Home, แจ้งลิงค์เสีย-ติชม-สอบถาม ตรงนี้เท่านั้น, ตั้งเวปเป็นหน้าแรก
วิธีเจริญสมาธิภาวนา หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

[Main : กลับ หน้ารวมศาสนา]

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
พระราชวุฒาจารย์(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วิธีเจริญสมาธิภาวนาตามแนวการสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มีดังต่อไปนี้

1. เริ่มต้นด้วยอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก

ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว หรือรู้ "ตัว" อย่างเดียว

รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ "รู้อยู่เฉยๆ" ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม

เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ

จากนั้นค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีกจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณาและรักษาจิตต่อไป

ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน "พฤติแห่งจิต" โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร

ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการ เจริญจิตครั้งต่อๆ ไป

ในกรณีที่ไม่สามารทำเช่นนี้ได้ ให้ลองนึกคำว่า "พุทโธ" หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต

พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง

ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว

เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้

ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นไปสู่อารมณ์ทันที

เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเอง ก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง

ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ

เจตจำนงนี้ คือ ตัว "ศีล"

การบริกรรม "พุทโธ" เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป

แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้ง ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน

ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่องถึงความชัดเจนและความไม่ขาดสายของพุทโธจะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ

เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่ามีลักษณาการประหนึ่งบุรุษผู้หนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขน พร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่าถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย

เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาและบั่นทอนความศรัทธาของตนเองเลย

เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบและคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึก และ "พฤติแห่งจิต" ที่ฐานนั้นๆ

บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ

2. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาจิตใดๆ ที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือกิเลสปรุงจิต)

ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสามคือ ราคะ โทสะ โมหะ

3. อย่าส่งจิตออกนอก กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไป ก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิต ให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน)

ระวังจิตไม่ให้คิดถึงเรื่องภายนอก สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖

4. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อยๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อยๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ

คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด

5. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่า ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติ สังเกตดูที่จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจ พฤติแห่งจิต ได้อย่างละเอียดละออตามขั้นตอน เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่าเกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแต่งหาก่อหาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้

คำว่า แยกรูปถอด นั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณ นั่นเอง

6. เหตุต้องละ ผลต้องละ เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น จิตก็จะอยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น

เรียกว่า "สมุจเฉทธรรมทั้งปวง"

7. ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด เมื่อเพิกรูปปรมาณูที่เล็กที่สุดเสียได้ กรรมชั่วที่ประทับ บรรจุ บันทึกถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณูนั้นก็หมดโอกาสที่จะให้ผลต่อไปในเบื้องหน้า การเพิ่มหนี้ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง เหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ ก็เป็นสักแต่ว่ามากระทบ ไม่มีผลสืบเนื่องต่อไป หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ชาติแรก ก็เป็นอันได้รับการชดใช้หมดสิ้น หมดเรื่องหมดราวหมดพันธะผูกพันที่จะต้องเกิดมาใช้หนี้กรรมกันอีก เพราะ กรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีกไม่อาจให้ผลต่อไปได้ เรียกว่า "พ้นเหตุเกิด"

8. ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร

เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่าไม่มีธรรมนั่นแหละ มันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)
เมื่อจิตว่างจาก "พฤติ" ต่างๆ แล้ว จิตก็จะถึง ความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซึมซาบอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน

เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไรจะไปรู้สภาวะของอะไร ไม่มีสภาวะของใครจะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร

เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว "จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง" จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า "นิพพาน"

โดยปกติ คำสอนธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้นเป็นแบบ "ปริศนาธรรม" มิใช่เป็นการบรรยายธรรม ฉะนั้นคำสอนของท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน เมื่อผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาย่อมเข้าใจได้เองว่า กิริยาอาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้น มีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตุนั้น หลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า "พฤติของจิต" แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น

