โยคะเป็นไปเพื่อดับการปรุงแต่งของจิต
Group Blog
 
All blogs
 

เ รื่ อ ง เ ล่ า มั น ๆ เ พื่ อ สุ ข ภ า พ ที่ ดี ข อ ง ช า ว โ ย ค ะ ตอนที่ 3

เครดิตภาพจาก ifood.tv

สวัสดีค่ะ  กลับมาด้วย เรื่องมันๆสุดสัปดาห์กับเนยใสภาค 3 (ตอน...ขบวนการกู้เนยใส)

ตั้งชื่อซะเก๋เลย ^^ ที่แท้มันคือกระบวนการทำเนยใสหรือกีนั่นเอง

ในภาคแรกหมวยได้นำเสนอวิธีทำกีในปัจจุบันที่เราทำได้เองที่บ้าน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณภาพของกีที่เราทำก็จะต่างจากกีโฮมเมดที่ชาวอินเดียทำกันค่ะ

หมวยเองเคยได้เห็นวิธีการทำกีที่อาศรมในอินเดียซึ่งก็เป็นหนึ่งในหลายๆวิธีที่ทำได้ซึ่งก็ได้สอบถามกับพี่เละ ธีรเดช ซึ่งเป็นแพทย์อายุรเวทอินเดียเช่นกัน ก็จะได้วิธีที่แต่งต่างไปค่ะ แต่ทั้งนี้ก็ยืนยันได้ทั้งหมวยและพี่เละว่า...ถ้าจะทำแบบดั้งเดิมในประเทศอื่นๆที่ไม่ใช่อินเดียนั้นก็ค่อนข้างยากอยู่ค่ะ แต่ก็....รู้ไว้ใช่ว่าใช่มั๊ยคะ เพื่อให้หลักปฏิบัติโบราณได้ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นต่อไปค่ะ



วิธีในแบบดั้งเดิมในการทำกีก็คือ
เราจะเอานมที่รีดได้เสร็จใหม่ๆมาต้มค่ะ โดยถ้าเป็นไปได้ให้ต้มกับหม้อสองชั้นเพื่อไม่ให้เกิดการไหม้ ต้มไปให้ถึงจุดเดือดแล้วปล่อยให้เดือดอีก 10 นาที(เช่นเดียวกับวิธีการทำโยเกิร์ต) จากนั้นปล่อยให้เย็นลงมาที่ประมาณ 40-45 องศาแล้วใส่หัวเชื้อโยเกิร์ตลงไป จากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ก่อนที่นมนั้นจะจับตัวเป็นก้อนและให้รสเปรี้ยว(ซึ่งถ้าเป็นก้อนแล้วก็จะกลายเป็นโยเกิร์ตไปแล้วค่ะ) ก็จะนำมาผสมน้ำสะอาดอีก 4 ส่วนแล้วปั่นด้วยหัวปั่นที่ใช้มือปั่นไปปั่นมาจนกระทั่งมีก้อนไขมันเหลืองๆค่อยลอยขึ้นมา เราก็คอยช้อนก้อนเหล่านั้นเก็บไว้ในโหล เมื่อรวบรวมได้มากพอก็จะนำไปตั้งไฟและทำเหมือนที่ได้เขียนไว้ในตอนที่ 1 ค่ะ ส่วนน้ำที่เหลือจากการปั่นก็จะได้เป็น Butter Milk นั่นเองค่ะ

เป็นไงคะขั้นตอนแบบดั้งเดิม ซึ่งจะเป็นได้ว่าค่อนข้างนานกว่าจะได้กีมาใช้สักครั้งนึง เพราะเราคงไม่สามารถดื่ม Butter Milk ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการเก็บไขมันในนมในปริมาณมากๆทุกวันได้หรอกใช่มั๊ยคะ แต่ในอินเดียค่อนข้างจะเป็นไปได้ง่ายกว่า ด้วยความเป็นชุมชนที่อัดแน่นหรือยังเป็นครอบครัวใหญ่ ทำให้มีการใช้นมกันเยอะค่ะ

