยะ เขามองเห็น เพื่อนเก่าซดข้าวต้มร่วมกัน แม้คนเหล่านั้นจะยากไร้ แต่ก็มีความสุขยิ่ง
อาเฉินหวนกลับมายังคฤหาสน์อ้างว้าง นั่งครุ่นคิดอยู่เป็นนาน เขากลายเป็นมหาเศรษฐีแล้ว แต่ก็ไม่มีความสุข ชีวิตแสนสบายแต่อ้างว้าง อาเฉินอยากจะกลับไปเป็นชาวนาสามัญเช่นเดิม แล้วเขาก็เผลอหลับไป
เมื่ออาเฉินลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องเก่าซอมซ่อ
ทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิม อาเฉินเพิ่งรู้ว่าตัวเองฝันไป เขาวิ่งออกจากกระท่อม หัวเราะร่าด้วยความยินดี อาเฉินร้องทักทายชาวนาที่เดินผ่านบ้าน เหมือนกับ เพื่อนรักที่หายหน้าไปนาน และพอถึงตอนสายของวันชายชราเจ้าของหมอน ก็ได้มาหาอาเฉิน "เป็นอย่างไรพ่อหนุ่ม เมื่อคืนหลับฝันดีหรือไม่"
อาเฉินวิ่งกลับเข้าบ้าน หยิบเอาหมอนห่อผ้าให้เรียบร้อย ยื่นคืนให้เจ้าของ "ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่าเป็นอย่างมาก ที่ให้ยืมหมอนวิเศษใบนี้ ข้าเพิ่งได้บทเรียนล้ำค่าของชีวิต...ไม่มีสุขใดใหญ่หลวงเกินไปกว่า ความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่อีกแล้ว"
อาเฉินหยิบจอบขึ้นพาดบ่า เดินผิวปากออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังท้องนา พ่อเฒ่าอมยิ้ม และออกเดินทางต่อไป
999999999999999999999999999999999999999999999999999999999999999999999999
กฏแห่งกรรม
เวรกรรม ของเศรษฐี ในตลาดไม่มีใครเลยสักคนที่ไม่รู้จัก เถ้าแก่ " ตั๋ง " เพราะแกเป็นผู้บุกเบิกตลาดแห่งนี้เป็นคนแรก แกขายทุกอย่างที่จะขายได้ ตั้งแต่ กาแฟ ไข่ลวก บุหรี่ สุรา ไปจนถึง ปะยาง รถจักรยายยนต์ พอมีเงิน เก็บหอมรอมริบก็ซื้อที่ทางไว้ กระทั้งเวลาผ่านไปไม่กี่ปี เถ้าแก่ตั๋ง ก็เป็นเจ้าของตลาดเต็มตัวมีแผงให้เช่าโดยไม่ต้องขายเหมือนก่อนหน้าที่แกก็คือเดินตรวจตลาด เก็บค่าเช่าอย่างชนิดไม่ขาดไม่เกิน
" อั้วไม่ล่ายสร้างตลาด มาให้พวกลื้อติดค่าเช่าน้ะ ให้ลู้ซะล่วย " เป็นคำพูดที่เถ้าแกชอบพูดดัง ๆ เป็นการกึ่งประจานเวลาแผ่งไหนผลัดค่าเช่าแก
ใคร ๆ ก็รู้จักเถ้าแก่ตั๋ง เพราะแกจะวางท่ายิ่งใหญ่ไม่รู้จักใคร หรือถ้าใครเดินเข้าตลาดแล้วไม่ซื้อของแกก็จะเดินไปด่าเขาทำตัวเป็นที่อิดระอาใจกับคนในตลาดนั้น ถ้าย้ายได้ก็ย้ายหนีไป ถ้าย้ายไม่ได้ก็ต้องทนรับสภาพไป
หลายปีผ่านมา เถ้าแก่ตั๋ว ได้ขยายครอบครัวกลายเป็นตระกูลห้าฃพยางค์อันยิ่งใหญ่ขยายกิจการใหญ่โต ประกอบกับตัวเถ้าแก่เริ่มแก่ชราหน้าที่เก็บค่าเช่า และดูแลผลประโยชน์ก็ตกมาถึงลูกหลาน ที่เจริญรอยตามเถ้าแก่ ตั๋ง ขณะเดียวกันเมื่อลูกหลานเติบโต แบ่งแยกครอบครัวกันออกไป เถ้าแก่เคยมีอดีตอันยิ่งใหญ่ ก็เหมือนคนแก่คนหนึ่งภายในบ้าน ไม่ได้รับความสนใจจากลูกหลาน เรียกว่าถูกทอดทิ้งก็ว่าได้
หลังจากมีการแบ่ง มรดก ให้ลูกหลานเป็นที่เรียบร้อย เถ้าแก่ตั๋ว ก็ถูกส่งไป บ้านพักคนชรา โดยลูกหลานปล่อยอย่างไม่ใยดี แม้ตัวแกจะห่วงตลาดเก่าที่สร้างมากับมือ แต่ร่างกายก็ซูบซีดผอมจนหนังหุ้มกระดูกหมดราศีความเป็นเถ้าแก่ ชีวิตต้องนั่งรถเข็นอย่างหมดสภาพ
วันหนึ่งขณะที่ตลาดจอแจด้วยผู้คนไปมา ชายชราคนหนึ่ง สภาพมอมแมมไม่ต่างอะไรจาก ขอทาน เสื้อผ้าขาดวิ่น แขนขาลีบเรียว จนต้องนอนหมอบกับพื้นสกปรก ที่ตลาดแห่งนั้น แล้วเจ้าเด็กน้อย ๒ คนที่มองดูมองชายชราตามประสาเด็กพลางล้วงกระเป๋าหยิบเศษเหรียญสตางค์หย่อนลงกระป๋องแล้วพูดว่า
" ตาออกไปขอทานที่อื่นเถอะเดี๋ยวเตี๋ยมาเห็นจะโดนไล่หรอก เตี๋ยบอกว่าเมื่อตอนก๋งอยู่ ก๋งไม่ชอบให้ขอทานมาอยู่ในตลาด "
เจ้าเด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วโดยไม่รู้หรอกว่า ขอทานผู้นั้นคือ เถ้าแก่ตั๋วหรือก๋งคนที่แกพูดถึง และแกก็ยังห่วงตลาดที่แกสร้างมากับมือ
ที่มา //www.watkoh.com ฟัง ธรรมะออนไลน์ คลิ๊กตรงนี้
[Main : กลับ หน้ารวมศาสนา]
Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2549 |
|
52 comments |
Last Update : 28 กันยายน 2552 9:26:47 น. |
Counter : 68553 Pageviews. |
|
|
|