ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
18 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
การทำที่เหลือวิสัย

การันทิยชาดก ว่าด้วยการทำที่เหลือวิสัย
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ พระธรรมเสนาบดี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

ได้ยินว่าพระเถระให้ศีลแก่คนทุศีลทั้งหลาย มีพรานเนื้อและคนจับปลาเป็นต้น ที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งท่านได้พบได้เห็นว่า ท่านทั้งหลายจงถือศีล ท่านทั้งหลายจงถือศีล ชนเหล่านั้น มีความเคารพในพระเถระ ไม่อาจขัดขืนถ้อยคำของพระเถระนั้น จึงพากันรับศีล ครั้นรับแล้วก็ไม่รักษา คงกระทำการงานของตน ๆ อยู่อย่างเดิม

พระเถระเรียกสัทธิวิหาริกทั้งหลายของตนมาแล้วกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย คนเหล่านี้รับศีลในสำนักของเรา ครั้นรับแล้วก็ไม่รักษา

สัทธิวิหาริกทั้งหลายกล่าวว่า ท่านขอรับ ท่านให้ศีลโดยความไม่พอใจของชนเหล่านั้น พวกเขาไม่อาจขัดขืนถ้อยคำของท่านจึงรับเอา ตั้งแต่นี้ไป ขอท่านอย่าได้ให้ศีลแก่ชนทั้งหลายอย่างนี้ พระเถระไม่พอใจต่อถ้อยคำของสัทธิวิหาริก

ภิกษุทั้งหลายได้สดับเรื่องราวนั้นแล้วก็สนทนากันขึ้นในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่า พระสารีบุตรให้ศีลแก่คนที่ท่านได้ประสบพบเห็นเท่านั้น พระศาสดา เสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบถึงเรื่องที่สนทนากัน จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระสารีบุตรนี้ก็ให้ศีลแก่คนที่ตนได้ประสบพบเห็น ซึ่งไม่ขอศีลเลย แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว ได้เป็นอันเตวาสิก (ศิษย์) ผู้ใหญ่ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกสิลา ชื่อว่า การันทิยะ ครั้งนั้น อาจารย์นั้นให้ศีลแก่คนที่ได้ประสบพบเห็นมีชาวประมงเป็นต้นผู้ไม่ขอศีลเลยว่า ท่านทั้งหลายจงรับศีล ท่านทั้งหลายจงรับศีล ดังนี้ ชนเหล่านั้นแม้รับเอาแล้วก็ไม่รักษา อาจารย์จึงบอกความนั้นแก่อันเตวาสิกทั้งหลาย อันเตวาสิกทั้งหลายจึงพากันกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านให้ศีลโดยความไม่ชอบใจของชนเหล่านั้น เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงพากันทำลายเสีย นับแต่แต่บัดนี้ไป ท่านพึงให้เฉพาะแก่คนที่ขอเท่านั้น อย่าให้แก่คนที่ไม่ขอ

อาจารย์นั้นได้เป็น ผู้เดือดร้อนใจ แต่แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ยังคงให้ศีลแก่พวกคนที่ตนได้ประสบพบเห็นอยู่นั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง มนุษย์ทั้งหลาย มาจากบ้านแห่งหนึ่ง เชิญอาจารย์ไปเพื่อการสวดของพราหมณ์ อาจารย์นั้นเรียกการันทิยมาณพมาแล้วกล่าวว่า ดูก่อนพ่อ ฉันจะไม่ไป เธอจงพามาณพ ๕๐๐ นี้ไปในที่สวดนั้น รับการสวดแล้ว จงนำเอาปัจจัยส่วนที่เขาให้เรามา ดังนี้ แล้วจึงส่งไป การันทิยมาณพนั้นก็เดินทางไปตามที่อาจารย์สั่ง ครั้นเมื่อเสร็จกิจแล้วก็กลับมา ในระหว่างทาง เห็นซอกเขาแห่งหนึ่งจึงคิดว่า อาจารย์ของพวกเราให้ศีลแก่คนที่ได้ประสบพบเห็น ซึ่งเขาเหล่านั้นไม่ได้ขอศีลเลย นับแต่ แต่บัดนี้ไป เราจะทำอาจารย์นั้นได้ให้ศีลเฉพาะแก่พวกคนที่ขอเท่านั้น

เมื่อพวกมาณพนั้นกำลังนั่งสบายอยู่ เขาจึงลุกขึ้นไปยกศิลาก้อนใหญ่ โยนลงไปในซอกเขา โยนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่นแหละ ลำดับนั้น มาณพเหล่านั้นจึงลุกขึ้นพูดกะการันทิยมาณพนั้นว่า อาจารย์ ท่านทำอะไร การันทิยมาณพนั้นไม่กล่าวคำอะไร ๆ มาณพเหล่านั้นจึงรีบไปบอกอาจารย์ อาจารย์นั้นเมื่อจะถามการันทิยมาณพถึงเรื่องนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :

[๗๒๗] ท่านผู้เดียวรีบร้อน ยกเอาก้อนหินใหญ่กลิ้งลงไปในซอกภูเขาในป่า
ดูกรการันทิยะ จะเป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านด้วยการทิ้งก้อนหินลงใน
ซอกเขานี้เล่าหนอ?

การันทิยมาณพนั้นได้ฟังคำของอาจารย์นั้นแล้ว ประสงค์จะท้วงอาจารย์ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :

[๗๒๘] ข้าพเจ้าเกลี่ยหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ลง จักกระทำแผ่นดินใหญ่นี้ซึ่งมี
มหาสมุทรสี่เป็นขอบเขต ให้ราบเรียบเพียงดังฝ่ามือ เพราะฉะนั้น
ข้าพเจ้าจึงได้ทิ้งหินลงในซอกเขา.

พราหมณ์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :

[๗๒๙] ดูกรการันทิยะ เราสำคัญว่า มนุษย์คนเดียว ย่อมไม่สามารถจะทำ
แผ่นดินให้ราบเรียบดังฝ่ามือได้ ท่านพยายามจะทำซอกเขานี้ให้เต็มขึ้น
ท่านก็จักละชีวโลกนี้ไปเสียเปล่าเป็นแน่.

มาณพได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :

[๗๓๐] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ หากว่า มนุษย์คนเดียวไม่สามารถจะทำแผ่นดินใหญ่นี้ให้ราบเรียบได้ ฉันใด ท่านก็จักนำมนุษย์เหล่านี้ผู้มีทิฏฐิต่างๆ กันมา
ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.

อาจารย์ได้ฟังดังนั้นคิดว่า การันทิยะพูดถูกต้อง บัดนี้ เราจักไม่กระทำอย่างนั้น ครั้นรู้ว่าตนผิดแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า :

[๗๓๑] ดูกรการันทิยะ ท่านได้บอกความจริงโดยย่อแก่เรา ข้อนั้น เป็น
อย่างนี้ แผ่นดินนี้มนุษย์ไม่สามารถจะทำให้ราบเรียบได้ ฉันใด เราก็ไม่
อาจจะทำให้มนุษย์ทั้งหลายมาอยู่ในอำนาจของเราได้ ฉันนั้น.

อาจารย์ได้ทำความชมเชยมาณพอย่างนี้ ฝ่ายมาณพนั้นท้วงอาจารย์นั้นแล้ว ตนเองก็นำท่านไปยังเรือน

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตร ส่วน การันทิยบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
https://abhinop.blogspot.com
https://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.




Create Date : 18 สิงหาคม 2554
Last Update : 15 มีนาคม 2564 13:52:20 น. 0 comments
Counter : 681 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.