อีกวิธีนึงที่น่าจะดูอิ่มน้อยกว่าก็คือวิธีที่หมวยเห็นในอาศรมค่ะ
จริงๆหมวยก็ไม่เคยสนใจในวิธรการทำหรอกนะคะแต่ได้เรียนรู้โดยบังเอิญค่ะ เพราะในทุกๆค่ำคืนจะมีการรีดนมวัวมาต้มเพื่อทำชาให้นักเรียนทานในตอนเช้า และหมวยมักจะมาขอดื่มนมก่อนนอนเกือบทุกวัน(ซึ่งคนที่จะดื่มได้จะเป็นอาสาสมัครเท่านั้น นักเรียนห้ามดื่มค่ะ) และหมวยเป็นคนที่ชอบครีมฟองที่มันลอยอยู่ด้านบนมาก เลยช้อนมาทานทุกครั้งที่ไปถึงหม้อนมเป็นคนแรก(ซึ่งพยายามทุกคืนเลยค่ะ ^^) จนกระทั่งมีเสียงบ่นจากแม่ครัวเรื่องครีมฟองที่หายไปทุกคืน หมวยเลยสงสัยว่า...แค่ครีมฟอง ไม่เห็นน่าจะต้องหวงเลย ก็เลยสอบถามและได้ความว่า คนที่ทานนมตอนค่ำมักจะช้อนเอาครีมพวกนั้นเก็บไว้ใส่ตู้เย็น เก็บไปเรื่อยๆทุกคืนจนได้ปริมาณที่มากพอก็จะเอาไปปั่นด้วยตัวปั่นมือจนได้ไขสีเหลืองๆก็จะช้อนเก็บไว้อีก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆแล้วก็เอามาตั้งไฟเช่นเดียวกับขั้นตอนด้านบนหรือในตอนที่ 1 เลยคะ ส่วนกากที่เหลือก็เอาไปทำบัตเตอร์มิลค์ได้เหมือนกันค่ะ

เป็นไงบ้างคะวิธีแบบดั้งเดิม แต่อย่าคิดนะคะว่าหมวยจะเลิกทานฟองนมพวกนั้น เพียงแต่เว้นไปบ้างค่ะ เหลือสักสัปดาห์ละครั้ง ^o^

ทั้งนี้ทั้งนั้น...วิธีแรกที่ใส่โยเกิร์ตลงไปนั้นจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดและได้กีที่มีคุณภาพมากที่สุดค่ะ

ส่วนวิธีในปัจจุบันนั้น โรงงานจะนำนมที่รีดได้มาเข้าเครื่องปั่นในขณะที่มันเย็นประมาณ 60 องศาฟาเรนไฮด์ เครื่องจะเหวี่ยงเอาโมเลกุลหนักและใหญ่ของไขมันไปติดรวมเป็นก้อนและแยกตัวออกจากน้ำ น้ำที่ได้จะเป็นหางนมซึ่งเป็นโลกุลเล็กที่มีหลุดรอกจากการรวมตัวของไขมัน หางนมนี้จะมีคุณค่าสูงมาก ส่วนก้อนไขมันที่ได้ก็จะนำมาล้างด้วยน้ำเย็นอีกหลายๆรอบจนกว่าน้ำที่ได้จะใส ก็จะเอาไปกดใส่พิมพ์เป็นเนยก้อนค่ะ ซึ่งถ้าใส่เกลือก็จะช่วยเพิ่มรสชาติและรักษาคุณภาพของเนยค่ะ แล้วเราจึงเอาเนยก้อนที่ว่าไปตั้งไฟตามขั้นตอนในตอนที่ 1 อีกครั้งจึงจะได้เนยใสค่ะ ส่วนถ้าจะทำเป็นชีสก็จะเอาก้อนเนยสดนี้ไปหมักเชื้อรา หรือแบคทีเรีย ก็จะได้ชีสที่แตกต่างกันออกไปค่ะ