คำว่า "ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ทำญาณให้เห็นจิต" เหล่านี้ย่อมมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่ออธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่าย เข้าใจง่ายเท่านั้น หาได้จัดเรียงไปตามลำดับกระแสการเจริญจิตแต่อย่างใดไม่

ท่านผู้มีจิตศรัทธาในทางปฏิบัติ เมื่อเจริญจิตภาวนาตามคำสอนแล้ว ตามธรรมดาการปฏิบัติในแนวนี้ ผู้ปฏิบัติจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป เพราะมีการใส่ใจสังเกตและกำหนดรู้ "พฤติแห่งจิต" อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากเกิดปัญหาในระหว่างการ ปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผิดพลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลังเพราะคำว่า "มรรคปฏิปทา" นั้น จะต้องอยู่ใน "มรรคจิต" เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานาเลย

การเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วยวิสุทธิศีล วิสุทธิมรรค พร้อมทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

บทความธรรมะนี้จากเมลล์ เค้าคัดลอกมาจาก "การเจริญสมาธิด้วยการกำหนดรู้และละอารมณ์" โดย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ส่วนรูปจาก google ครับ

[Main : กลับ หน้ารวมศาสนา]


Create Date : 10 มิถุนายน 2550
Last Update : 28 กันยายน 2552 9:22:54 น. 23 comments
Counter : 3322 Pageviews.

 
แล้วจะนำไปปฎิบัตินะฮะ

ปกติทำ พุทโธ ก่อนนอนประจำเลย ได้ผลดีนะฮะ


โดย: chal2t วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:0:50:25 น.  

 
ขอบคุณที่เอามาฝากกันนะคะ มีประโยชน์มากค่ะ
จะนำไปปฏิบัติตามนะคะ


โดย: the Vicky วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:0:53:29 น.  

 
เอ๋...เพลงต้นตำรับคืออินโนเซนต์หรือเปล่าคะ เพราะเห็นมี 2 เวอร์ชั่นเองน่ะค่ะ

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมค่ะ สายเดี่ยวตัวนี้เรียบร้อยไม่หวาดเจี๋ยวค่ะ แต่ถ้าใส่อยู่ที่เมืองไทยล่ะไม่แน่ค่ะ อิ อิ


โดย: the Vicky วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:1:17:37 น.  

 
จิตสงบ ปัญญาเกิด จิตตะเหลิด จะเกิดปัญหา

ดีจังได้มาอ่านข้อความดีๆ ที่นี่

หลับฝันดีนะคะ


โดย: Malee30 วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:3:44:12 น.  

 
โดย: ต่อตระกูล
I really appreciated for your support and helping me to promote the pocket book.

from OHM in Venice today .


if anythings I can do for you feel free to tell me .


"พฤติแห่งจิต" is the best I will follow the instruction.




โดย: OHM Thai crew. IP: 204.250.12.246 วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:4:04:47 น.  

 
เช้าเข้ามาอ่านอะไรเกี่ยวกับธรรมะ เป็นบุญ อิ่มสุข
ไปตลอด เขาบอกว่าหากเช้าเรารับอะไรดีๆ ไว้ วันนั้นทั้งวันเราจะเป็นสุข ใช่ป่าวคะ


โดย: akojajaa วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:5:49:01 น.  

 
มีสติ
คือการได้รับจากการนั่งเพราะเป็นอะไรที่เห็นได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมที่สุด
นะผมว่า


โดย: Kurt Narris วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:7:38:37 น.  

 
ในยุคนี้เราทุกคนล้วนต้องมีสติ ขอให้คุณๆและผมมีสติปัญญาที่แน่วแน่ เพื่อจะฝ่าฟันปัญหาต่อไปได้ครับ (ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมนะ blog ผมนะครับ)


โดย: veerar วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:12:28:57 น.  

 


มาเยี่ยมครับ


โดย: ปลายเทียน วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:13:45:03 น.  

 


โดย: หม๋องแหม๋ง วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:13:55:54 น.  