ซึ่งจากความเห็นของหมออายุรเวทก็บอกว่าการทำกีจากเนยแบบตะวันตกจะให้คุณภาพที่ด้อยกว่า เพราะโมเลกุลเล็กๆที่มีประโยชน์ถูกแยกออกไปกับน้ำ แต่การทำแบบดั้งเดิมจะยังมีโมเลกุลเล็กๆเหล่านั้นซึ่งช่วยให้ไฟการย่อยอาหารของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น และนอกจากนี้คุณภาพของน้ำนมที่ได้จากวัวที่เลี้ยงตามธรรมชาติกับวัวที่เลี้ยงเป็นอุตสาหกรรมก็ต่างกัน ทั้งอาหาร สารเคมีและยาปฏิชีวะนะที่ใช้ในฟาร์มที่มากมายขึ้นทุกวัน ทำให้เราแทบจะหาเนยใสคุณภาพดีๆไม่ได้อีกแล้วนอกจากในครัวเรือนของชาวอินเดียเท่านั้น

เป็นไงคะเรื่องของมันๆสุดสัปดาห์ หวังว่าคงไม่ทำให้ใครน้ำหนักขึ้นซะก่อนนะคะ ^^

หริโอมตัสสัส
-/|-




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2555    
Last Update : 23 ธันวาคม 2555 20:04:24 น.
Counter : 1169 Pageviews.  

เ รื่ อ ง เ ล่ า มั น ๆ เ พื่ อ สุ ข ภ า พ ที่ ดี ข อ ง ช า ว โ ย ค ะ ตอนที่ 2

ภาคต่อเรื่องมันๆ เรื่องมันๆยามเช้า 555

ได้อ่านประโยชน์อันมากมายของกีไปแล้ว อยากจะเสริมอีกนิดค่ะ กีมีฤทธิ์ทำให้ร่างกายเย็นลงค่ะ ต่างจากน้ำมันอื่นๆที่ทำให้ร่างกายร้อนขึ้น สามารถใช้รักษาและสมานบาดแผลภายนอกหรือในกระเพาะอาหารได้ และถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่ายก็ให้ทานกีหนึ่งหรือสองช้อนชาในตอนเช้าและตามด้วยน้ำอุ่นจัดทันทีจะช่วยกระตุ่นการทำงานของลำไส้ แต่ถ้ามีปัญหาไขมันเกินหรือน้ำหนักเกินคุณก็ต้องระวังให้มากหน่อยนะคะ

ทั้งนี้เรื่องข้างต้นยังไม่ใช่ประเด็นของวันนี้ค่ะ วันนี้เราจะมาพูดถึงชนิดของกีค่ะ

เนยใสหรือกีที่มีขายในท้องตลาดจะมีอยู่สองชนิดคือ
1. ทำจากนมวัว
2. ทำจากนมควาย


ปัจจุบันเนยใสจากนมควายได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากความนั้นให้นมมากกว่าวัว มันจึงหาได้ง่าย แต่คนอินเดียที่มีฐานะดีหน่อยก็จะใช้เนยใสจากวัว เพราะปัจจัยความแตกต่างหลายๆข้อ
1. วัวเป็นสัตว์ที่มีร่างกายอุดมด้วยไขมัน ในขณะที่ร่างกายของความจะเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ดังนั้นนมที่ออกมาจึงไม่มีไขมันดีๆที่เราต้องการ
2. เนยใสจากวัวจะอยู่ในรุปของเหลวที่อุณหภูมิร่างกาย ในขณะที่เนยใสจากความจะแข็งกว่าเล็กน้อย
3. ควายจะทานอาหารทุกอย่างแม้ว่าอาหารนั้นเกือบจะเน่าเสีย แต่วัวจะหันหน้าหนีกลิ่นเน่าเหม็นเหล่านั้นและไม่ทานของค้างเก่า ทำให้กลิ่นควายนั้นรุนแรงกว่าวัว
4. ธรรมชาติของควายมีความก้าวร้าวและดื้อดึงทำให้เนยใสที่ออกมามีความหนัก ทึบ เชื่องช้าเป็นตมัส แต่ธรรมชาติของวัวนั้นรักความสงบและอ่อนโยนทำให้เนยใสที่ออกมามีความเป็นสัตวิก เบา สงบและบริสุทธิ์

เราสามารถสังเกตุความแตกต่างระหว่างเนยใสจากวัวและเนยใสจากควายได้โดย เนยใสจากควายจะเป็นสีขาว ขณะที่เนยใสจากวัวเป็นสีเหลือง

นอกจากนี้การใช้เนยใสจากวัวจุดตะเกียงหรือโคมไฟในวัด แสงที่ได้จะสวยงามและสดใสกว่าแสงอื่นๆ และแสงไฟจากการเผาไหม้ของเนยใสยังช่วยปัดเป่าสิ่งที่ชั่วร้ายออกไปอีกด้วย

น่าทึ่งใช้มั๊ยคะกับภูมิปัญญาแบบดั้งเดิมของโลกเรา ยังมีเรื่องราวดีๆเกี่ยวกับเนยใสอีก แต่คงต้องครั้งหน้าแล้วละค่ะ ^^

หริโอมตัสสัส
-/|-




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2555    
Last Update : 21 ธันวาคม 2555 10:17:39 น.
Counter : 760 Pageviews.  

เ รื่ อ ง เ ล่ า มั น ๆ เ พื่ อ สุ ข ภ า พ ที่ ดี ข อ ง ช า ว โ ย ค ะ ตอนที่ 1

มาแล้วค่ะเรื่องมันๆหลังจากหายหน้ากันไปนาน
Ghee ^^ กีหรือเนยใสค่ะ
หลายคนพอพูดถึงกีหรือเนยใสก็คงร้องยี้เพราะเห็นคำว่าเนยก็โยงเข้าความอ้วนทันที >_<
กีมีสิ่งดีๆซ่อนอยู่มากมายค่ะ เริ่มแรกที่รู้จักกีก็ตอนหัดล้างจมูกครั้งแรกที่อินเดีย คืนก่อนที่จะล้างจมูกอาจารย์ก็จะหยดกีในจมูกของทุกคนและให้นอนหงายให้กีไหลลงไปให้ทั่วจมูกค่ะ คืนนั้นดิฉันนอนฝันเห็นคุ๊กกี้ทั้งคืน ^^

กีเป็นเนยบริสุทธิ์ที่เป็นไขมันอิ่มตัวเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากความเป็นไขมันอิ่มตัวมันจึงสามารถวางไว้ในอุณหภูมิห้องปกติได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์โดยไม่เหม็นหืน ชาวอินเดียเชื่อว่าเมื่อนำกีถวายสิ่งศักด์สิทธิ์แล้วทิ้งไว้ยิ่งนานเท่าไหร่ น้ำมันเนยนั้นจะยิ่งบริสุทธิ์

แม้ว่ากีจะเป็นไขมันอิ่มตัวแต่ก็จะมีความพิเศษคือมีจุดเดือดสูง ไม่เป็นควันง่าย และมีสายโซ่ไขมันสั้น(ไขมันอิ่มตัวโดยส่วนใหญ่สายโซ่โมเลกุลจะยาว) ทำให้สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและย่อยง่ายอีกด้วย

นอกจากนี้น้ำมันเนยหรือกีจะต่างจากเนยธรรมดาตรงที่...กีจะกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยและน้ำดีเพื่อช่วยในการย่อยไขมันและอาหาร ในขณะที่เนยหรือน้ำมันทั่วไปจะขัดขวางการย่อยอาการและหนักกระเพาะ นอกจากนี้กียังช่วยบำรุงสมองและระบบประสาทด้วย