 
สาธุครับ

แวะมาเยี่ยมครับผม อยากจะทำให้ได้ แต่มันก็ยาก เดี๋ยวนี้ไม่รู้ทำไม ไม่รู้สึกถึงความสุขเลยครับ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวผมเองเป็นอย่างไรบ้าง


โดย: sak (psak28 ) วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:18:23:34 น.  

 
ดีครับ ผมจะนำไปปฎิบัติบ้าง


โดย: basbas วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:18:56:14 น.  

 


จริงด้วยค่ะ
ผู้ตรัสรู้ จะไม่มาพูดหรอกว่ารู้อะไร

ธรรมะส่วนใหญ่ที่เห็นทุกวันนี้
คือมุ่งไปที่ตัวบุคคลอื่นมากกว่า

แต่ไม่มุ่งมาที่ใจตัวเอง.....

บางทีนานนานได้อ่านอะไรแบบนี้
ก็เป็นการดึงสติ เพื่อเตือนสติเหมือนกันนะคะ
ขอบคุณค่ะ



โดย: มั บ เ มี ย ง (todayd ) วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:19:26:36 น.  

 
อยากลองทำดูมั่ง
รู้สึกตัวเองไม่ค่อยม่สมาธิเลยค่ะพักนี้

ขอบคุณนะคะ ขอเซฟเก็บไว้ก่อน

คุณต่อตระกูลสบายดีมั๊ยคะ


โดย: ปางหวัน วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:21:17:29 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณต่อ
ปกติสวดมนต์ก่อนนอน สวดคาถาชินบัญชรบ้าง
แต่ไม่ทุกวัน
ต่อไปต้องลองทำดูบ้าง ไม่รู้จะได้แค่ไหน อิอิ
คนใจไม่นิ่งน่ะค่ะ บางวันสวดชินบัญชรยังผิดๆ
ต้องหยิบหนังสือมาดู เพราะสมาธิไม่มีน่ะค่ะ
ส่วนมากถ้ารู้ตัวว่าสมธิไม่ดี ก็วันไหน วันนั้นก็ไม่สวด

ขอ add บล๊อกด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ


โดย: แม่หยุมหยิม วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:22:36:23 น.  

 
สาธุค่ะ..

เมื่อหยุดคิด จึงรู้


โดย: ป่ามืด IP: 124.120.52.181 วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:23:55:24 น.  

 
ทำไหมตัวฉันจึงทำไม่ได้สักที
สวดมนต์ทุกคืนก่อนนอนแต่ก็นอนไม่สนิทหลับ ๆ ตื่น ๆ แผ่เมตตาก็แล้ว


โดย: ตะวันยิ้มร่า วันที่: 10 กรกฎาคม 2550 เวลา:12:12:13 น.  

 
เพิ่งเคยเข้ามาในเวบนี้ มีธรรมดีๆน่าเรียน น่าอ่านดีจัง ต้องขอเข้ามาร่วมเรียนและอ่านธรรด้วย .... ผู้เริ่มเรียน


โดย: เรียนธรรม IP: 222.123.81.47 วันที่: 30 กรกฎาคม 2550 เวลา:9:33:09 น.  

 


โดย: lloUJOu IP: 125.25.182.242 วันที่: 2 สิงหาคม 2550 เวลา:16:54:19 น.  

 
นับถือค่ะ


โดย: เฟิร์น IP: 58.9.84.89 วันที่: 3 สิงหาคม 2550 เวลา:20:32:51 น.  

 
สาธุค่ะ

จะลองทำดูค่ะ


โดย: น้อง IP: 58.9.158.74 วันที่: 31 สิงหาคม 2550 เวลา:18:16:43 น.  

 
www.wimutti.net




โดย: แม่อบ วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:10:26:10 น.  

 

มารับสาระทางธรรมค่ะ


โดย: yadapim วันที่: 8 เมษายน 2552 เวลา:19:05:55 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ต่อตระกูล
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 21 คน [?]




Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
10 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ต่อตระกูล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.