แม้ว่าในบ้านเราจะเริ่มเห็นกีวางขายมาขึ้นแต่ก็ยังมีราคาที่สูงเพราะเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ เราสามารถทำกีไว้ใช้เอง(แม้คุณภาพจะไม่เท่ากับที่ซื้อมาก็เถอะ)ได้โดย
1.นำเนยจืดมาหั่นเป็นก้อนเล็ก แล้วใส่ลงในหม้อ
2.ตั้งไฟอ่อนๆให้เนยละลายแล้วใช้ไฟอ่อนๆไปเรื่อยๆประมาณ30-40 นาที
3.เมื่อเห็นฟองอากาศลอยอยู่ด้านบนเยอะขึ้นก็ให้คอยช้อนฟองออก จนกระทั่งฟองหมดและเป็นน้ำมันเนยใส จะเห็นเป็นคราบจากโปรตีนนมอยู่ด้านล่างกะทะ
4.ทิ้งไว้ให้พอเย็นลงแล้วกรองเนยใสด้วยกระดาษกรองกาแฟเก็บไว้ในขวด


สามารถเก็บไว้นอกตู้เย็นได้นานหลายสัปดาห์ค่ะ

นอกจากใช้กีทำอาหารแล้ว คนอินเดียยังใช้กีทำโลชั่นบำรุงผิว ใช้กีจุดตะเกียง ใช้กีรักษาโรค ฯลฯ จนเรียกว่า...กีนั้นเป็นสุดยอดอาหารทิพย์ของโลกเลยค่ะ และเนยใสที่ถูกเก็บไว้เป็นเวลาถึง100ปีจะมีราคาสูงลิบลิ่วและเอาไว้ใช้ทำยารักษาโรคชั้นเยี่ยม

เป็นไงคะ เรื่องมันๆอย่างนี้ก็มีประโยชน์นะคะ
-/|- หริโอมตัสสัส




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2555    
Last Update : 21 ธันวาคม 2555 10:15:09 น.
Counter : 882 Pageviews.  

ชาใส่เครื่องเทศ... เครื่องดื่มอันโปรดปรานของฉันกับคุณค่าของเครื่องเทศ

24 มีนาคม 2552

นมัสเตค่ะ
กลับมานี่ไม่ค่อยขยันเลยแฮะเรา วันนี้เลยเอาของชอบมาโพสเล่นๆดีกว่า 555 นั่นคือเรื่องของ ชา ค่ะ ตอนนี้..เวลาที่ฉันอยู่บ้าน ทั้งเช้าและบ่ายก็จะต้มชานมใส่เครื่องเทศดื่มเป็นประจำค่ะ อย่างน้อยก็วันละถ้วย เฮ้อ... เวลาดื่มแล้วจะมีความสุขมากๆ วันไหนถ้าไม่ได้ดื่มชาหรือกาแฟก็จะรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน และก็มักจะโดนครูหรือเพื่อนๆเหน็บแนมว่า ต้องฝึกตัดการติดความสุขจากรสชาตินะ(ปรัตยาหาระ) ทำเอาเราหน้าแตกเล็กน้อย ในฐานะที่เป็นครูสอนโยคะแต่ดันติดรสชาติซะได้

เรามาเข้าเรื่องดีกว่าค่ะ

จาย (चाय ) เป็นคำในภาษาฮินดี โดยทั่วๆไปจะแปลว่าชาค่ะ แต่ถ้าเราพูดคำนี้กับชาวต่างชาติที่ไม่ใช่คนอินเดียนะคะ จะเป็นอันที่รู้กันว่าชาถ้วยนั้นต้องใส่เครื่องเทศด้วยค่ะ แต่ถ้าในอินเดีย...บางร้านที่ใหญ่ๆหน่อย ฉันจะต้องเน้นไปว่า มาซาล่าจาย ไม่งั้นก็ได้ชานมธรรมดาแน่นอน

ในโลกตะวันตกนั้นกาแฟเป็นที่นิยมมากเท่าไหร่ ในอินเดียนั้นก็เรียกว่าร้านจายหรือแผงขายชานั้นมีทุกหัวถนนเช่นกัน แต่ราคาถูกกว่ากันเยอะ ราคาชานมแก้วเล็กๆนั้น...ข้างถนนขายไม่เกินแก้วละ6รูปี แต่ตามร้านภัตตาคารอาจจะมีราคาถ้วยละ15-25รูปีเช่นกัน แต่....ก็ถือว่ายังถูกนะ ฉันไม่อยากจะบ่นเลย วันก่อนเผลอไปเข้าร้านกาแฟสัญชาติไทยร้านหนึ่งที่เมืองทองธานี เจอราคาโกโก้ปั่นแก้วเล็กราคา100 บาทเข้าไป ทำเอาเดินออกแทบไม่ทันแน่ะ แม้ว่าฉันจะนิยมทานชา-กาแฟสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเกินแก้วละ60บาท(แบบปั่น) ก็เป็นอันว่าบอกลากันไปเลย ทานกาแฟยกล้อข้างถนนก็ได้ ไม่ว่ากัน หรือไม่ก็ทานที่บ้าน เฮฮาสบายใจกว่ากันเยอะ

การชงจายนั้นมักจะต้มใบชาในน้ำเดือดมากกว่าที่จะใช้น้ำร้อนชงธรรมดาแบบที่เราปฏิบัติกัน เพราะว่าจะทำให้ได้คาเฟอีนเทียบเท่ากับการต้มกาแฟเช่นกัน

จายในอินเดียนั้นมักจะใช่ใบชาอัสสัมกัน เพราะถือว่าเป็นสถานที่ต้นกำเนิดในการปลูกชาของอินเดีย และขอบอกว่าชาอัสสัมนั้นหอมและรสชาติดีอย่าบอกใครเลยทีเดียว ฉันเห็นราคาใบชาอัสสัมในห้างของเมืองไทยแล้วก็แทบสลบตรงนั้นเลย หนนี้ฉันจึงไม่พลาดที่จะขนใบชาอัสสัมมาจากอินเดียแบบที่เรียกได้ว่า... มีพอดื่มไปทั้งปีเลยทีเดียว

ใบชาและการชงชานั้นยังเป็นเรื่องเล็ก เพราะหลายๆคนคงสงสัยว่าแล้วเครื่องเทศที่ใส่ในชานั้นมันมีอะไรดีกันแน่

สมุนไพรหรือเครื่องเทศในจายหรือที่เราเรียกว่า มาซาล่าจายนั้น โดยส่วนใหญ่มักจะให้รสเผ็ดร้อน มีฤทธิ์ขับลม จุกเสียด แน่นท้อง ช่วยย่อยอาหาร และผ่อนคลายกล้ามเนื้อช่องท้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นขิง กระวาน ซินนามอน พริกไทยดำ กานพลู ลูกจันทร์เทศ และยี่หร่า

น่าแปลกใช่มั๊ยล่ะ... เราอาจจะนึกสงสัยว่าประเทศอินเดียนั้นก็ร้อนจะแย่อยู่แล้ว ยังทานอะไรที่ทั้งร้อนและยังให้รสชาติเผ็ดร้อนอีกเนี่ย

สมุนไพรเหล่านี้ก็น่ามหัศจรรย์ แม้ว่าเราดื่มไปแล้วอาจจะรู้สึกร้อนวูบขึ้นมา แต่หลังจากนั้นร่างกายเราก็จะเย็นลง เราจะรู้สึกเย็นลง ไม่เหมือนกับการดื่มน้ำเย็นหรือน้ำปั่น ที่มักจะทำให้เรารู้สึกว่าอากาศรอบตัวเรากลับร้อนขึ้นเรื่อยๆ(ถ้าเราไม่ได้เอามันไปดื่มในห้องเย็นนะ อิอิ) นี่จึงเป็นเหตุหนึ่งที่คนอินเดียชอบชาใส่เครื่องเทศ และแม้กระทั่งนมก็มีฤทธิ์เย็นเช่นกัน

แต่ข้อที่ควรระมัดระวังก็มีเช่นกันนั่นคือ ไม่ควรดื่มตอนที่ท้องว่างมากๆ เพราะสมุนไพรหลายตัวก็จะเพิ่มการหลั่งของน้ำดี เพื่อช่วยในการย่อยอาหารนั่นเอง อาจจะทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารบ้างในคนที่มีปัญหาโรคกระเพาะอยู่แล้ว ซึ่งก็เช่นเดียวกับกาแฟที่จะเพิ่มน้ำย่อยในกระเพาะเช่นกันค่ะ

เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะใส่สมุนไพรชนิดใดมากน้อยตามแต่ชอบก็ได้ จากนั้นก็ไม่ยากเลย

ฉันก็เพียงแค่ต้มใบชากับน้ำให้เดือด ...น้ำสัก200ซีซี.กับชา1ช้อนชาครึ่ง(ตามชอบ) และใส่เครื่องเทศรวมลงไปประมาณ1/2 ช้อนชาหรือ3/4 (อันนี้ก็ตามชอบเช่นกัน)


พอเดือดจนได้น้ำชาสีเข้มแล้ว เราก็เติมนมลงไปต้มให้เดือดอีกที ปริมาณนมนั้นอาจจะเติมในอัตราส่วน1/2 หรือ1/4ของชาหนึ่งถ้วยที่เราต้องการนั่นก็หมายถึงน้ำเท่ากับนมนั่นเองละค่ะ จากนั้นก็กรองเอากากออกเท่านั้นเองค่ะ


ในอินเดียนั้นนมก็ค่อนข้างจะถูกเพราะเขาจะผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากว่านมเป็นวัตถุดิบเริ่มต้นของอาหารที่สำคัญอย่างหนึ่งในอินเดีย... นั่นก็คือ กี หรือเนยอินเดียนั่นเอง ซึ่งกว่าจะได้เป็นกีออกมา100 กรัม เราก็ต้องใช้นมในปริมาณที่เยอะพอดู

เป็นไงค่ะ ว่างๆลองทำดูสิคะ คุณอาจจะหันมาติดชาแทนแบบฉันก็ได้นะ

Hari Om




 

Create Date : 24 มีนาคม 2552    
Last Update : 24 มีนาคม 2552 21:14:07 น.
Counter : 1382 Pageviews.  


หมวยเกี๊ยะA2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




สาวน้อย(อิอิ)ธรรมดา ที่มีพี่ๅน้องแสนฉลาด พี่สาวคนโตจบดอกเตอร์ทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร พี่ชายคนโตจบศิลปะแต่ได้ผันตัวเองมาทำงานภาพยนตร์จนเป็นผู้กำกับ พี่ชายคนเล็กก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารที่คนเขาแย่งตัวกัน ส่วนน้องสาวคนเล็กก็เป็นหมอฟันประจำตัวให้เราน่ะเอง

ส่วนตัวเองเรียนจบมาทางด้านภาพยนตร์ ที่ล้วนแล้วแต่มายา แต่ดันผ่าอยากศึกษาด้านธรรมะและโยคะ เพราะความล้มเหลวด้านชีวิตครอบครัวเป็นเหตุ

วันดีคืนดีจึงนั่งเครื่องบิน บินไปอินเดียที่เป็นแหล่งกำเนิดโยคะและศึกษาอย่างจริงจัง (เที่ยวอย่างจริงจังด้วย)
ที่ Yoga Vidya Gurukul
ณ เมืองนาสิก ประเทศอินเดีย
เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ.2549

ตอนนี้ก็รับสอนโยคะอย่างจริงจังมาก็เริ่มปีที่ห้าแล้ว

ในปี 2553 ได้จบหลักสูตรต่างๆทุกหลักสูตรที่มีอยู่ในสถาบันแล้ว รวมทั้งศึกษาศาสตร์อื่นๆมามากมายก่ายกอง ไม่ว่าจะเป็น โยคะบำบัด อายุรเวท เรกิ ธรรมชาติบำบัด :-D

ตอนนี้เริ่มสอนอีกครั้งแล้วค่ะ ถ้าสนใจเรียนเป็นกลุ่มหรือเรียนตัวต่อตัวหรือเป็นวิทยากร
ก็ติดต่อมาได้นะคะ
Tel.+66 (0)85 1420201
[Add หมวยเกี๊ยะA2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.